xs
xsm
sm
md
lg

อย่าตกใจ “โรคลิชมาเนีย” พบไม่บ่อยในไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กรมควบคุมโรค เผยสถานการณ์ “โรคลิชมาเนีย” ในไทยพบไม่บ่อย ปีที่ผ่านมามีรายงานแค่ 1 ราย ที่ จ.พังงา ชี้มียารักษาได้แต่ต้องระมัดระวังอย่าให้ริ้นฝอยทรายกัด อาการเบื้องต้นมีผื่นนูนเล็กๆ ที่ผิวหนัง แผล หายช้า มีไข้เรื้อรัง เป็นๆ หายๆ ซีด ท้องอืด ตับและม้ามโต และน้ำหนักลด วิธีป้องกันแนะชาวบ้านถางหญ้ารอบๆ บ้านให้โล่งเตียน โดยเฉพาะชาวชนบท
กรณีที่ นพ.มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้รายงาน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้รับทราบเกี่ยวกับโรคลิชมาเนีย ว่าเป็นโรคใหม่ที่ต้องเพิ่มการเฝ้าระวังในประเทศไทย และได้ประสานกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงแรงงาน ให้มีการติดตามแรงงานไทยที่ไปทำงานในประเทศแถบตะวันออกกลาง เพื่อให้มีการตรวจสุขภาพ ป้องกันการติดโรคและให้การรักษาได้ทันการณ์หากเกิดการเจ็บป่วย นั้น

นพ.ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงการเฝ้าระวังโรคลิชมาเนียในประเทศไทยว่า โรคลิชมาเนีย (Leishmaniasis) หรือโรคริ้นฝอยทรายกัด เป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่เกิดจากโปรโตซัวในตระกูลลิชมาเนีย พบได้ทั้งในคนและสัตว์หลายชนิด เช่น สุนัข แมว วัว แกะ หนู เป็นต้น การติดต่อเกิดจากริ้นฝอยทราย (sand fly) ซึ่งเป็นแมลงที่กัดกินเลือดคนและสัตว์ เมื่อดูดเลือดคนและสัตว์ที่ป่วยเป็นโรคลิชมาเนีย ก็จะแพร่โรคไปสู่คนอื่นได้

นพ.ธวัช กล่าวต่อว่า ก่อนนี้โรคลิชมาเนียพบในแถบตะวันออกกลาง อาการของโรคแบ่งได้ 3 ชนิด คือ ชนิดที่ไม่รุนแรง จะมีอาการที่ผิวหนัง มีตุ่มเล็กๆ ที่ผิวและแตกออกเป็นแผล อาจมีกว่า 100 แผลก็ได้ และชนิดรุนแรงที่ทำให้ติดเชื้อที่อวัยวะภายใน (Visceral Leishmaniasis) มีชื่อเรียกว่า โรคคาลา อาซา (Kala azar) ผู้ป่วยจะมีอาการไข้เรื้อรัง ซีด น้ำหนักลด ม้ามและตับโต หมดเรี่ยวแรง และชนิดที่ 3 เป็นชนิดที่เกิดขึ้นกับเยื่อเมือก (Mucocutaneous Leishmaniasis) ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับที่เกิดขึ้นที่ผิวหนัง แต่จะเกิดแผลลุกลามในอวัยวะที่มีเยื่อเมือก เช่น จมูก ปาก เป็นต้น

นพ.ธวัช กล่าวด้วยว่า ทั่วโลกมีรายงานผู้ป่วยสะสม 350 ล้านคน ใน 88 ประเทศ โดยติดเชื้อปีละประมาณ 100,000 คน มีประชาชนเสี่ยงติดโรคนี้ประมาณ 147 ล้านคน ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้หากไม่ได้รับการรักษา โดยเฉพาะชนิดที่ทำให้ติดเชื้อที่อวัยวะภายในจะทำให้อัตราป่วยเพิ่มขึ้น 100 เปอร์เซ็นต์ภายใน 2 ปี และอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยมักเป็นโรคของคนในชนบท เนื่องจากเชื้อมักจะพบในผู้ที่อยู่ในบ้านใกล้กับป่า หรือทำงานในป่า

นพ.ธวัช กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบรายงานโรคลิชมาเนียในประเทศไทยย้อนหลัง พบมีรายงานครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2503 ผู้ป่วยเป็นชาวปากีสถาน 3 ราย ส่วนคนไทยพบรายงานใน พ.ศ.2527-2549 จำนวน 8 ราย 5 รายแรกพบในปี 2528-2529 มีประวัติไปทำงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย และคูเวต โดยพบใน พ.ศ.2539 ที่ จ.สุราษฎร์ธานี ปี 2548 ที่จังหวัดน่าน และปี 2549 พบที่จังหวัดพังงา ทุกรายไม่มีประวัติเดินทางไปต่างประเทศ รายสุดท้ายที่ จ.พังงา เป็นชนิดที่มีการติดเชื้ออวัยวะภายใน ซึ่งมีรายงานเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 เป็นชายอายุ 54 ปี อาชีพกรีดยาง เริ่มมีอาการเมื่อเดือนพฤษภาคม 2546 ด้วยอาการไข้ หนาวสั่น ไอ อาเจียน ปวดศีรษะ ปวดแน่นท้อง ตับและม้ามโต ซีด อ่อนเพลียมาก ผอมมากผิดปกติ หายใจไม่สะดวก ต่อมาผู้ป่วยเลือดกำเดาและเลือดออกตามไรฟัน เลือดไหลไม่หยุด อ่อนเพลียมาก เหนื่อยหอบ ซีดรุนแรง ตับ ม้ามโตมากขึ้น นับเป็นรายที่ 2 ของภาคใต้ และเป็นรายที่ 3 ของประเทศ อย่างไรก็ดี ขณะนี้ยังไม่มีรายงานการเสียชีวิตจากโรคดังกล่าว

นพ.ธวัช กล่าวต่อไปว่า สำหรับการรักษาโรคลิชมาเนีย ขณะนี้ประเทศไทยมีความพร้อม โดยมียาฉีด 2 ชนิด ชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ฉีดเป็นเวลา 14 วัน และชนิดฉีดเข้าเส้นเลือดติดต่อกันเป็นเวลา 30 วัน การรักษาได้ผลดี หายขาด โดยได้ส่งยากระจายไปยังสำนักควบคุมโรคทั้ง 12 เขตแล้ว อย่างไรก็ตาม อาจป่วยซ้ำได้จากการถูกริ้นฝอยทรายที่มีเชื้อกัด ฉะนั้น จะต้องอาศัยการป้องกันควบคู่กัน โดยดูแลบ้านเรือนให้สะอาด และถางหญ้า ถางป่ารอบบ้านให้โล่งเตียน เพื่อไม่ให้เป็นที่อยู่ของริ้นฝอยทราย และกำจัดขยะมูลฝอยโดยการเผา หรือฝังดิน นอนกางมุ้งป้องกันหรือติดมุ้งลวดที่บ้าน ซึ่งแมลงชนิดนี้ออกหากินในช่วงหัวค่ำ หากมีอาชีพกรีดยางหรือต้องเข้าไปหาของป่าต้องสวมเสื้อผ้า ใส่รองเท้า ถุงเท้าให้มิดชิด รวมทั้งทายาป้องกันแมลงกัดก็จะป้องกันได้

นพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวเสริมว่า ผู้ที่มีอาการไข้เรื้อรังรักษาไม่หายหลังจากที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศแล้ว 1 ปี เนื่องจากเชื้อโรคดังกล่าวใช้เวลาในการฟักไข่นาน 6-7 เดือน ควรที่จะพบแพทย์โดยผู้ป่วยต้องให้ข้อมูลประวัติกับแพทย์อย่างละเอียด เนื่องจากโรคดังกล่าวแม้จะสามารถรักษาหายได้ แต่วินิจฉัยได้ช้า หากได้ข้อมูลไม่ครบถ้วนอาจทำให้มีการวินิจฉัยผิด เพราะผู้ป่วยจะมีร่างกายไปไม่แข็งแรง ผอมแห้ง คล้ายมะเร็ง โดยผู้ที่ไปทำงานต่างประเทศแถบตะวันออกกลางสามารถป้องกันได้โดยการใส่เสื้อผ้าที่รัดกุม เนื่องจากริ้นฝอยทรายมีปากสั้น ไม่สามารถกัดทะลุผ้าได้
กำลังโหลดความคิดเห็น