สวรส.วิจัยความรุนแรงในครอบครัวพบรูปแบบ “สามีตบตีภรรยา” มากที่สุด ขณะที่ทั่วโลกมีผู้หญิงถูกทำร้ายปีละ 1.5 ล้านคน ร้อยละ 80 ถูกทำร้ายหรือถูกข่มขืนจากสามีหรือคู่รัก บางรายถูกทำร้ายขณะตั้งครรภ์ สถิติเด็กถูกทำร้ายปีละเกือบ 1 ล้านคน ส่วนสังคมไทยแนวโน้มความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน สาเหตุเพราะสังคมไทยส่งเสริมให้ผู้ชายเป็นใหญ่ วอนหันกลับมาส่งเสริมความรักในครอบครัวเช่นในอดีต
นางเพ็ญจันทร์ ประดับมุข ผู้วิจัยเรื่อง ความรุนแรงในครอบครัว โดยการสนับสนุนจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เปิดเผยว่า ในอดีตสังคมไทยมีอุดมคติว่าสถาบันครอบครัวเป็นสถาบันที่ปลอดภัย สงบสุข แต่ปัจจุบันพบว่าสังคมไทยมีแนวโน้มของความรุนแรง การบาดเจ็บ และเสียชีวิต จากการทำร้ายกันเพิ่มมากขึ้น โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ กรมตำรวจ กระทรวงสาธารณสุข ระบุตรงกันว่าปัจจุบันเด็กหลายคนถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง และเด็กถูกทำร้ายจากในบ้านมากกว่านอกบ้าน ทั้งจากผู้เป็นพ่อแม่ คนรู้จัก หรือสามีภรรยาที่อยู่ร่วมกัน
“ขณะนี้สถาบันครอบครัวอาจเป็นสถาบันที่อันตรายมากที่สุด มีรายงานจากต่างประเทศระบุว่าในแต่ละปีมีผู้หญิงอย่างน้อย 1.5 ล้านคน ถูกข่มขืนหรือถูกทำร้ายทางร่างกายจากสามีหรือคู่รัก โดยเกือบครึ่งหนึ่งของผู้หญิงเหล่านี้ ถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ และหลายรายถูกทำร้ายขณะตั้งครรภ์ ส่วนปัญหาความรุนแรงในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบ จากทั่วโลกพบว่าเด็กจำนวน 1 ใน 5,000 คนเสียชีวิตจากการถูกทำร้ายทางร่างกาย”
นางเพ็ญจันทร์ กล่าวด้วยว่า สถานการณ์ในไทยพบว่า มีผู้หญิงราว 1 ใน 3 ถูกทำร้ายจากสามี โดยข้อมูลจากองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านเด็กและสตรี ระบุมีผู้หญิงที่มารับบริการบ้านพักฉุกเฉิน เนื่องจากถูกทำร้ายจากคนในครอบครัว สูงถึงร้อยละ 80 ซึ่งในจำนวนนี้ กว่าครึ่งถูกทารุณเป็นประจำ นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลจากองค์การมูลนิธิพิทักษ์สิทธิเด็ก ระบุว่ามีเด็กที่ถูกทารุณมารับบริการเพิ่มขึ้นทุกปี จากข้อมูลปี 2544 พบว่า เด็กที่ได้รับความช่วยเหลือส่วนใหญ่ร้อยละ 39 เป็นเด็กที่ถูกข่มขืน และร้อยละ 31 เป็นเด็กที่ถูกทำร้ายจากคนในครอบครัว ซึ่งในจำนวนนี้กว่าร้อยละ 43 เป็นเด็กผู้หญิงที่มีอายุต่ำกว่า 9 ปี และเกือบครึ่งถูกทำร้ายจากผู้เป็นพ่อและญาติ
นอกจากนี้ พบว่า สามีตบตีภรรยา เป็นการกระทำทารุณกรรมในรูปแบบที่สามัญที่สุดในครอบครัวและพบเห็นได้มากที่สุด ซึ่งความรุนแรงเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ถูกกระทำโดยตรง ทั้งการบาดเจ็บทางร่างกาย จิตใจ จนบางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ อาจส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต พัฒนาการ และการปรับตัว รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านการรักษาในอนาคต ความรุนแรงในครอบครัวเกิดจากหลายปัจจัยคือ ระดับบุคคล เกิดจากความเจ็บป่วยทางจิตของผู้ลงมือกระทำ การใช้สารเสพติด การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ระดับสังคมจิตวิทยา เกิดจากโครงสร้างครอบครัวที่เปลี่ยนเป็นครอบครัวเดี่ยวเพิ่มมากขึ้น ระดับสังคมวัฒนธรรม เนื่องจากโครงสร้างทางสังคมที่เอื้อต่อการเกิดความรุนแรง ความไม่เป็นธรรมของโครงสร้างทางสังคมที่ยึดถือกันตั้งแต่ในอดีตว่าผู้ชายเป็นใหญ่ กลายเป็นวัฒนธรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันว่าจะทำอย่างไรให้สถาบันครอบครัวสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยความรัก ความอบอุ่นนำไปสู่การหล่อหลอมและพัฒนาให้เป็นคนที่มีคุณภาพในสังคม ซึ่งหากทำได้เชื่อว่าปัญหาด้านความรุนแรงดังกล่าวคงจะลดน้อยลง”
“สิ่งหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาความรุนแรงในสังคมไทยได้ คือ การทำวิจัยเรื่องความรุนแรงให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อหาแนวทางแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มีการทำวิจัยเรื่องนี้อย่างจริงจัง อาจเป็นเพราะสังคมไทยยังมองเห็นว่าเรื่องความรุนแรงเป็นเรื่องส่วนตัวที่เต็มไปด้วยช่องว่างและยากที่จะเข้าถึง” นางเพ็ญจันทร์ กล่าว
นางเพ็ญจันทร์ ประดับมุข ผู้วิจัยเรื่อง ความรุนแรงในครอบครัว โดยการสนับสนุนจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เปิดเผยว่า ในอดีตสังคมไทยมีอุดมคติว่าสถาบันครอบครัวเป็นสถาบันที่ปลอดภัย สงบสุข แต่ปัจจุบันพบว่าสังคมไทยมีแนวโน้มของความรุนแรง การบาดเจ็บ และเสียชีวิต จากการทำร้ายกันเพิ่มมากขึ้น โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ กรมตำรวจ กระทรวงสาธารณสุข ระบุตรงกันว่าปัจจุบันเด็กหลายคนถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง และเด็กถูกทำร้ายจากในบ้านมากกว่านอกบ้าน ทั้งจากผู้เป็นพ่อแม่ คนรู้จัก หรือสามีภรรยาที่อยู่ร่วมกัน
“ขณะนี้สถาบันครอบครัวอาจเป็นสถาบันที่อันตรายมากที่สุด มีรายงานจากต่างประเทศระบุว่าในแต่ละปีมีผู้หญิงอย่างน้อย 1.5 ล้านคน ถูกข่มขืนหรือถูกทำร้ายทางร่างกายจากสามีหรือคู่รัก โดยเกือบครึ่งหนึ่งของผู้หญิงเหล่านี้ ถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ และหลายรายถูกทำร้ายขณะตั้งครรภ์ ส่วนปัญหาความรุนแรงในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบ จากทั่วโลกพบว่าเด็กจำนวน 1 ใน 5,000 คนเสียชีวิตจากการถูกทำร้ายทางร่างกาย”
นางเพ็ญจันทร์ กล่าวด้วยว่า สถานการณ์ในไทยพบว่า มีผู้หญิงราว 1 ใน 3 ถูกทำร้ายจากสามี โดยข้อมูลจากองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านเด็กและสตรี ระบุมีผู้หญิงที่มารับบริการบ้านพักฉุกเฉิน เนื่องจากถูกทำร้ายจากคนในครอบครัว สูงถึงร้อยละ 80 ซึ่งในจำนวนนี้ กว่าครึ่งถูกทารุณเป็นประจำ นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลจากองค์การมูลนิธิพิทักษ์สิทธิเด็ก ระบุว่ามีเด็กที่ถูกทารุณมารับบริการเพิ่มขึ้นทุกปี จากข้อมูลปี 2544 พบว่า เด็กที่ได้รับความช่วยเหลือส่วนใหญ่ร้อยละ 39 เป็นเด็กที่ถูกข่มขืน และร้อยละ 31 เป็นเด็กที่ถูกทำร้ายจากคนในครอบครัว ซึ่งในจำนวนนี้กว่าร้อยละ 43 เป็นเด็กผู้หญิงที่มีอายุต่ำกว่า 9 ปี และเกือบครึ่งถูกทำร้ายจากผู้เป็นพ่อและญาติ
นอกจากนี้ พบว่า สามีตบตีภรรยา เป็นการกระทำทารุณกรรมในรูปแบบที่สามัญที่สุดในครอบครัวและพบเห็นได้มากที่สุด ซึ่งความรุนแรงเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ถูกกระทำโดยตรง ทั้งการบาดเจ็บทางร่างกาย จิตใจ จนบางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ อาจส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต พัฒนาการ และการปรับตัว รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านการรักษาในอนาคต ความรุนแรงในครอบครัวเกิดจากหลายปัจจัยคือ ระดับบุคคล เกิดจากความเจ็บป่วยทางจิตของผู้ลงมือกระทำ การใช้สารเสพติด การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ระดับสังคมจิตวิทยา เกิดจากโครงสร้างครอบครัวที่เปลี่ยนเป็นครอบครัวเดี่ยวเพิ่มมากขึ้น ระดับสังคมวัฒนธรรม เนื่องจากโครงสร้างทางสังคมที่เอื้อต่อการเกิดความรุนแรง ความไม่เป็นธรรมของโครงสร้างทางสังคมที่ยึดถือกันตั้งแต่ในอดีตว่าผู้ชายเป็นใหญ่ กลายเป็นวัฒนธรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันว่าจะทำอย่างไรให้สถาบันครอบครัวสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยความรัก ความอบอุ่นนำไปสู่การหล่อหลอมและพัฒนาให้เป็นคนที่มีคุณภาพในสังคม ซึ่งหากทำได้เชื่อว่าปัญหาด้านความรุนแรงดังกล่าวคงจะลดน้อยลง”
“สิ่งหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาความรุนแรงในสังคมไทยได้ คือ การทำวิจัยเรื่องความรุนแรงให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อหาแนวทางแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มีการทำวิจัยเรื่องนี้อย่างจริงจัง อาจเป็นเพราะสังคมไทยยังมองเห็นว่าเรื่องความรุนแรงเป็นเรื่องส่วนตัวที่เต็มไปด้วยช่องว่างและยากที่จะเข้าถึง” นางเพ็ญจันทร์ กล่าว