ศาลแรงงานกลาง พร้อมรับฟ้องคดี “ไทยศิลป์” ระบุคู่ความมีจำนวนมาก ต้องเตรียมบุคลากรให้เพียงพอ เผยในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ มีการเลิกจ้างหลายโรงงาน หากนายจ้าง-ลูกจ้างเจรจากันได้จะเป็นผลดี

นางสาวอรุณี วีระรัศมี อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลาง กล่าวถึงกรณีปัญหาการหยุดกิจการของ บริษัท ไทยศิลป์อาคเนย์ อิมปอร์ตเอ็กซ์ปอร์ต จำกัด ซึ่งอาจมีการดำเนินการฟ้องร้องตามกฎหมายแรงงานที่ศาลแรงงานว่า ภายหลังจากตนได้ทราบเรื่องดังกล่าว ก็ได้มีการประสานกับนายวิทยา ทาระ เลขานุการศาลแรงงานกลาง ให้มีการเตรียมความพร้อมหากมีการยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลาง สาขาสมุทรปราการ ซึ่งที่ศาลดังกล่าวมีคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาพิพากษาเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว ประกอบกับมีผู้พิพากษาอยู่เพียง 2 คน ศาลแรงงานกลางจึงได้มีการเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับการฟ้องร้องของกลุ่มลูกจ้างที่ได้รับความเดือดร้อน โดยจัดเตรียมผู้พิพากษา นิติกร และเจ้าหน้าที่อื่นๆไปปฏิบัติงานที่ศาลดังกล่าวเพิ่มเติม เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความสะดวก และรวดเร็ว สมกับวิสัยทัศน์ของศาลแรงงานกลางที่ว่า ประหยัด สะดวก รวดเร็ว และเที่ยงธรรม รวมถึงการเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับสถานที่ เนื่องจากที่ตั้งของศาลแรงงานกลาง สาขาสมุทรปราการ อยู่รวมกับศาลแขวงสมุทรปราการ ซึ่งอาจไม่สะดวกต่อการติดต่อราชการกรณีมีคู่ความจำนวนมาก แต่เนื่องจากปัญหาดังกล่าวสามารถตกลงกันได้ในเบื้องต้น จึงทำให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดี
ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่ในปัจจุบันจะมีปัญหาการหยุดกิจการของ บริษัท ไทยศิลป์อาคเนย์ อิมปอร์ต เอ็กซ์ปอร์ต จำกัด เท่านั้น แต่ยังมีปัญหาการหยุดกิจการของโรงงานในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการอีกหลายแห่ง ซึ่งหากมีการทำความเข้าใจที่ดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขึ้นศาล โดยนายจ้างจะต้องมีการชี้แจง หรือพูดคุยกับลูกจ้างให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องหยุดกิจการ ขณะเดียวกัน ลูกจ้างก็จะต้องเข้าใจถึงสถานการณ์ของเศรษฐกิจของนายจ้าง ให้ความเห็นใจกันและพึ่งพาอาศัยกัน อย่างไรก็ตาม หากต้องมาศาล ศาลแรงงานก็ไม่ปฏิเสธ และพร้อมที่จะอำนวยความยุติธรรมให้ โดยในโรงงานหนึ่งๆ หากมีผู้ที่ต้องการยื่นฟ้องเป็นจำนวนมาก ก็ไม่จำเป็นต้องมาทั้งหมด ให้ส่งมาเฉพาะกลุ่มตัวแทน เพียงไม่กี่คน เพื่อความสะดวก และประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย เนื่องจากคดีแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 53 ระบุไว้ว่า ศาลแรงงานอาจจะกำหนดให้คำพิพากษา หรือคำสั่งผูกพันนายจ้างและลูกจ้างอื่น ซึ่งมีประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีด้วย แตกต่างจากคดีทั่วไปที่คำพิพากษาจะผูกพันเฉพาะคู่ความ แต่หากจะมายื่นฟ้องกันทั้งหมด ศาลก็ไม่ปฏิเสธ ซึ่งคดีมีลักษณะเดียวกัน ผลของคดีก็จะเหมือนกัน หรือหากผู้ใดมีคดีในลักษณะที่มีความพิเศษแตกต่างไปจากคนอื่นๆ และไม่ได้ผูกพัน ก็สามารถนำมายื่นฟ้องได้
ส่วนกรณีอดีตพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ที่เป็นข้าราชการบำนาญ ยื่นฟ้อง ร.ฟ.ท.ขอบำเหน็จดำรงชีพนั้น ตามหนังสือที่แนบมาพร้อมคำฟ้องมีจำนวน 12,149 คน ขณะนี้ยื่นฟ้องแล้วประมาณ 3,000 คน ซึ่งได้นัดไว้ถึง 4 นัด คือ ในวันที่ 28 สิงหาคม 2550 จำนวน 1,550 คน, 20 กันยายน 2550 จำนวน 532 คน, 17 ตุลาคม 2550 จำนวน 1,016 คน และช่วงสุดท้าย คือ ในวันที่ 25 ตุลาคม 2550 นับสถิติถึงวันที่ 18 กรกฎาคม ได้ 115 คน เห็นได้ว่า ตัวเลขค่อยๆ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ตัวเลขอาจมีจำนวนมาก แต่หากไปที่ศาลแรงงานจะเห็นได้ว่าวันที่มาฟ้องมีจำนวนน้อยลง เนื่องจากศาลแรงงานกลางได้มีการเตรียมความพร้อม และให้บริการอย่างเต็มความสามารถ ตลอดจนการให้ข่าวของศาลแรงงานเกี่ยวกับการที่อดีตพนักงาน ร.ฟ.ท.รายอื่นๆ ที่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จดำรงชีพ แต่ไม่ได้มายื่นฟ้อง สามารถรอฟังคำพิพากษาในคดีที่ผ่านมาก่อนได้ เนื่องจากศาลแรงงานกลางใช้บทบัญญัติพิเศษของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 53 เพื่อให้ผู้มีสิทธิทุกคนได้รับประโยชน์โดยทั่วถึงกัน ทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น
อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลาง กล่าวทิ้งท้ายว่า หากเกิดกรณีพิพาทระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ไม่ว่าจะเป็นกรณีปัญหาการหยุดกิจการของ บริษัท ไทยศิลป์อาคเนย์ อิมปอร์ต เอ็กซ์ปอร์ต จำกัด กรณีอดีตพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ที่เป็นข้าราชการบำนาญ ยื่นฟ้อง ร.ฟ.ท.ขอบำเหน็จดำรงชีพ รวมถึงพนักงานห้างท็อปส์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรมโดยไม่จ่ายค่าชดเชย และกรณีอื่นๆ ตนอยากให้ ทำความเข้าใจกัน เอาความจริงมาคุยกัน เพราะไม่ใช่ความผิดของใครคนใดคนหนึ่ง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจนั้นยากต่อการควบคุม และหากเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น ควรร่วมกันคิดว่า จะรับมือกับปัญหาอย่างไร และตกลงกันด้วยดีได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องมีน้ำใจให้แก่กัน เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนทั้ง 2 ฝ่าย โดยนายจ้างอาจสูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก และลูกจ้างก็อาจถูกเลิกจ้างหรือถูกพักงาน แต่ปัจจุบันลูกจ้างที่ได้รับความเดือดร้อนก็สามารถได้รับเงินจากกองทุนประกันสังคม หรือกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ดังนั้น หากสงสัยก็สามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับความช่วยเหลือจากกองทุนดังกล่าวได้ที่แรงงานจังหวัดโดยยัง ไม่ต้องรีบมายื่นฟ้องต่อศาล
สำหรับการไกล่เกลี่ยในศาลแรงงานกลางได้มีการดำเนินการตั้งแต่วันแรกของการเปิดทำการคือ ในวันที่ 23 เมษายน 2523 เนื่องจากกฎหมายบังคับให้ใช้วิธีการไกล่เกลี่ย เพราะคู่ความในคดีแรงงานมีความแตกต่างไปจากคดีอื่นๆ คือ คู่ความเคยมีความผูกพันกัน ในฐานะนายจ้างและลูกจ้างมาก่อน การไกล่เกลี่ยเริ่มตั้งแต่วันนัดครั้งแรก แม้การไกล่เกลี่ย ไม่สำเร็จไม่ว่าการพิจารณาคดีจะดำเนินไปแล้วเพียงใด ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาก็ยังสามารถดำเนินการไกล่เกลี่ยได้ นอกจากนี้ ศาลแรงงานยังมีระบบองค์คณะไตรภาคี คือ ผู้พิพากษาศาลแรงงาน 1 คน ผู้พิพากษาสมทบที่เป็นฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างฝ่ายละ 1 คน รวมเป็น 3 คน เพื่อให้เกิดความยุติธรรมต่อทั้ง 2 ฝ่าย โดยคดีแรงงานเป็นคดีที่ไม่มีค่าธรรมเนียม ทำให้ลูกจ้างสามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมในอัตราที่สูงได้ตามความพอใจ จนบางครั้งจำนวนเงินที่เรียกร้องมีจำนวนสูงเกินความเป็นจริง แต่ศาลก็จะพิจารณาพิพากษาไปตามความเหมาะสมและดุลพินิจของศาล หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาและขั้นตอนในการดำเนินคดีแรงงานได้ที่ศาลแรงงานกลาง โทร.0- 2235-1500-8 และ 0-2235-2476 หรือที่ศาลแรงงานกลาง สาขาสมุทรปราการ โทร.0-2707-7673 สาขาสมุทรสาคร โทร.0-3441-4022-3 สาขามีนบุรี โทร.0-2540-7522 และศาลแรงงานภาค 1 - ศาลแรงงานภาค 9 ใกล้บ้านท่าน ในวันและเวลาราชการ
นางสาวอรุณี วีระรัศมี อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลาง กล่าวถึงกรณีปัญหาการหยุดกิจการของ บริษัท ไทยศิลป์อาคเนย์ อิมปอร์ตเอ็กซ์ปอร์ต จำกัด ซึ่งอาจมีการดำเนินการฟ้องร้องตามกฎหมายแรงงานที่ศาลแรงงานว่า ภายหลังจากตนได้ทราบเรื่องดังกล่าว ก็ได้มีการประสานกับนายวิทยา ทาระ เลขานุการศาลแรงงานกลาง ให้มีการเตรียมความพร้อมหากมีการยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลาง สาขาสมุทรปราการ ซึ่งที่ศาลดังกล่าวมีคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาพิพากษาเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว ประกอบกับมีผู้พิพากษาอยู่เพียง 2 คน ศาลแรงงานกลางจึงได้มีการเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับการฟ้องร้องของกลุ่มลูกจ้างที่ได้รับความเดือดร้อน โดยจัดเตรียมผู้พิพากษา นิติกร และเจ้าหน้าที่อื่นๆไปปฏิบัติงานที่ศาลดังกล่าวเพิ่มเติม เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความสะดวก และรวดเร็ว สมกับวิสัยทัศน์ของศาลแรงงานกลางที่ว่า ประหยัด สะดวก รวดเร็ว และเที่ยงธรรม รวมถึงการเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับสถานที่ เนื่องจากที่ตั้งของศาลแรงงานกลาง สาขาสมุทรปราการ อยู่รวมกับศาลแขวงสมุทรปราการ ซึ่งอาจไม่สะดวกต่อการติดต่อราชการกรณีมีคู่ความจำนวนมาก แต่เนื่องจากปัญหาดังกล่าวสามารถตกลงกันได้ในเบื้องต้น จึงทำให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดี
ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่ในปัจจุบันจะมีปัญหาการหยุดกิจการของ บริษัท ไทยศิลป์อาคเนย์ อิมปอร์ต เอ็กซ์ปอร์ต จำกัด เท่านั้น แต่ยังมีปัญหาการหยุดกิจการของโรงงานในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการอีกหลายแห่ง ซึ่งหากมีการทำความเข้าใจที่ดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขึ้นศาล โดยนายจ้างจะต้องมีการชี้แจง หรือพูดคุยกับลูกจ้างให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องหยุดกิจการ ขณะเดียวกัน ลูกจ้างก็จะต้องเข้าใจถึงสถานการณ์ของเศรษฐกิจของนายจ้าง ให้ความเห็นใจกันและพึ่งพาอาศัยกัน อย่างไรก็ตาม หากต้องมาศาล ศาลแรงงานก็ไม่ปฏิเสธ และพร้อมที่จะอำนวยความยุติธรรมให้ โดยในโรงงานหนึ่งๆ หากมีผู้ที่ต้องการยื่นฟ้องเป็นจำนวนมาก ก็ไม่จำเป็นต้องมาทั้งหมด ให้ส่งมาเฉพาะกลุ่มตัวแทน เพียงไม่กี่คน เพื่อความสะดวก และประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย เนื่องจากคดีแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 53 ระบุไว้ว่า ศาลแรงงานอาจจะกำหนดให้คำพิพากษา หรือคำสั่งผูกพันนายจ้างและลูกจ้างอื่น ซึ่งมีประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีด้วย แตกต่างจากคดีทั่วไปที่คำพิพากษาจะผูกพันเฉพาะคู่ความ แต่หากจะมายื่นฟ้องกันทั้งหมด ศาลก็ไม่ปฏิเสธ ซึ่งคดีมีลักษณะเดียวกัน ผลของคดีก็จะเหมือนกัน หรือหากผู้ใดมีคดีในลักษณะที่มีความพิเศษแตกต่างไปจากคนอื่นๆ และไม่ได้ผูกพัน ก็สามารถนำมายื่นฟ้องได้
ส่วนกรณีอดีตพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ที่เป็นข้าราชการบำนาญ ยื่นฟ้อง ร.ฟ.ท.ขอบำเหน็จดำรงชีพนั้น ตามหนังสือที่แนบมาพร้อมคำฟ้องมีจำนวน 12,149 คน ขณะนี้ยื่นฟ้องแล้วประมาณ 3,000 คน ซึ่งได้นัดไว้ถึง 4 นัด คือ ในวันที่ 28 สิงหาคม 2550 จำนวน 1,550 คน, 20 กันยายน 2550 จำนวน 532 คน, 17 ตุลาคม 2550 จำนวน 1,016 คน และช่วงสุดท้าย คือ ในวันที่ 25 ตุลาคม 2550 นับสถิติถึงวันที่ 18 กรกฎาคม ได้ 115 คน เห็นได้ว่า ตัวเลขค่อยๆ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ตัวเลขอาจมีจำนวนมาก แต่หากไปที่ศาลแรงงานจะเห็นได้ว่าวันที่มาฟ้องมีจำนวนน้อยลง เนื่องจากศาลแรงงานกลางได้มีการเตรียมความพร้อม และให้บริการอย่างเต็มความสามารถ ตลอดจนการให้ข่าวของศาลแรงงานเกี่ยวกับการที่อดีตพนักงาน ร.ฟ.ท.รายอื่นๆ ที่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จดำรงชีพ แต่ไม่ได้มายื่นฟ้อง สามารถรอฟังคำพิพากษาในคดีที่ผ่านมาก่อนได้ เนื่องจากศาลแรงงานกลางใช้บทบัญญัติพิเศษของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 53 เพื่อให้ผู้มีสิทธิทุกคนได้รับประโยชน์โดยทั่วถึงกัน ทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น
อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลาง กล่าวทิ้งท้ายว่า หากเกิดกรณีพิพาทระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ไม่ว่าจะเป็นกรณีปัญหาการหยุดกิจการของ บริษัท ไทยศิลป์อาคเนย์ อิมปอร์ต เอ็กซ์ปอร์ต จำกัด กรณีอดีตพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ที่เป็นข้าราชการบำนาญ ยื่นฟ้อง ร.ฟ.ท.ขอบำเหน็จดำรงชีพ รวมถึงพนักงานห้างท็อปส์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรมโดยไม่จ่ายค่าชดเชย และกรณีอื่นๆ ตนอยากให้ ทำความเข้าใจกัน เอาความจริงมาคุยกัน เพราะไม่ใช่ความผิดของใครคนใดคนหนึ่ง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจนั้นยากต่อการควบคุม และหากเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น ควรร่วมกันคิดว่า จะรับมือกับปัญหาอย่างไร และตกลงกันด้วยดีได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องมีน้ำใจให้แก่กัน เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนทั้ง 2 ฝ่าย โดยนายจ้างอาจสูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก และลูกจ้างก็อาจถูกเลิกจ้างหรือถูกพักงาน แต่ปัจจุบันลูกจ้างที่ได้รับความเดือดร้อนก็สามารถได้รับเงินจากกองทุนประกันสังคม หรือกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ดังนั้น หากสงสัยก็สามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับความช่วยเหลือจากกองทุนดังกล่าวได้ที่แรงงานจังหวัดโดยยัง ไม่ต้องรีบมายื่นฟ้องต่อศาล
สำหรับการไกล่เกลี่ยในศาลแรงงานกลางได้มีการดำเนินการตั้งแต่วันแรกของการเปิดทำการคือ ในวันที่ 23 เมษายน 2523 เนื่องจากกฎหมายบังคับให้ใช้วิธีการไกล่เกลี่ย เพราะคู่ความในคดีแรงงานมีความแตกต่างไปจากคดีอื่นๆ คือ คู่ความเคยมีความผูกพันกัน ในฐานะนายจ้างและลูกจ้างมาก่อน การไกล่เกลี่ยเริ่มตั้งแต่วันนัดครั้งแรก แม้การไกล่เกลี่ย ไม่สำเร็จไม่ว่าการพิจารณาคดีจะดำเนินไปแล้วเพียงใด ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาก็ยังสามารถดำเนินการไกล่เกลี่ยได้ นอกจากนี้ ศาลแรงงานยังมีระบบองค์คณะไตรภาคี คือ ผู้พิพากษาศาลแรงงาน 1 คน ผู้พิพากษาสมทบที่เป็นฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างฝ่ายละ 1 คน รวมเป็น 3 คน เพื่อให้เกิดความยุติธรรมต่อทั้ง 2 ฝ่าย โดยคดีแรงงานเป็นคดีที่ไม่มีค่าธรรมเนียม ทำให้ลูกจ้างสามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมในอัตราที่สูงได้ตามความพอใจ จนบางครั้งจำนวนเงินที่เรียกร้องมีจำนวนสูงเกินความเป็นจริง แต่ศาลก็จะพิจารณาพิพากษาไปตามความเหมาะสมและดุลพินิจของศาล หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาและขั้นตอนในการดำเนินคดีแรงงานได้ที่ศาลแรงงานกลาง โทร.0- 2235-1500-8 และ 0-2235-2476 หรือที่ศาลแรงงานกลาง สาขาสมุทรปราการ โทร.0-2707-7673 สาขาสมุทรสาคร โทร.0-3441-4022-3 สาขามีนบุรี โทร.0-2540-7522 และศาลแรงงานภาค 1 - ศาลแรงงานภาค 9 ใกล้บ้านท่าน ในวันและเวลาราชการ