ไทยเตรียมเสนอให้ยกเลิกบุหรี่ปลอดภาษีในดิวตี้ฟรี พร้อมโชว์บัตรประชาชนก่อนซื้อบุหรี่ รวมทั้งเพิ่มการพิมพ์สายด่วนเลิกบุหรี่ที่ข้างซอง เพื่อให้คนสูบที่อยากเลิกเข้าถึงคำแนะนำง่ายขึ้น ในเวทีการประชุมการควบคุมบุหรี่ระดับโลกครั้งที่ 2 ระหว่าง 30 มิถุนายน-6 กรกฎาคม นี้ โดยองค์การอนามัยโลกเลือกไทยเป็นเจ้าภาพ ระดมนักวิชาการ ผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ จาก 191 ประเทศ กว่า 800 คนเข้าร่วม

วันนี้ (4 มิ.ย.) นพ.มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมคณะกรรมการดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ ร่วมกับกรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงการพัฒนาสวัสดิการสังคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ศูนย์วิจัยและการจัดการความรู้เพื่อการควบคุมการบริโภคยาสูบ (ศจย.) และองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามความคืบหน้าของการควบคุมยาสูบในประเทศไทย รวมทั้งการเตรียมการจัดประชุมการควบคุมบุหรี่ระดับโลกที่ประเทศไทย
นพ.มงคล กล่าวภายหลังการประชุมว่า ในปีนี้องค์การอนามัยโลกได้เลือกประเทศไทย ให้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมประเทศภาคสมาชิกใหญ่กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน-6 กรกฎาคม 2550 ที่ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ โดยจะมีผู้บริหารระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ ที่ควบคุมปัญหาการสูบบุหรี่จาก 191 ประเทศ เข้าประชุมประมาณ 800 คน ซึ่งนับว่าการประชุมที่ไทยครั้งนี้ เป็นครั้งแรกของกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากประเทศไทยได้รับการยกย่องว่ามีความเข้มแข็ง และเป็นผู้นำในการควบคุมยาสูบในระดับผู้นำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบางมาตรการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว อาทิ การจัดทำภาพคำเตือนบนซองบุหรี่ 9 ภาพ และการห้ามโฆษณาบุหรี่ที่จุดขาย ซึ่งถือว่าเป็นผู้นำระดับโลกซึ่งมีไม่กี่ประเทศที่สามารถทำได้ ซึ่งเป้าหมายในอนาคตไทยจะพยายามทำให้เป็นประเทศไร้ควันบุหรี่ให้ได้
นพ.มงคล กล่าวต่อว่า ในที่ประชุมวันนี้ ได้มีการกำหนดท่าทีของประเทศไทยในการควบคุมบุหรี่ตามกรอบของอนุสัญญาบุหรี่โลกที่จะเสนอในที่ประชุมบุหรี่โลกปลายเดือนนี้ 8 ประเด็น ได้แก่ 1.เสนอให้มีการจัดระบบเก็บภาษีบุหรี่ไปในทางเดียวกัน 2.เสนอให้เก็บภาษีบุหรี่ที่ขายในร้านดิวตี้ฟรี (Duty free) หรือร้านค้าปลอดภาษีที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย และท่าอากาศยาน รวมทั้งต้องติดภาพคำเตือนพิษภัยบุหรี่เช่นเดียวกับบุหรี่ทั่วไป 3.ห้ามอุตสาหกรรมบุหรี่โฆษณาทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการโฆษณาผ่านพรมแดน รวมทั้งห้ามภาครัฐรับการสนับสนุนจากอุตสาหกรรมบุหรี่ 4.พัฒนาให้มีการจัดการระบบบริการช่วยเหลือผู้สูบบุหรี่ให้สามารถเลิกบุหรี่ได้ โดยที่ประชุมได้เสนอให้จัดพิมพ์สายด่วนเลิกบุหรี่ 1600 ที่ข้างซองบุหรี่ เพื่อให้คนที่อยากเลิกสูบบุหรี่ได้รับคำแนะนำ รวมทั้งเสนอให้มีการบรรจุยาอดบุหรี่เข้าในบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อให้ผู้ติดบุหรี่เลิกได้สำเร็จ
5.สนับสนุนมาตรการควบคุมป้องกันการลักลอบนำเข้าของบุหรี่ และบุหรี่ปลอมโดยเสนอให้ทำลายบุหรี่เถื่อนของกลางที่จับได้แทนการประมูล 6.สนับสนุนมาตรการควบคุมการเข้าถึงบุหรี่ของเยาวชน ซึ่งไทยห้ามขายบุหรี่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นโดยที่ประชุมเสนอให้ผู้ซื้อแสดงบัตรประชาชน เช่นเดียวกับการซื้อเหล้า 7.สนับสนุนให้ลดพื้นที่การเพาะปลูกยาสูบและส่งเสริมการปลูกพืชทดแทนของเกษตรกรยาสูบ และ 8.สนับสนุนให้มีมาตรการดำเนินการฟ้องร้องชดเชยค่าเสียหายจากบริษัทบุหรี่
“ในการประชุมครั้งนี้ประเทศต่างๆ จะนำเสนอความตั้งใจในการที่ลดการบริโภคบุหรี่ ซึ่งยุทธศาสตร์หลัก มี 2 ข้อ คือ ลดความต้องการของผู้บริโภค และลดการผลิต โดยมาตรการหนึ่ง คือ การเพิ่มภาษี ซึ่งจะช่วยลดทั้งการบริโภคและการผลิต ไม่ให้มีการยกเว้นการเก็บภาษีในสนามบิน ดิวตี้ฟรีแต่ให้เก็บเต็มจำนวน ซึ่งในการประชุมตัวแทนกรมสรรพสามิตก็แสดงเจตจำนงมีความตั้งใจ แต่จะสำเร็จเมื่อใดอาจจะต้องใช้เวลา ซึ่งเรื่องนี้คงไม่ใช่งานของสาธารณสุขฝ่ายเดียวแต่ทุกส่วนจะต้องช่วยกัน อย่างไรก็ดี เมื่อการปรชุมครั้งนี้เสร็จสิ้น ก็จะต้องมีการดำเนินการเพื่อรายงานผลในการประชุมครั้งต่อไปด้วย”นพ.มงคลกล่าว
ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ.2534 – 2549 อัตราการสูบบุหรี่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ 30.46 ในปี 2534 เป็นร้อยละ 18.94 ในปี พ.ศ. 2549 ซึ่งในขณะเดียวกันอัตราการนำเข้าบุหรี่ต่างประเทศเพิ่มขึ้นสูงในช่วง พ.ศ.2546 – 2548 โดยมีส่วนแบ่งการตลาดของบุหรี่นอกถึงร้อยละ 22.3 มีการนำเข้า 401,682,046 ซอง
วันนี้ (4 มิ.ย.) นพ.มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมคณะกรรมการดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ ร่วมกับกรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงการพัฒนาสวัสดิการสังคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ศูนย์วิจัยและการจัดการความรู้เพื่อการควบคุมการบริโภคยาสูบ (ศจย.) และองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามความคืบหน้าของการควบคุมยาสูบในประเทศไทย รวมทั้งการเตรียมการจัดประชุมการควบคุมบุหรี่ระดับโลกที่ประเทศไทย
นพ.มงคล กล่าวภายหลังการประชุมว่า ในปีนี้องค์การอนามัยโลกได้เลือกประเทศไทย ให้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมประเทศภาคสมาชิกใหญ่กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน-6 กรกฎาคม 2550 ที่ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ โดยจะมีผู้บริหารระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ ที่ควบคุมปัญหาการสูบบุหรี่จาก 191 ประเทศ เข้าประชุมประมาณ 800 คน ซึ่งนับว่าการประชุมที่ไทยครั้งนี้ เป็นครั้งแรกของกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากประเทศไทยได้รับการยกย่องว่ามีความเข้มแข็ง และเป็นผู้นำในการควบคุมยาสูบในระดับผู้นำของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบางมาตรการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว อาทิ การจัดทำภาพคำเตือนบนซองบุหรี่ 9 ภาพ และการห้ามโฆษณาบุหรี่ที่จุดขาย ซึ่งถือว่าเป็นผู้นำระดับโลกซึ่งมีไม่กี่ประเทศที่สามารถทำได้ ซึ่งเป้าหมายในอนาคตไทยจะพยายามทำให้เป็นประเทศไร้ควันบุหรี่ให้ได้
นพ.มงคล กล่าวต่อว่า ในที่ประชุมวันนี้ ได้มีการกำหนดท่าทีของประเทศไทยในการควบคุมบุหรี่ตามกรอบของอนุสัญญาบุหรี่โลกที่จะเสนอในที่ประชุมบุหรี่โลกปลายเดือนนี้ 8 ประเด็น ได้แก่ 1.เสนอให้มีการจัดระบบเก็บภาษีบุหรี่ไปในทางเดียวกัน 2.เสนอให้เก็บภาษีบุหรี่ที่ขายในร้านดิวตี้ฟรี (Duty free) หรือร้านค้าปลอดภาษีที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย และท่าอากาศยาน รวมทั้งต้องติดภาพคำเตือนพิษภัยบุหรี่เช่นเดียวกับบุหรี่ทั่วไป 3.ห้ามอุตสาหกรรมบุหรี่โฆษณาทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการโฆษณาผ่านพรมแดน รวมทั้งห้ามภาครัฐรับการสนับสนุนจากอุตสาหกรรมบุหรี่ 4.พัฒนาให้มีการจัดการระบบบริการช่วยเหลือผู้สูบบุหรี่ให้สามารถเลิกบุหรี่ได้ โดยที่ประชุมได้เสนอให้จัดพิมพ์สายด่วนเลิกบุหรี่ 1600 ที่ข้างซองบุหรี่ เพื่อให้คนที่อยากเลิกสูบบุหรี่ได้รับคำแนะนำ รวมทั้งเสนอให้มีการบรรจุยาอดบุหรี่เข้าในบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อให้ผู้ติดบุหรี่เลิกได้สำเร็จ
5.สนับสนุนมาตรการควบคุมป้องกันการลักลอบนำเข้าของบุหรี่ และบุหรี่ปลอมโดยเสนอให้ทำลายบุหรี่เถื่อนของกลางที่จับได้แทนการประมูล 6.สนับสนุนมาตรการควบคุมการเข้าถึงบุหรี่ของเยาวชน ซึ่งไทยห้ามขายบุหรี่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นโดยที่ประชุมเสนอให้ผู้ซื้อแสดงบัตรประชาชน เช่นเดียวกับการซื้อเหล้า 7.สนับสนุนให้ลดพื้นที่การเพาะปลูกยาสูบและส่งเสริมการปลูกพืชทดแทนของเกษตรกรยาสูบ และ 8.สนับสนุนให้มีมาตรการดำเนินการฟ้องร้องชดเชยค่าเสียหายจากบริษัทบุหรี่
“ในการประชุมครั้งนี้ประเทศต่างๆ จะนำเสนอความตั้งใจในการที่ลดการบริโภคบุหรี่ ซึ่งยุทธศาสตร์หลัก มี 2 ข้อ คือ ลดความต้องการของผู้บริโภค และลดการผลิต โดยมาตรการหนึ่ง คือ การเพิ่มภาษี ซึ่งจะช่วยลดทั้งการบริโภคและการผลิต ไม่ให้มีการยกเว้นการเก็บภาษีในสนามบิน ดิวตี้ฟรีแต่ให้เก็บเต็มจำนวน ซึ่งในการประชุมตัวแทนกรมสรรพสามิตก็แสดงเจตจำนงมีความตั้งใจ แต่จะสำเร็จเมื่อใดอาจจะต้องใช้เวลา ซึ่งเรื่องนี้คงไม่ใช่งานของสาธารณสุขฝ่ายเดียวแต่ทุกส่วนจะต้องช่วยกัน อย่างไรก็ดี เมื่อการปรชุมครั้งนี้เสร็จสิ้น ก็จะต้องมีการดำเนินการเพื่อรายงานผลในการประชุมครั้งต่อไปด้วย”นพ.มงคลกล่าว
ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ.2534 – 2549 อัตราการสูบบุหรี่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ 30.46 ในปี 2534 เป็นร้อยละ 18.94 ในปี พ.ศ. 2549 ซึ่งในขณะเดียวกันอัตราการนำเข้าบุหรี่ต่างประเทศเพิ่มขึ้นสูงในช่วง พ.ศ.2546 – 2548 โดยมีส่วนแบ่งการตลาดของบุหรี่นอกถึงร้อยละ 22.3 มีการนำเข้า 401,682,046 ซอง