แม้ว่าการยืดชีวิตของผู้ป่วยให้นานที่สุดจะเป็นเป้าหมายของการรักษาตามแนวคิดการแพทย์สมัยใหม่แต่ก็มีบุคลากรทางการแพทย์จำนวนไม่น้อย เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับจิตใจและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยระยะสุดท้าย เพื่อช่วยให้เขาบรรลุวาระสุดท้ายอย่างเจ็บปวดน้อยที่สุด และสามารถเผชิญกับความตายได้อย่างสงบ เป็นมนุษย์ และมีคุณค่ามากกว่าการเห็นผู้ป่วยเป็นเพียงวัตถุที่ตั้งของอาการเจ็บป่วย ซึ่งทำให้การตายดีเป็นทางเลือกที่เกิดขึ้นได้ในโรงพยาบาล

เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในโรงพยาบาลขึ้น ในงานประชุมสัมมนา “วัฒนธรรม ความตาย กับวาระสุดท้ายของชีวิต” ซึ่งสำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ ร่วมกับ เครือข่ายพุทธิกา และมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ จัดขึ้น
นพ.พรเลิศ ฉัตรแก้ว วิสัญญีแพทย์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แสดงความคิดเห็นว่า การทำงานอยู่ในห้องไอซียูมีเรื่องวิกฤติเกี่ยวกับความเป็นและความตายเกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งที่ผ่านมาเคยทบทวนตัวเองและรู้สึกว่าคนเป็นแพทย์ไม่ควรรู้สึกเฉยชากับความตาย ดังนั้น จึงสนใจเรื่องการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ด้วยการเปิดพื้นที่บางอย่างในแง่ของมิติทางจิตใจ การเข้าถึงความคิด ความรู้สึกของทั้งผู้ป่วยและญาติว่าในช่วงเวลาที่เหลืออยู่นั้นเขามีความต้องการหรืออยากทำอะไร ขณะเดียวกันในด้านการรักษา แพทย์ก็ปฏิบัติหน้าที่ให้การดูแลอย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ที่ รพ.จุฬาฯ มีกลุ่มคนที่อาสามาทำเรื่องนี้ด้วยใจและเขาก็มีความสุขที่ได้เติม “ความมีชีวิต” ให้ผู้ป่วยระยะสุดท้าย โดยให้การดูแลอย่างเต็มที่ทั้งร่างกายและจิตใจเพื่อให้ในวาระสุดท้ายเขาจะจากไปอย่างสงบ
“การทำงานกับผู้ป่วยระยะสุดท้าย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนคือทำให้สามารถเห็นการเชื่อมโยงระหว่างหลักวิชาเรื่องโรคกับเรื่องของชีวิต เกิดกระบวนการทบทวนความรู้ว่าจะช่วยบรรเทาทุกข์ให้ผู้ป่วยได้อย่างไร แม้ในทางการแพทย์จะพ้นวิสัยการรักษาได้แล้ว แต่รู้สึกว่าได้พยายามอย่างเต็มที่โดยไม่ทอดทิ้งเขา ญาติและคนไข้ก็จะรู้สึกว่าหมอได้พยายามช่วยอย่างที่สุด ไม่ใช่ทำเพราะรู้สึกเป็นหน้าที่ แต่ทำเพราะทำให้ผู้ป่วยดีขึ้น”
“เช่น ใส่เครื่องช่วยหายใจเพราะจะช่วยให้ผู้ป่วยเหนื่อยน้อยลง ซึ่งในวิชาชีพนี้ไม่ว่าใครจะทำจุดไหนก็ช่วยเขาได้ และท้ายที่สุดคนไข้เป็นครูที่สอนเรื่องการมีความสุขในภาวะยากลำบากได้ เพราะในหลาย ๆ ครั้งที่เราเห็นคนไข้อาการแย่แต่เขายังสามารถมีความสุขได้ เขามีวิธีการอย่างไร สิ่งเหล่านี้ได้เรียนรู้จากผู้ป่วย ทำให้เราพัฒนาและสามารถอยู่กับการทำงานอย่างนี้ได้”
ด้าน นพ.โรจนศักดิ์ ทองคำเจริญ รพ.แม่สอด จ.ตาก เล่าให้ฟังว่า ที่โรงพยาบาลแม่สอดมีการรวมตัวกันของกลุ่มบุคลากรในโรงพยาบาลที่อาสาในการติดตามดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเรียกว่า ทีมอาสาสมัครกัลยาณมิตร (อสก.) มีวิธีการทำงานแบบ “ไม้ผลัด” คือแบ่งงานกันทำด้วยความสมัครใจ ไม่มีใครรู้สึกว่าเป็นภาระเพิ่มจากงานประจำ และให้เพื่อนมาช่วยด้วยในส่วนที่เขาเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดการส่งต่อที่ดีและได้ข้อมูลที่เป็นองค์รวมของผู้ป่วยและการรักษา
ทั้งนี้ ในการทำงานมีกฎเกณฑ์คือ หมอเจ้าของไข้ต้องรับทราบและอนุญาตซึ่งไม่ต้องเขียนเป็นทางการก็ได้เพียงบอกมา เราจะเข้าไปช่วยเท่าที่ทำได้ การทำงานของเราใครอยากเป็นเชิญ ไม่อยากเป็นไม่ต้องมา ไม่บังคับ แจ้งให้ทราบ ไม่มาไม่ว่ากัน ทำด้วยใจ พอทำแล้วเอามาเล่ากันฟังเกิดปีติในตัวคนทำงาน และเทคนิคที่ทุกคนได้คือ การรับฟังให้มาก
เช่น เรื่องหนึ่งที่ประทับใจและมีการเล่าต่อและสอนคนในระบบจนเกิดการเปลี่ยนแปลงการทำงานที่ดี คือ กรณีลุงท่านหนึ่งเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว ก่อนหน้าราว 2 ปีเคยมารับวินิจฉัยซึ่งจะต้องมีการเจาะไขกระดูก แต่คนไข้ปฏิเสธแล้วก็หายไป ทราบว่าไปกลับไปอยู่กับลูก ๆ ที่ จ.เพชรบูรณ์ลูกซึ่งเป็นครูทั้งหมดจากที่เคยแยกย้ายกันไปก็กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าและผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลพ่อ

จากนั้นคนไข้กลับมาอีกครั้งด้วยอาการอ่อนเพลียและซีด มานอนในห้องพิเศษเป็นเวลา 6 เดือน คุณหมอเจ้าของไข้ปรึกษาให้เข้ามาช่วย โดยบอกว่าพบคนไข้ไม่ค่อยได้เพราะญาติจะถามมาก สงสัยไปทุกเรื่อง แพทย์ก็เครียด พยาบาลก็เครียด ที่สำคัญลุงยังไม่รู้ ญาติไม่ยอมบอก
“ผมใช้การเข้าไปแนะนำตัวไปเยี่ยมพูดคุยกับผู้ป่วยไปบ่อย ๆ ไปเป็นประจำจนเกิดความสัมพันธ์ที่ดีและทำให้ได้รู้ข้อมูลว่า ที่บ้านลุงขายน้ำมันเบนซินมานานแล้ว และต่อมาภรรยาลุงก็เป็นมะเร็งและเสียชีวิตจากการรักษาที่มีการเจาะไขกระดูกด้วย ลุงจึงกลัว ญาติเล่าทั้งน้ำตาว่าถ้าให้พ่อเจาะไขกระดูกตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วพ่อคงไม่เป็นอย่างนี้ ผมปล่อยเขาร้องไห้ให้เต็มที่แล้วบอกในมุมกลับว่าหากทำไปในวันนั้นแล้วเป็นอะไรไปเหมือนแม่เขาจะรู้สึกอย่างไร หลังจากวันนั้นความสัมพันธ์ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดเมื่อเห็นว่าคนไข้ควรทราบก็ได้ให้ข้อมูลทุกอย่างกับคนไข้”
“ลุงถามว่า จะหายมั๊ยหมอ หมอตอบไปว่าบอกยากนะ เพราะว่าต้องผ่านขั้นตอนที่อันตรายหลายขั้นตอนจนกว่าจะถึงวันที่เรียกว่าหาย โดยอายุลุง การเจาะไขกระดูกและให้เคมีบำบัด โดยส่วนใหญ่เคมีบำบัดในผู้สูงอายุก็เป็นอันตรายพอสมควร ถ้าลุงผ่านจุดนั้นไปได้อาจจะใช้คำว่าหายได้ แต่ส่วนใหญ่พบว่าถ้าใช้เคมีบำบัดอาการจะแย่ลง ผมบอกข้อมูลตรงนี้ให้ข้อมูลจนเพียงพอ คนไข้ก็รู้สึกและตัดสินใจด้วยตัวเองทันทีแล้วบอกว่า หมอผมพอแล้วละ เพราะที่ผ่านมาจากลูก ๆ ที่อยู่กระจัดกระจายตอนนี้มาอยู่ผลัดกันมาดูแกรู้สึกดี และสุดท้ายลุงก็จากไปอย่างสงบ”
ขณะที่ อ.ทัศนีย์ ทองประทีป จากวิทยาลัยพยาบาลเกื้อการุณย์ ให้ข้อมูลว่า วิทยาลัยพยาบาลเกื้อการุญได้นำหลักพุทธธรรมไปไว้ในหลักสูตรพยาบาล มีการเรียนรู้เรื่องความตายและการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย เป็นมิติของชีวิตและการช่วยเหลือผู้อื่นที่ไม่ได้มีความหมายเพียงวิชาชีพ
ทั้งนี้ เกื้อการุณย์ฯ ผลิตพยาบาลเพื่อไปทำงานกับ 9 โรงพยาบาล และศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม. นั่นคือเป็นคนในกทม.เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งบ้านของคนยุคนี้ก็ไม่ได้เตรียมสำหรับที่จะดูแลกันเมื่อใกล้จะเสียชีวิตหรือประกอบพิธีกรรม ฉะนั้น จึงเกิดโจทย์ขึ้นมาว่า การตายอย่างธรรมชาติมันเกิดขึ้นในโรงพยาบาลได้หรือไม่ และทำให้คำว่า“ฝากผีฝากไข้” ฝากในโรงพยาบาลเป็นจริง
อย่างไรก็ตาม วิทยาลัยพยาบาลเกื้อการุณย์โชคดีที่ผู้บริหารสนับสนุน ให้เกิดการคิดและพัฒนามาเรื่อย ๆ สิ่งหนึ่งที่พบจากการดูแลคนไข้ระยะสุดท้าย คือ ความโดดเดี่ยวของคนไข้ โดยเฉพาะคนในกทม.ที่เป็นสังคมเดี่ยว บางคนช่วงแรกอาจมีเพื่อนแวะเวียนมาเยี่ยมแต่หากอาการโรคที่ไม่จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลแต่จะกลับบ้านก็ไม่ได้ เมื่ออยู่โรงพยาบาลนาน ๆ เพื่อนฝูงที่มาเยี่ยมก็เริ่มห่างหาย การมาเยี่ยมเชิงสังคมหายไป คนที่ดูแลก็คือพยาบาล ซึ่งการทำงานในโรงพยาบาลเจ้าหน้าที่ก็จะยุ่งเดินไปเดินมา คนไข้ก็ไม่สามารถที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ลึก ๆ ที่เกี่ยวกับชีวิตและความตาย จึงเป็นความโดดเดี่ยวและทรมาน และบางทีก็อยากจบชีวิตไปเพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม รู้สึกไม่มีความหมาย ไม่มีความสำคัญ
ดังนั้น เพื่อจะให้นักศึกษาเข้าใจ ในการเรียนจึงกำหนดให้เป็นการเรียนแบบ reflective คือให้ไปดูแลคนไข้แล้วกลับมาเล่าประสบการณ์แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันกับคนอื่น ๆ และอาจารย์ก็เรียนรู้จากสิ่งที่นักศึกษาเล่า
....จะเห็นว่าเราไม่อาจห้ามความตายได้ แต่เราสามารถเลือก “ตายดี” ได้ ในสภาพสังคมปัจจุบันเมล็ดพันธุ์เล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นนี้ทั้งในการสร้างพยาบาลรุ่นใหม่ที่มีหัวใจความเป็นมนุษย์และการทำงานอย่างใส่ใจในความเป็นมนุษย์ของบุคลากรในระบบการรักษาพยาบาลนั้นไม่ใช่เรื่องยากเกินจะเกิดขึ้นได้ และหวังว่าสิ่งดีเหล่านี้จะสานใยขยายผลจนเต็มระบบการดูแลสุขภาพของสังคมไทย.
เรื่อง....ศศิธร อบกลิ่น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในโรงพยาบาลขึ้น ในงานประชุมสัมมนา “วัฒนธรรม ความตาย กับวาระสุดท้ายของชีวิต” ซึ่งสำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ ร่วมกับ เครือข่ายพุทธิกา และมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ จัดขึ้น
นพ.พรเลิศ ฉัตรแก้ว วิสัญญีแพทย์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แสดงความคิดเห็นว่า การทำงานอยู่ในห้องไอซียูมีเรื่องวิกฤติเกี่ยวกับความเป็นและความตายเกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งที่ผ่านมาเคยทบทวนตัวเองและรู้สึกว่าคนเป็นแพทย์ไม่ควรรู้สึกเฉยชากับความตาย ดังนั้น จึงสนใจเรื่องการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ด้วยการเปิดพื้นที่บางอย่างในแง่ของมิติทางจิตใจ การเข้าถึงความคิด ความรู้สึกของทั้งผู้ป่วยและญาติว่าในช่วงเวลาที่เหลืออยู่นั้นเขามีความต้องการหรืออยากทำอะไร ขณะเดียวกันในด้านการรักษา แพทย์ก็ปฏิบัติหน้าที่ให้การดูแลอย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ที่ รพ.จุฬาฯ มีกลุ่มคนที่อาสามาทำเรื่องนี้ด้วยใจและเขาก็มีความสุขที่ได้เติม “ความมีชีวิต” ให้ผู้ป่วยระยะสุดท้าย โดยให้การดูแลอย่างเต็มที่ทั้งร่างกายและจิตใจเพื่อให้ในวาระสุดท้ายเขาจะจากไปอย่างสงบ
“การทำงานกับผู้ป่วยระยะสุดท้าย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนคือทำให้สามารถเห็นการเชื่อมโยงระหว่างหลักวิชาเรื่องโรคกับเรื่องของชีวิต เกิดกระบวนการทบทวนความรู้ว่าจะช่วยบรรเทาทุกข์ให้ผู้ป่วยได้อย่างไร แม้ในทางการแพทย์จะพ้นวิสัยการรักษาได้แล้ว แต่รู้สึกว่าได้พยายามอย่างเต็มที่โดยไม่ทอดทิ้งเขา ญาติและคนไข้ก็จะรู้สึกว่าหมอได้พยายามช่วยอย่างที่สุด ไม่ใช่ทำเพราะรู้สึกเป็นหน้าที่ แต่ทำเพราะทำให้ผู้ป่วยดีขึ้น”
“เช่น ใส่เครื่องช่วยหายใจเพราะจะช่วยให้ผู้ป่วยเหนื่อยน้อยลง ซึ่งในวิชาชีพนี้ไม่ว่าใครจะทำจุดไหนก็ช่วยเขาได้ และท้ายที่สุดคนไข้เป็นครูที่สอนเรื่องการมีความสุขในภาวะยากลำบากได้ เพราะในหลาย ๆ ครั้งที่เราเห็นคนไข้อาการแย่แต่เขายังสามารถมีความสุขได้ เขามีวิธีการอย่างไร สิ่งเหล่านี้ได้เรียนรู้จากผู้ป่วย ทำให้เราพัฒนาและสามารถอยู่กับการทำงานอย่างนี้ได้”
ด้าน นพ.โรจนศักดิ์ ทองคำเจริญ รพ.แม่สอด จ.ตาก เล่าให้ฟังว่า ที่โรงพยาบาลแม่สอดมีการรวมตัวกันของกลุ่มบุคลากรในโรงพยาบาลที่อาสาในการติดตามดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเรียกว่า ทีมอาสาสมัครกัลยาณมิตร (อสก.) มีวิธีการทำงานแบบ “ไม้ผลัด” คือแบ่งงานกันทำด้วยความสมัครใจ ไม่มีใครรู้สึกว่าเป็นภาระเพิ่มจากงานประจำ และให้เพื่อนมาช่วยด้วยในส่วนที่เขาเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดการส่งต่อที่ดีและได้ข้อมูลที่เป็นองค์รวมของผู้ป่วยและการรักษา
ทั้งนี้ ในการทำงานมีกฎเกณฑ์คือ หมอเจ้าของไข้ต้องรับทราบและอนุญาตซึ่งไม่ต้องเขียนเป็นทางการก็ได้เพียงบอกมา เราจะเข้าไปช่วยเท่าที่ทำได้ การทำงานของเราใครอยากเป็นเชิญ ไม่อยากเป็นไม่ต้องมา ไม่บังคับ แจ้งให้ทราบ ไม่มาไม่ว่ากัน ทำด้วยใจ พอทำแล้วเอามาเล่ากันฟังเกิดปีติในตัวคนทำงาน และเทคนิคที่ทุกคนได้คือ การรับฟังให้มาก
เช่น เรื่องหนึ่งที่ประทับใจและมีการเล่าต่อและสอนคนในระบบจนเกิดการเปลี่ยนแปลงการทำงานที่ดี คือ กรณีลุงท่านหนึ่งเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว ก่อนหน้าราว 2 ปีเคยมารับวินิจฉัยซึ่งจะต้องมีการเจาะไขกระดูก แต่คนไข้ปฏิเสธแล้วก็หายไป ทราบว่าไปกลับไปอยู่กับลูก ๆ ที่ จ.เพชรบูรณ์ลูกซึ่งเป็นครูทั้งหมดจากที่เคยแยกย้ายกันไปก็กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าและผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลพ่อ
จากนั้นคนไข้กลับมาอีกครั้งด้วยอาการอ่อนเพลียและซีด มานอนในห้องพิเศษเป็นเวลา 6 เดือน คุณหมอเจ้าของไข้ปรึกษาให้เข้ามาช่วย โดยบอกว่าพบคนไข้ไม่ค่อยได้เพราะญาติจะถามมาก สงสัยไปทุกเรื่อง แพทย์ก็เครียด พยาบาลก็เครียด ที่สำคัญลุงยังไม่รู้ ญาติไม่ยอมบอก
“ผมใช้การเข้าไปแนะนำตัวไปเยี่ยมพูดคุยกับผู้ป่วยไปบ่อย ๆ ไปเป็นประจำจนเกิดความสัมพันธ์ที่ดีและทำให้ได้รู้ข้อมูลว่า ที่บ้านลุงขายน้ำมันเบนซินมานานแล้ว และต่อมาภรรยาลุงก็เป็นมะเร็งและเสียชีวิตจากการรักษาที่มีการเจาะไขกระดูกด้วย ลุงจึงกลัว ญาติเล่าทั้งน้ำตาว่าถ้าให้พ่อเจาะไขกระดูกตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วพ่อคงไม่เป็นอย่างนี้ ผมปล่อยเขาร้องไห้ให้เต็มที่แล้วบอกในมุมกลับว่าหากทำไปในวันนั้นแล้วเป็นอะไรไปเหมือนแม่เขาจะรู้สึกอย่างไร หลังจากวันนั้นความสัมพันธ์ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดเมื่อเห็นว่าคนไข้ควรทราบก็ได้ให้ข้อมูลทุกอย่างกับคนไข้”
“ลุงถามว่า จะหายมั๊ยหมอ หมอตอบไปว่าบอกยากนะ เพราะว่าต้องผ่านขั้นตอนที่อันตรายหลายขั้นตอนจนกว่าจะถึงวันที่เรียกว่าหาย โดยอายุลุง การเจาะไขกระดูกและให้เคมีบำบัด โดยส่วนใหญ่เคมีบำบัดในผู้สูงอายุก็เป็นอันตรายพอสมควร ถ้าลุงผ่านจุดนั้นไปได้อาจจะใช้คำว่าหายได้ แต่ส่วนใหญ่พบว่าถ้าใช้เคมีบำบัดอาการจะแย่ลง ผมบอกข้อมูลตรงนี้ให้ข้อมูลจนเพียงพอ คนไข้ก็รู้สึกและตัดสินใจด้วยตัวเองทันทีแล้วบอกว่า หมอผมพอแล้วละ เพราะที่ผ่านมาจากลูก ๆ ที่อยู่กระจัดกระจายตอนนี้มาอยู่ผลัดกันมาดูแกรู้สึกดี และสุดท้ายลุงก็จากไปอย่างสงบ”
ขณะที่ อ.ทัศนีย์ ทองประทีป จากวิทยาลัยพยาบาลเกื้อการุณย์ ให้ข้อมูลว่า วิทยาลัยพยาบาลเกื้อการุญได้นำหลักพุทธธรรมไปไว้ในหลักสูตรพยาบาล มีการเรียนรู้เรื่องความตายและการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย เป็นมิติของชีวิตและการช่วยเหลือผู้อื่นที่ไม่ได้มีความหมายเพียงวิชาชีพ
ทั้งนี้ เกื้อการุณย์ฯ ผลิตพยาบาลเพื่อไปทำงานกับ 9 โรงพยาบาล และศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม. นั่นคือเป็นคนในกทม.เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งบ้านของคนยุคนี้ก็ไม่ได้เตรียมสำหรับที่จะดูแลกันเมื่อใกล้จะเสียชีวิตหรือประกอบพิธีกรรม ฉะนั้น จึงเกิดโจทย์ขึ้นมาว่า การตายอย่างธรรมชาติมันเกิดขึ้นในโรงพยาบาลได้หรือไม่ และทำให้คำว่า“ฝากผีฝากไข้” ฝากในโรงพยาบาลเป็นจริง
อย่างไรก็ตาม วิทยาลัยพยาบาลเกื้อการุณย์โชคดีที่ผู้บริหารสนับสนุน ให้เกิดการคิดและพัฒนามาเรื่อย ๆ สิ่งหนึ่งที่พบจากการดูแลคนไข้ระยะสุดท้าย คือ ความโดดเดี่ยวของคนไข้ โดยเฉพาะคนในกทม.ที่เป็นสังคมเดี่ยว บางคนช่วงแรกอาจมีเพื่อนแวะเวียนมาเยี่ยมแต่หากอาการโรคที่ไม่จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลแต่จะกลับบ้านก็ไม่ได้ เมื่ออยู่โรงพยาบาลนาน ๆ เพื่อนฝูงที่มาเยี่ยมก็เริ่มห่างหาย การมาเยี่ยมเชิงสังคมหายไป คนที่ดูแลก็คือพยาบาล ซึ่งการทำงานในโรงพยาบาลเจ้าหน้าที่ก็จะยุ่งเดินไปเดินมา คนไข้ก็ไม่สามารถที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ลึก ๆ ที่เกี่ยวกับชีวิตและความตาย จึงเป็นความโดดเดี่ยวและทรมาน และบางทีก็อยากจบชีวิตไปเพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม รู้สึกไม่มีความหมาย ไม่มีความสำคัญ
ดังนั้น เพื่อจะให้นักศึกษาเข้าใจ ในการเรียนจึงกำหนดให้เป็นการเรียนแบบ reflective คือให้ไปดูแลคนไข้แล้วกลับมาเล่าประสบการณ์แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันกับคนอื่น ๆ และอาจารย์ก็เรียนรู้จากสิ่งที่นักศึกษาเล่า
....จะเห็นว่าเราไม่อาจห้ามความตายได้ แต่เราสามารถเลือก “ตายดี” ได้ ในสภาพสังคมปัจจุบันเมล็ดพันธุ์เล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นนี้ทั้งในการสร้างพยาบาลรุ่นใหม่ที่มีหัวใจความเป็นมนุษย์และการทำงานอย่างใส่ใจในความเป็นมนุษย์ของบุคลากรในระบบการรักษาพยาบาลนั้นไม่ใช่เรื่องยากเกินจะเกิดขึ้นได้ และหวังว่าสิ่งดีเหล่านี้จะสานใยขยายผลจนเต็มระบบการดูแลสุขภาพของสังคมไทย.
เรื่อง....ศศิธร อบกลิ่น