พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ พร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดโครงการ “บ๊ายบายขวดนมช้าไป โรคภัยตามมาสู่สังคม” เพื่อรณรงค์เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องในพฤติกรรมการใช้ขวดนมที่เหมาะสม
วันนี้ (5 ก.ย.) พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ พร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดโครงการ “บ๊ายบายขวดนมช้าไป โรคภัยตามมาสู่สังคม” เพื่อรณรงค์เผยแพร่ความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องในพฤติกรรมการใช้ขวดนมที่เหมาะสม ณ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กระทรวงสาธารณสุข
นอกจากนั้น ในการนี้ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ได้ทรงหย่อนขวดนมลงถังบ๊ายบายขวดนมของโครงการด้วย
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ได้ประทานพระดำรัสเปิดโครงการว่า ยินดีมากที่ได้มาร่วมในพิธีเปิดในครั้งนี้ ซึ่งการติดขวดนมเป็นพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพรวมทั้งพัฒนาการด้านอื่นๆ ของเด็ก แต่การให้เด็กเลิกกินนมจากขวดก็ไม่ง่ายนัก เพราะต้องมีการเตรียมตัวเด็กให้มีความพร้อม พ่อแม่ต้องมีความรู้ เข้าใจในเทคนิคและวิธีการอย่างเพียงพอที่จะนำมาใช้แก้ไขพฤติกรรมการติดขวดนมของเด็ก
ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าการรณรงค์ร่วมกันให้เด็กเลิกดื่มนมจากขวดเมื่อถึงวัยอันสมควรครั้งนี้จะมีส่วนสำคัญที่จะช่วยสร้างสรรค์วัฒนธรรมดารเลี้ยงดูเด็กเล็กอย่างเหมาะสม และทำให้เด็กไทยมีสุขภาพอนามัยสมบูรณ์แข็งแรง รวมทั้งมีพัฒนาการที่ดีในทุกด้าน
หลังจากประทานพระดำรัส พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาได้เสด็จเยี่ยมชมนิทรรศการงานวิจัยและนิทรรศการเกี่ยวกับการเลิกขวดนมช้าไป โรคภัยตามมา จากนั้นได้มีพระปฏิสันถารกับกลุ่มพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูเด็กเล็กที่มาเฝ้ารับเสด็จฯ
ด้านนพ.ชาตรี บานชื่น อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในโครงการของกรมการแพทย์สู่ประชาชน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและเหมาะสมของพฤติกรรมการใช้ขวดนมเพื่อสุขภาพที่ดีของเด็กไทย เนื่องจากพบว่า มีการใช้ขวดนมอย่างไม่เหมาะสมเป็นเวลานาจนติดเป็นนิสัย ซึ่งทำให้เด็กไม่ยอมกินข้าว บางรายดูดนมมากจนเป็นเด็กอ้วน หรือดูดนมในตอนดึกจนหลับคาขวด ซึ่งทำให้ฟันผุ นอกจากนี้ยังทำให้เด็กเสียโอกาสในการพัฒนาทักษะการพูด การเคี้ยวและการใช้มือในการทำกิจกรรมอื่นๆ อีกด้วย
สำหรับสาเหตุที่ทำให้เด็กติดขวดนมมาจากพ่อแม่ หรือผู้เลี้ยงดูไม่เข้าใจ ไม่ทราบว่าควรให้เด็กเลิกใช้ขวดนมเมื่อไหร่ และไม่ตระหนักถึงผลเสียที่ตามมา
ด้าน พญ.สุรภี เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่า จริงๆ แล้วเด็กควรเลิกใช้ขวดนมตั้งแต่อายุ 1 ปีถึง 1 ปีครึ่ง เพื่อป้องกันฟันผุและโรคอื่นๆ ที่จะตามมา ขณะเดียวกันควรหยุดให้นมตอนกลางคืนตั้งแต่อายุ 6 เดือนและไม่ควรนอนหลับคาขวดนม ซึ่งจากการศึกษาสภาวะการใช้ขวดนมในเด็กอายุ 1-4 เดือนในคลินิกสุขภาพเด็กดีของสถาบันฯ ระหว่างปี 2546-2549 จำนวน 1,038 ราย พบว่า เด็กที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไปจำนวนมากยังไม่สามารถที่จะเลิกขวดนมได้ส่วนเด็กอายุ 6 เดือนยังดูดนมมื้อดึกร้อยละ 85 เด็กอายุ 2-3 ปียังดูดนมจากขวดร้อยละ 70 และยังดูดนมมื้อดึกร้อยละ 50 ส่วนเด็กอายุ 3-4 ปี ดูดนมจากขวดร้อยละ 42 และดูดนมมื้อดึกร้อยละ 37
นอกจากนั้นพบว่า เด็กในกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 46 นอนหลับคาขวดนมและบางครั้งพ่อแม่ได้นำน้ำหวาน น้ำผลไม้ ใส่ขวดให้เด็กดูด ทำให้เกิดฟันผุได้ง่าย
ทั้งนี้ เด็กไทยอายุ 3 ปีมีปัญหาฟันผุร้อยละ 70 รวมทั้งอาจมีปัญหาฟันหน้ายื่นด้วย
พญ.ศิราภรณ์ สวัสดิวร ประธานคณะกรรมการโครงการฯ กล่าวว่า ปัจจุบันมีการพัฒนาให้ทันสมัยสามารถกินได้ในทุกท่วงท่าของเด็ก จากที่กิน ทำให้สะดวกสบายในการกิน จนเป็นปัญหาตามมา ซึ่งเทคนิคการเลิกดื่มนมจากขวดมาดื่มจากแก้วหรือกล่องแทน จะต้องเริ่มจากการเตรียมตัวจัดการเรื่องการกินให้เหมาะสม เช่น ฝึกให้ลูกกินกลางวันนอนกลางคืนและค่อยๆ เลิกนมมื้อดึก รวมทั้งให้ดื่มนมหรือน้ำจากแก้วแทน
ที่สำคัญคือ ควรให้กำลังใจและคำชมเชยเมื่อลูกทำได้ แต่หากไม่สามารถทำได้ก็ควรที่จะต้องตั้งใจจริงและแข็งใจทิ้งขวดนมไปเลย
“เด็กส่วนมากถ้าเกิดได้รับการฝึกที่ดีจะสามารถเลิกได้ โดยในต่างประเทศ มีเด็กอายุ 6 เดือนที่เลิกกินนมกลางคืนได้ถึงร้อยละ 80 ขณะที่บ้านเราเด็กสามารถทำให้ร้อยละ 20 เท่านั้น ส่วนปัญหาอื่นๆ ที่ตามมาเช่น เด็กเลิกดื่มจากขวดแล้วไม่กลับมากินนมอีก ให้ปรึกษานักโภชนาการหรือจิตแพทย์ และให้หันมากินข้าวแทนนม” พญ.ศิราภรณ์กล่าว