โฆษกสาธารณสุข เผยวงการแพทย์ทั่วโลกยอมรับและส่งเสริมให้ทารกได้กินนมแม่ตั้งแต่ชั่วโมงแรกหลังคลอด เพราะมีผลดีทำให้เด็กดูดนมแม่อย่างถูกต้องสูงถึงร้อยละ 60 เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญนำไปสู่ความสำเร็จของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ลูกแข็งแรง และเป็นการเริ่มแรกของการสานใยรักแห่งครอบครัว
นายสง่า ดามาพงษ์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข และนักวิชาการสาธารณสุข 9 กรมอนามัย กล่าวว่ากระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งเป็นอาหารที่ดีที่สุดในการเลี้ยงเด็กทารกและสร้างความฉลาดทางสติปัญญาและอารมณ์ หรือที่เรียกว่าไอคิว อีคิว ทำให้เด็กมีสุขภาพดี มีพัฒนาการดี จากผลสำรวจการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของไทยล่าสุดใน พ.ศ. 2549 พบว่ามีเด็กแรกเกิดจนถึง 3 เดือน ประมาณร้อยละ 8 เท่านั้น ที่กินนมแม่อย่างเดียว และมีเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 5 เดือนกินนมแม่อย่างเดียวเพียงร้อยละ 5 เท่านั้น จึงต้องเร่งเพิ่มข้อมูลความรู้ให้ประชาชน โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์และคลอดบุตรซึ่งมีปีละประมาณ 800,000 คน ได้มีความเข้าใจถึงประโยชน์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้มากขึ้น ตั้งเป้าจะเพิ่มการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวติดต่อกัน 6 เดือนให้ได้ร้อยละ 25 ในปีนี้
นายสง่า กล่าวว่า ข้อมูลวิจัยจำนวนมากยืนยันตรงกันว่า การนำลูกมาให้แม่ได้สัมผัสโดยการโอบกอดและให้ลูกได้ดูดนมแม่ภายในชั่วโมงแรกหลังคลอด จะมีผลดีต่อลูกและแม่มาก เนื่องจากสัมผัสแรกที่แม่ได้โอบกอดลูกในอ้อมอก จะกระตุ้นให้ร่างกายแม่มีการหลั่งหลังฮอร์โมนแห่งความรัก หรือออกซี่โตซิน (Oxytocin) ออกมาเร็วขึ้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการมีความรู้สึกของความเป็นแม่ที่มีความรักลูก ห่วงหาอาทร อยากดูแลลูกไม่อยากทิ้งลูก พฤติกรรมของความเป็นแม่จึงเกิดขึ้นภายใน 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอดนี่เอง สัมผัสแรกของแม่ยังช่วยทำให้ลูกได้รับไออุ่นจากแม่ ลูกไม่หนาว ลูกสงบ การหายใจและการเต้นของหัวใจเป็นไปอย่างปกติสม่ำเสมอ และยังวิจัยพบว่า ถ้าลูกได้ดูดนมแม่ตั้งแต่ชั่วโมงแรก ลูกจะดูดนมแม่ได้อย่างถูกต้องสูงถึงร้อยละ 60 แต่ถ้าแยกแม่ แยกลูกตั้งแต่แรก ลูกจะดูดได้อย่างถูกต้องเพียงร้อยละ 20
ทั้งนี้ สัมผัสแรกจะทำให้ลูกได้รับภูมิคุ้มกันผ่านการสัมผัสผิวแม่ ส่วนการดูดแรกจะทำให้ลูกได้รับหัวน้ำนม หรือโคลอสตรัม (Colostrums) ซึ่งมีลักษณะเป็นน้ำนมเหลือง เป็นน้ำนมที่มีภูมิคุ้มกันโรคสูงที่สุด เร็วขึ้น ช่วยสร้างภูมิกันให้แก่ลูก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่พิสูจน์ได้แล้วว่าเด็กที่กินนมแม่ จะแข็งแรงหรือเจ็บป่วยน้อยกว่าเด็กที่กินนมผสม 2-7 เท่าตัว เนื่องจากในนมผสมไม่ได้ให้ภูมิคุ้มกันโรค การสัมผัสแรกและดูดแรกจึงเป็นพลังแรกของเส้นทางสู่ความสำเร็จการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และที่สำคัญเป็นจุดเริ่มแรกของการสร้างสายใยรักระหว่างแม่ ลูก ครอบครัว และสังคม นายสง่า กล่าวตอนท้าย
นายสง่า ดามาพงษ์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข และนักวิชาการสาธารณสุข 9 กรมอนามัย กล่าวว่ากระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ซึ่งเป็นอาหารที่ดีที่สุดในการเลี้ยงเด็กทารกและสร้างความฉลาดทางสติปัญญาและอารมณ์ หรือที่เรียกว่าไอคิว อีคิว ทำให้เด็กมีสุขภาพดี มีพัฒนาการดี จากผลสำรวจการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของไทยล่าสุดใน พ.ศ. 2549 พบว่ามีเด็กแรกเกิดจนถึง 3 เดือน ประมาณร้อยละ 8 เท่านั้น ที่กินนมแม่อย่างเดียว และมีเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 5 เดือนกินนมแม่อย่างเดียวเพียงร้อยละ 5 เท่านั้น จึงต้องเร่งเพิ่มข้อมูลความรู้ให้ประชาชน โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์และคลอดบุตรซึ่งมีปีละประมาณ 800,000 คน ได้มีความเข้าใจถึงประโยชน์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้มากขึ้น ตั้งเป้าจะเพิ่มการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวติดต่อกัน 6 เดือนให้ได้ร้อยละ 25 ในปีนี้
นายสง่า กล่าวว่า ข้อมูลวิจัยจำนวนมากยืนยันตรงกันว่า การนำลูกมาให้แม่ได้สัมผัสโดยการโอบกอดและให้ลูกได้ดูดนมแม่ภายในชั่วโมงแรกหลังคลอด จะมีผลดีต่อลูกและแม่มาก เนื่องจากสัมผัสแรกที่แม่ได้โอบกอดลูกในอ้อมอก จะกระตุ้นให้ร่างกายแม่มีการหลั่งหลังฮอร์โมนแห่งความรัก หรือออกซี่โตซิน (Oxytocin) ออกมาเร็วขึ้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการมีความรู้สึกของความเป็นแม่ที่มีความรักลูก ห่วงหาอาทร อยากดูแลลูกไม่อยากทิ้งลูก พฤติกรรมของความเป็นแม่จึงเกิดขึ้นภายใน 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอดนี่เอง สัมผัสแรกของแม่ยังช่วยทำให้ลูกได้รับไออุ่นจากแม่ ลูกไม่หนาว ลูกสงบ การหายใจและการเต้นของหัวใจเป็นไปอย่างปกติสม่ำเสมอ และยังวิจัยพบว่า ถ้าลูกได้ดูดนมแม่ตั้งแต่ชั่วโมงแรก ลูกจะดูดนมแม่ได้อย่างถูกต้องสูงถึงร้อยละ 60 แต่ถ้าแยกแม่ แยกลูกตั้งแต่แรก ลูกจะดูดได้อย่างถูกต้องเพียงร้อยละ 20
ทั้งนี้ สัมผัสแรกจะทำให้ลูกได้รับภูมิคุ้มกันผ่านการสัมผัสผิวแม่ ส่วนการดูดแรกจะทำให้ลูกได้รับหัวน้ำนม หรือโคลอสตรัม (Colostrums) ซึ่งมีลักษณะเป็นน้ำนมเหลือง เป็นน้ำนมที่มีภูมิคุ้มกันโรคสูงที่สุด เร็วขึ้น ช่วยสร้างภูมิกันให้แก่ลูก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่พิสูจน์ได้แล้วว่าเด็กที่กินนมแม่ จะแข็งแรงหรือเจ็บป่วยน้อยกว่าเด็กที่กินนมผสม 2-7 เท่าตัว เนื่องจากในนมผสมไม่ได้ให้ภูมิคุ้มกันโรค การสัมผัสแรกและดูดแรกจึงเป็นพลังแรกของเส้นทางสู่ความสำเร็จการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และที่สำคัญเป็นจุดเริ่มแรกของการสร้างสายใยรักระหว่างแม่ ลูก ครอบครัว และสังคม นายสง่า กล่าวตอนท้าย