เผยผลสำรวจล่าสุดพบหญิงขายบริการทางเพศอายุตั้งแต่ 14-60 ปี พฤติกรรรมบริการเสี่ยงติดเอดส์มากขึ้น เพราะใช้ถุงยางอนามัยลดลง ให้บริการไม่เว้นขณะกำลังเป็นกามโรค และยังมีความเชื่อผิดๆ ว่า การสวนล้างช่องคลอดหลังร่วมเพศ และร่วมเพศขณะฝ่าไฟแดงไม่ทำให้ติดเอดส์ เผยตัวเลขผู้ป่วยเอดส์ทั่วประเทศที่ยังมีชีวิตอยู่กว่า 300,000 ราย
นพ.มรกต กรเกษม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะโรคเอดส์ที่มีความเกี่ยวข้องกับการขายบริการทางเพศ ว่า ลักษณะการขายบริการทางเพศขณะนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก จากเดิมการขายบริการส่วนใหญ่จะขายในสถานบริการเป็นหลัก แต่ขณะนี้เปลี่ยนไปในรูปแบบของการขายแอบแฝง เช่น อาบอบนวด นวดแผนโบราณ คาราโอเกะ บาร์เบียร์ นางโทรศัพท์ และยังพบผู้ขายบริการทางเพศอิสระและขายเพื่อเป็นรายได้เสริม ซึ่งหญิงบริการทางเพศไม่ว่าจะอยู่ในลักษณะใด ก็ล้วนเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีสูง ทำให้กระทรวงสาธารณสุขต้องปรับเปลี่ยนมาตรการป้องกันโรคให้ทันสถานการณ์
นพ.มรกต กล่าวด้วยว่า จากการเฝ้าระวังความเสี่ยงการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มหญิงขายบริการทางเพศทั่วประเทศในช่วงกลางปี 2549 จำนวนกว่า 2,092 คน พบว่า ผู้หญิงที่ขายบริการมีอายุต่ำสุด 14 ปี และสูงสุด คือ 60 ปี ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพหย่าร้าง จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ก่อนขายบริการทางเพศส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 75 มีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 5,000 บาท แต่หลังขายบริการทางเพศเกือบร้อยละ 60 มีรายได้ระหว่าง 5,000 - 15,000 บาท
ทั้งนี้ ในเรื่องของการใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับแขก หรือลูกค้าประจำ พบว่า มีอัตราลดลงจากร้อยละ 93 ใน พ.ศ.2547 เหลือร้อยละ 86 และใช้ถุงยางอนามัยกับชายอื่นที่ปี 2547 มีสูงถึงร้อยละ 91 ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 79 นอกจากนี้ ยังพบว่าหญิงขายบริการทางเพศ มีอาการผิดปกติที่สงสัยว่าเป็นกามโรคร้อยละ 11 และเคยร่วมเพศขณะกำลังมีอาการป่วยจากกามโรคด้วย เพิ่มจากร้อยละ 4 ใน พ.ศ.2547 เป็นร้อยละ 8 ในปี 2549 และมีประวัติตรวจเลือดลดลงจากร้อยละ 61 เหลือเพียงร้อยละ 47 ในช่วงเดียวกัน
“การร่วมเพศขณะกำลังป่วยจากกามโรค จะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อเอดส์ได้ง่ายขึ้นถึง 5 - 7 เท่า เนื่องจากหากมีเชื้อเอดส์ทางอสุจิ เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายได้ทางบาดแผลที่เกิดจากเชื้อกามโรค นอกจากหญิงขายบริการทางเพศจะเป็นผู้รับเชื้อแล้ว ยังเป็นแหล่งแพร่เชื้อเอดส์หรือกามโรคสู่คู่นอนรายต่อไปด้วย” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวและว่า การป้องกันโรคโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นโรคเอดส์หรือกามโรคอื่นๆ ที่สำคัญของหญิงขายบริการทางเพศและกลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์นอกสมรสที่ได้ผลที่สุด คือ ถุงยางอนามัย 100 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2550 สธ.จัดงบประมาณจัดซื้อถุงยางอนามัย จำนวน 36 ล้านบาท ประมาณ 20 ล้านชิ้น แจกจ่ายไปยังสำนักงานควบคุมโรคทั้ง 12 เขต ทั่วประเทศ เพื่อกระจายไปยังคลินิกกามโรคในโรงพยาบาลต่างๆ แล้ว ส่วนใหญ่ผู้ป่วยกามโรคในหญิงมักจะไม่มีอาการ ในหญิงบริการแนะนำให้มาตรวจคัดกรองโรคอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
ด้าน นพ.ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากผลการสำรวจเดียวกันในปี 2549 นี้ พบว่า หญิงขายบริการทางเพศมีพฤติกรรมฉีดยาเสพติดเข้าเส้นด้วยถึงร้อยละ 0.7 ในขณะที่การสำรวจในปี 2547 ไม่พบพฤติกรรมดังกล่าว ขณะเดียวกัน เมื่อดูครอบครัว พบว่า สามีหรือคู่นอนประจำของหญิงขายบริการทางเพศใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเพิ่มขึ้นจากปี 2547 มีไม่ถึงร้อยละ 1 ในปี 2549 เพิ่มเป็นร้อยละ 2 ส่วนเรื่องความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ พบข้อมูลบางเรื่องที่อาจทำให้หญิงขายบริการทางเพศชะล่าใจ และใช้วิธีป้องกันโดยวิธีผิดๆ ทำให้เสี่ยงติดเอดส์ง่ายขึ้น โดยผลสำรวจพบหญิงขายบริการร้อยละ 25 เชื่อว่า การสวนล้างช่องคลอด หลังร่วมเพศป้องกันเอดส์ได้ และอีกร้อยละ 21 เชื่อว่า การร่วมเพศระหว่างมีประจำเดือนไม่ทำให้ติดเอดส์ ซึ่งจะต้องเร่งให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อไป
สำหรับสถานการณ์โรคเอดส์ของประเทศไทย มีรายงานผู้ป่วยเอดส์จากสถานบริการสาธารณสุขภาครัฐและเอกชน ตั้งแต่ พ.ศ.2527 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2550 ทั่วประเทศมีผู้ป่วยโรคเอดส์สะสมที่ยังมีชีวิตอยู่ 313,299 ราย เสียชีวิตไปแล้ว 86,589 ราย ผู้ป่วย 1 ใน 4 มีอายุระหว่าง 30 - 34 ปี รองลงมา คือ อายุ 25 - 29 ปี ร้อยละ 24 ส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้าง ตลอดปี 2549 มีผู้ป่วยโรคเอดส์ทั้งหมด 11,742 ราย เสียชีวิต 1,974 ราย ในรอบ 4 เดือนแรกของปี 2550 นี้ มีรายงานผู้ป่วยโรคเอดส์ 672 ราย เสียชีวิต 171 ราย