xs
xsm
sm
md
lg

"หวู ดิ่งห์ เหวียด" ไกด์เวียดนาม หัวใจรักภาษาไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ใครที่เคยไป “ฮานอย” เป็นครั้งแรก เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า คงต้องปวดหัวและปวดหูกันทุกคน เนื่องเพราะต้องฝ่าฟันกับสภาพการจราจรที่ยุ่งเหยิงจากจำนวนมอเตอร์ไซค์ที่มีมากถึง 2 ล้านคนจากจำนวนประชากร 3 ล้านคน รวมถึงเสียงบีบแตรที่ดังสนั่นหวั่นไหวทุกท้องถนนของเมือง

ขณะที่บรรดานักท่องเที่ยวยามราตรีทั้งหลายก็คงคุ้นเคยกับภาพหนุ่มสาวชาวฮานอยนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์แล้วพากันไปนั่ง “กอด จูบ ลูบ คลำ” ริมทะเลสาบให้เห็นกันอย่างเจนตา

กระแสความเจริญที่ถาโถมเข้ามาหลังการเปิดประเทศ ส่งผลทำให้เวียดนามกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมและส่งออกชั้นนำของอาเซียนด้วยค่าแรงที่ถูกและความอดทนในการทำงาน ขณะเดียวกันเวียดนามก็กลายเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทั้งต้องการสัมผัสกับธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งต้องการสัมผัสกับประวัติศาสตร์สงครามที่ยาวนานจากทั้งจีน ฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา

ฮานอย...ฮาลองเบ...เว้...ฮอยอัน...โฮจิมินห์
นักท่องเที่ยวชาวไทยก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น

แน่นอนว่า เมื่อมีนักท่องเที่ยวสัญชาติไทยก็ย่อมต้องหนีไม่พ้นต้องมี “ไกด์” หรือ “มัคคุเทศก์” ที่รู้ภาษาไทยเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว รวมทั้งเกร็ดประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ อย่างไรก็ตาม มัคคุเทศก์ชาวเวียดนามที่ถูกต้องตามกฎหมายคือมีใบอนุญาตถูกต้องนั้นมีจำนวนน้อยมาก เรียกว่า ทั้งประเทศมีเพียงแค่ประมาณ 10 คนเท่านั้น

“ลุงเหวียด” หรือที่มีชื่อเต็มในภาษาเวียดนามว่า “หวู ดิ่งห์ เหวียด” คือหนึ่งในไกด์จำนวนนั้น

เรื่องราวชีวิตของลุงเหวียดต้องบอกว่า ไม่ธรรมดา เพราะตลอดช่วงชีวิต 60 ปีที่ผ่านมา แกผ่านเรื่องราวมามากมาย และเรื่องราวที่บันทึกอยู่ในความทรงจำทั้งยามหลับและยามตื่นอย่างไม่เสื่อมคลายก็คือ ช่วงสงครามเวียดนามกับสหรัฐอเมริกาที่ยาวนานถึง 34 ปี

“ผมมีชื่อไทยว่า สมชายครับ เป็นชื่อที่นักท่องเที่ยวคนไทยตั้งให้”ลุงเหวียดแนะนำตัวเองด้วยอารมณ์ขัน ก่อนที่จะเล่าเรื่องราวชีวิตที่ทำให้แกรู้ภาษาไทยและกลายมาเป็นมัคคุเทศก์ที่ใช้ภาษาไทยทำมาหากินจนถึงทุกวันนี้

ก่อนหน้าที่จะเป็นทหาร...ก่อนหน้าที่จะเข้าสู่สมรภูมิสงคราม....ลุงเหวียดเป็นนักศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติเวียดนาม แต่เมื่อเกิดสงคราม รัฐบาลของ “ลุงโฮ” หรือ “โฮจิมินห์” ได้ส่งให้เดินทางไกลด้วยรถไฟเพื่อไปเรียนรู้เรื่องราวของ “เรดาร์” ที่สหภาพโซเวียตเพื่อต่อกรกับพญาอินทรี

เมื่อเรียนจบ ลุงเหวียดก็กลับมายังเวียดนามเพื่อรับใช้ชาติในห้องเรดาร์ มีหน้าที่หลักเพื่อตามล่าหาเครื่องบินทิ้งระเบิด B52 และสารพัดเครื่องบินรบตระกูล F แต่โชคร้ายอยู่มาวันหนึ่ง เครื่องบิน F4 ของสหรัฐฯ ก็ทิ้งระเบิดลงตรงห้องเรดาร์ที่แกนั่งทำงานพอดิบพอดี

“ผมสลบไปประมาณ 10 วัน ตื่นมาอีกทีก็อยู่ที่ประเทศจีนแล้ว คือรัฐบาลจีนเขาส่งไปรักษาที่นั่น ได้รับบาดเจ็บที่ท้องต้องตัดกระเพาะทิ้งไป 2 ใน 3”

หลังหายจากอาการบาดเจ็บ ลุงเหวียดได้ผันตัวเองจากทหารไปประจำการอยู่ที่กระทรวงพาณิชย์ และที่นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้เรียนรู้ภาษาไทย

“เวลานั้นรัฐบาลเวียดนามถูกสหรัฐฯ แซงก์ชั่นทางด้านการค้า การลงทุนเป็นอย่างมาก เวียดนามจำเป็นที่จะต้องพึ่งไทยในการค้าขาย ผมจึงถูกส่งไปเรียนภาษาไทย เมื่อเรียนจบก็ได้รับมอบหมายให้ไปอยู่เมืองไทยตอนปี พ.ศ.2534 โดยไปอาศัยอยู่ที่ย่านลาดพร้าว และอยู่ที่นั่นประมาณ 3 ปีถึงได้กลับเวียดนาม”

หลังขอเกษียณจากกระทรวงพาณิชย์ ด้วยความที่ไม่อยากทิ้งภาษาไทยที่เล่าเรียนมา ลุงเหวียดได้ไปอบรมมัคคุเทศก์เป็นเวลา 6 เดือนและเริ่มต้นประกอบวิชาชีพนี้ครั้งแรกในปี 2544

ลุงเหวียดบอกว่า ตั้งแต่เป็นมัคคุเทศก์ภาษาไทยมา 6 ปีมีคนไทยมาใช้บริการจำนวนมาก เรียกว่านับเป็นพันๆ คณะทีเดียว

“ถามว่ารายได้ดีไหม ดีครับ เพราะมีไกด์น้อย รายได้ดีกว่าไกด์ภาษาอังกฤษอีก ปกติผมได้วันหนึ่งประมาณ 25 เหรียญสหรัฐ แต่ถ้าช่วงไหนคิวแน่นมากก็อาจได้เพิ่มเป็นวันละ 30 เหรียญสหรัฐ ผมโชคดีที่รู้ภาษาไทย เพราะเมื่อเกษียณแล้วยังสามารถใช้ทำมาหากินได้อีก”

“ผมว่า ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีเสน่ห์ มีความไพเราะ มีอักษรจำนวนมาก มีเสียงสูง เสียงต่ำ และยากมาก ยากกว่าภาษาอังกฤษอีก แต่ผมก็รักภาษาไทยครับ จริงๆ แล้วผมชอบวัฒนธรรมไทยนะครับ เพราะเป็นวัฒนธรรมที่สุภาพ ชอบการไหว้ และคนไทยเป็นคนที่ยิ้มเก่งครับ”ลุงเหวียดสรุปเอาไว้อย่างโดนใจคนไทยหลายคนเลยทีเดียว
กำลังโหลดความคิดเห็น