ไทยวิจัย “แมงลักคา” สมุนไพรไทย รักษาโรคไข้หวัดใหญ่ ได้ทุกสายพันธุ์ รวมถึงไข้หวัดนก ขณะนี้จดสิทธิบัตรในไทยแล้ว เตรียมจดสิทธิบัตรในจีน ญี่ปุ่น เกาหลี เริ่มทดลองระยะ 3 ในคนปีนี้ เบื้องต้นทดลองในกลุ่มเล็ก พบได้ผลดีเทียบเท่าทามิฟูล คาดอีก 1-2 ปี ได้ใช้ เผยรอฟังข่าวดีอีก 1 ปี เปิดตัวสมุนไพรรักษาวัณโรคประสิทธิภาพเยี่ยม
วันนี้ (27 ส.ค.) ที่อิมแพค เมืองทองธานี นพ.วัลลภ ไทยเหนือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังกระประชุมวิชาการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ครั้งที่ 15 ว่า สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้วิจัยทดลองพืชสมุนไพร แมงลักคา ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hyptis suaveolens (L.) Poit และยังมีชื่ออื่นๆ เช่น อีตู่ป่า การา กะเพราะผี แมงลักป่า เป็นต้น เป็นเวลา 1 ปีกว่า
โดยขณะนี้สามารถทดลองสำเร็จในระยะที่ 1 และวิจัยทางคลินิกในผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่และผู้ป่วยติดเชื้อเอดส์ในระยะที่ 2 พบว่า สารสกัดแมงลักคามีสารประเภท Terpenoids มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายประการ เช่น ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ซาลโมเนลลา ฤทธิ์ยับยั้งเชื้อไวรัสต่างๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ และเสริมภูมิคุ้มกันโรคเอดส์ และไม่มีผลข้างเคียงทั้งในคนและสัตว์ ซึ่งได้จดสิทธิบัตรในประเทศไทยแล้ว และหากการทำลองในระยะที่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจก็จะขยายการจดสิทธิบัตรในต่างประเทศ เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น
นพ.พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ผลการทดลองระยะที่ 2 ได้ให้สารสกัดแมงลักคาให้กับกลุ่มตัวอย่างผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ จำนวน 40-50 คน ในปริมาณคนละ 3,000 มิลลิกรัม ผลการทดลองได้ผลร้อยละ 50 ซึ่งผลออกฤทธิ์คล้ายยาฆ่าเชื้อไข้หวัดนก หรือทามิฟูล โดยออกฤทธิ์ต่อเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ทั้ง 3 สายพันธุ์ คือ H1-H3 ซึ่งในการทดลองระยะที่ 2 จะมีการเพิ่มโดสให้มากขึ้น ทั้งนี้ คาดว่า จะใช้เวลาอีก 2 ปี จะสามารถทดลองสำเร็จ ซึ่งหลังจากนั้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะพัฒนาสารสกัดแมงลักคาเป็นยาแคปซูล และจะจดสิทธิบัตรเป็นยาสมุนไพรแผนปัจจุบัน นอกจากนี้ สถาบันวิจัยสมุนไพร ยังอยู่ระหว่างการวิจัยพืชสมุนไพรชนิดอื่นๆ ด้วย โดยนำมารักษาผู้ป่วยวัณโรค ซึ่งมีแนวโน้มว่าการวิจัยจะได้ผลสำเร็จด้วย คาดว่า ในเร็วๆ นี้จะสามารเปิดเผยผลการวิจัยได้
ทั้งนี้ แมงลักคา เป็นพืชล้มลุก สูง 0.5-2 เมตร มีกลิ่นเฉพาะและมีขนทั่วไป ดอกสีม่วงออกรวมกัน 2-6 ดอก ตามง่ามใบใกล้ปลายกิ่งหรือที่ยอด มีผลย่อย 1-2 ผล ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตัวตรงข้าม ก้านใบยาว 0.5-5 ซม.ใบรูปไข่หรือรูปรี โคนใบเว้าเข้าเป็นร่องรูปหัวใจ ปลายใบแหลม ขอบใบหยักในประเทศไทยพบขึ้นทั่วไปตามที่รกร้าง กลางแจ้งหรือริมทาง โดยส่วนที่นำมาใช้สกัดเป็นยาฆ่าเชื้อได้ คือ ตั้งแต่ลำต้น ใบ ดอก ผล ยกเว้นราก