“คุณหญิงไขศรี” ค้านยุบกรมการศาสนารวมกับสำนักงานพระพุทธฯ ระบุผู้เสนอควรมาหารือ วธ.ก่อนเพื่อจะได้ศึกษาข้อดีข้อเสีย และผลกระทบที่เกิดขึ้น ขณะที่ ผอ.สำนักงานพระพุทธฯ ยอมรับ “ธีรภัทร์” ส่งหนังสือเร่งรัดให้การศึกษาปรับโครงสร้างระบบบริหารงาน พศ. ด้านอธิบดีกรมการศาสนาแนะตั้งเป็นทบวงศาสนา
จากการที่ รศ.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ส่งหนังสือที่ นร 0411(ลต.2)/3995 ถึงนายชัยอนันต์ สมุทวณิช ประธานอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการ (อ.ก.พ.ร.) เกี่ยวกับการบริหารกิจการพระพุทธศาสนาระดับกรม 2 ส่วนราชการ คือ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในสังกัดนายกรัฐมนตรี และกรมการศาสนา (ศน.) ในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เพื่อขอให้ปรับโครงสร้างส่วนราชการที่รับผิดชอบกิจการด้านพระพุทธศาสนาให้มีความเป็นเอกภาพมากขึ้น
คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า เรื่องนี้ รศ.ธีรภัทร์ และ พศ.ไม่ได้มาหารือกับตน ว่าจะมีการปรับโครงสร้างของทั้งสองหน่วยงานแต่อย่างใด ซึ่งตนต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือกับ วธ.ถึงการปรับโครงสร้างก่อนว่าจะดำเนินการร่วมกันอย่างไร และควรจะดำเนินการไปทิศทางไหน เพราะจะต้องทำการศึกษาข้อดีข้อเสีย จะส่งผลกระทบในเรื่องใดบ้าง เนื่องจากการทำงานของ ศน.ปัจจุบันต้องประสานงานให้ครบทั้ง 5 ศาสนา ได้แก่ พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดู และซิกข์ ถ้าแยกศาสนาพุทธออกจาก ศน.แล้ว จะทำให้เกิดปัญหาการประสานงานระหว่างกันหรือไม่ จึงขอให้ทาง พศ.คิดให้รอบคอบ และเห็นว่าตั้งคณะทำงานศึกษาในเรื่องดังกล่าว ควรต้องมีคณะทำงานจาก วธ.เข้าไปมีส่วนร่วมคิดร่วมทำด้วย ไม่ใช่ พศ.จะตั้งคณะทำงานอยู่เพียงฝ่ายเดียว
นางจุฬารัตน์ บุณยากร ผู้อำนวยการ พศ.กล่าวว่า ขณะนี้ รศ.ธีรภัทร์ได้ส่งหนังสือฉบับดังกล่าวมายัง พศ.เพื่อเร่งรัดให้มีการศึกษาการปรับโครงสร้างระบบบริหารงาน พศ.แล้ว โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีความซ้ำซ้อนระหว่างกรมการศาสนา ซึ่งระบุว่าปัญหาดังกล่าวส่งผลให้ไม่สามารถกำกับและขับเคลื่อนงานด้านพระพุทธศาสนาให้เป็นไปอย่างมีเอกภาพ ทำให้เกิดผลกระทบต่อการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในระยะยาวได้ ดังนั้น พศ.จึงได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานแบ่งส่วนราชการขึ้นมาศึกษาการทำงานในเรื่องดังกล่าวว่าควรจะมีการปรับปรุงโครงสร้างอย่างไรถึงจะเกิดความเหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจของ พศ.ที่มีมากขึ้น
ด้านนายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า การยุบรวมหน่วยงานของ ศน.ไปยัง พศ. ถ้าทางผู้ใหญ่ได้ศึกษาข้อมูลว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไรแล้ว ตนก็ไม่ขัดข้อง แต่คิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจากทั้งสองหน่วยงาน มีผู้บังคับบัญชาคนละคนกัน จึงทำให้มีนโยบายที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าเป็นไปได้ควรที่จะมีการปรับให้มีผู้บริหารคนเดียวกัน หรือปรับเป็นทบวงศาสนา กระทรวงการศาสนา ที่นำหน่วยงานด้านศาสนาไปอยู่ร่วมกันในกำกับผู้บริหารคนเดียวกัน ตนคิดว่าน่าจะมีผลที่ดีกว่าการยุบหรือการแยกออกจากกัน อย่างไรก็ตาม คิดว่าเรื่องแยกหรือยุบไม่ใช่ปัญหา ขึ้นอยู่กับการทำงาน เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและศาสนามากกว่า
จากการที่ รศ.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ส่งหนังสือที่ นร 0411(ลต.2)/3995 ถึงนายชัยอนันต์ สมุทวณิช ประธานอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการ (อ.ก.พ.ร.) เกี่ยวกับการบริหารกิจการพระพุทธศาสนาระดับกรม 2 ส่วนราชการ คือ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในสังกัดนายกรัฐมนตรี และกรมการศาสนา (ศน.) ในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เพื่อขอให้ปรับโครงสร้างส่วนราชการที่รับผิดชอบกิจการด้านพระพุทธศาสนาให้มีความเป็นเอกภาพมากขึ้น
คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กล่าวว่า เรื่องนี้ รศ.ธีรภัทร์ และ พศ.ไม่ได้มาหารือกับตน ว่าจะมีการปรับโครงสร้างของทั้งสองหน่วยงานแต่อย่างใด ซึ่งตนต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือกับ วธ.ถึงการปรับโครงสร้างก่อนว่าจะดำเนินการร่วมกันอย่างไร และควรจะดำเนินการไปทิศทางไหน เพราะจะต้องทำการศึกษาข้อดีข้อเสีย จะส่งผลกระทบในเรื่องใดบ้าง เนื่องจากการทำงานของ ศน.ปัจจุบันต้องประสานงานให้ครบทั้ง 5 ศาสนา ได้แก่ พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดู และซิกข์ ถ้าแยกศาสนาพุทธออกจาก ศน.แล้ว จะทำให้เกิดปัญหาการประสานงานระหว่างกันหรือไม่ จึงขอให้ทาง พศ.คิดให้รอบคอบ และเห็นว่าตั้งคณะทำงานศึกษาในเรื่องดังกล่าว ควรต้องมีคณะทำงานจาก วธ.เข้าไปมีส่วนร่วมคิดร่วมทำด้วย ไม่ใช่ พศ.จะตั้งคณะทำงานอยู่เพียงฝ่ายเดียว
นางจุฬารัตน์ บุณยากร ผู้อำนวยการ พศ.กล่าวว่า ขณะนี้ รศ.ธีรภัทร์ได้ส่งหนังสือฉบับดังกล่าวมายัง พศ.เพื่อเร่งรัดให้มีการศึกษาการปรับโครงสร้างระบบบริหารงาน พศ.แล้ว โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีความซ้ำซ้อนระหว่างกรมการศาสนา ซึ่งระบุว่าปัญหาดังกล่าวส่งผลให้ไม่สามารถกำกับและขับเคลื่อนงานด้านพระพุทธศาสนาให้เป็นไปอย่างมีเอกภาพ ทำให้เกิดผลกระทบต่อการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในระยะยาวได้ ดังนั้น พศ.จึงได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานแบ่งส่วนราชการขึ้นมาศึกษาการทำงานในเรื่องดังกล่าวว่าควรจะมีการปรับปรุงโครงสร้างอย่างไรถึงจะเกิดความเหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจของ พศ.ที่มีมากขึ้น
ด้านนายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า การยุบรวมหน่วยงานของ ศน.ไปยัง พศ. ถ้าทางผู้ใหญ่ได้ศึกษาข้อมูลว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไรแล้ว ตนก็ไม่ขัดข้อง แต่คิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจากทั้งสองหน่วยงาน มีผู้บังคับบัญชาคนละคนกัน จึงทำให้มีนโยบายที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าเป็นไปได้ควรที่จะมีการปรับให้มีผู้บริหารคนเดียวกัน หรือปรับเป็นทบวงศาสนา กระทรวงการศาสนา ที่นำหน่วยงานด้านศาสนาไปอยู่ร่วมกันในกำกับผู้บริหารคนเดียวกัน ตนคิดว่าน่าจะมีผลที่ดีกว่าการยุบหรือการแยกออกจากกัน อย่างไรก็ตาม คิดว่าเรื่องแยกหรือยุบไม่ใช่ปัญหา ขึ้นอยู่กับการทำงาน เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและศาสนามากกว่า