xs
xsm
sm
md
lg

มอง “เกย์” ให้เห็นเนื้อใน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นักวิจัยเผยสาเหตุการเป็นเกย์ และกะเทย ส่วนหนึ่งมาจากอิทธิพลของฮอร์โมนตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา นอกนั้นคือสิ่งแวดล้อม สังคม และการเลี้ยงดูในครอบครัว สำรวจพบเกย์-กะเทยส่วนใหญ่เกิดความเครียด สับสน วิตกกังวล กลัวถูกสังคมรังเกียจตั้งแต่วัยเด็ก พบสถิติเกย์และกะเทยในสำนักงานสูงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือ ธุรกิจส่วนตัว สถานเสริมความงาม ร้านอาหาร วอนสังคมไทยมองเพศที่ 3 อย่างเข้าใจและยอมรับมากขึ้น

ศ.นพ.สุพร เกิดสว่าง นักวิจัยจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เปิดเผยว่า คนทั่วไปส่วนใหญ่ยังมีความสับสนเรื่องผู้ชายที่รักผู้ชายด้วยกัน หรือผู้ชายที่มีกิริยามารยาทคล้ายผู้หญิง นอกจากคนในสังคมจะสับสนและไม่เข้าใจแล้วยังมองบุคคลเหล่านี้ไปในทางลบ ทั้งนี้ อยากทำความเข้าใจก่อนว่าผู้ชายมีหลักๆ 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มผู้ชายที่รักหญิง (เพศตรงข้าม-ต่างเพศ) ซึ่งสังคมทั่วไปยอมรับ 2. กลุ่มผู้ชายที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชาย แค่รักผู้ชายด้วยกัน (เพศเดียวกัน-ร่วมเพศ) ซึ่งมักนิยามตัวเองว่า เกย์ (Gay) มาจากรากศัพท์ภาอังกฤษที่แปลว่า สดใส ร่าเริง และ 3.ผู้ชายที่มีจิตใจเป็นผู้หญิง หรือเป็นหญิงที่อยู่ในร่างของผู้ชายนั่นเอง คำไทยมักใช้คำว่า “กะเทย” (transgender หรือ transsexual)

จากการศึกษาพบว่า การที่ผู้ชายมีความรักเพศเดียวกันมีสาเหตุหลายอย่าง ทั้งปัจจัยทางชีววิทยา และจิตวิทยา เริ่มตั้งแต่สาเหตุทางพันธุกรรม การพัฒนาของสมองเด็กในครรภ์ ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนเพศ ตลอดจนการอบรมเลี้ยงดู และประสบการณ์การเรียนรู้หลังจากที่เกิดมาแล้ว ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการเรียนแบบและไม่ติดต่อกัน

ทั้งเกย์และกะเทย จะเริ่มรู้สึกว่าตนเองต่างจากเพื่อนเพศเดียวกันตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบ หรือเมื่อเริ่มจำความได้ โดยจะจดจำว่าพ่อแม่ตักเตือนอยู่เสมอว่าอย่าทำตัวเป็นผู้หญิง ซึ่งอาจจะสร้างความรู้สึกกดดันภายในจิตใจ ในด้านพฤติกรรมจะมีความรู้สึกอ่อนไหว ร้องไห้ง่าย กิริยามารยาทคล้ายผู้หญิง ชอบแต่งตัว ชอบเล่นกับเพื่อนผู้หญิงไม่ชอบเล่นรุนแรง เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นจะมีความรู้สึกทางเพศกับเพศเดียวกัน แตกต่างจากเพื่อนผู้ชายโดยทั่วไป เนื่องจากเด็กรับรู้ว่าสังคมทั่วไปมีความรู้สึกรังเกียจเกย์และกะเทย เด็กจึงสับสนไม่แน่ใจ ในการวางตัวในสังคม เกิดความวิตกกังวล ความเครียด พยายามปิดบังความรู้สึกของตนเอง บางคนพยายามปกป้องตนเอง โดยพยายามทำตัวเป็นชายชาตรี เช่น พยายามมีคนรักเป็นผู้หญิงหลายๆ คน เพาะกายให้ดูเป็น “แมน” แสดงตนก้าวร้าว ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ แต่เด็กบางคนก็พยายามหาสิ่งทดแทนความด้อย เช่น พยายามขยันตั้งใจเรียน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่อน ฯลฯ ซึ่งเป็นการทดแทนที่ดี ถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองและครูไม่เข้าใจเด็กจะยิ่งมีความทุกข์ทรมานใจมากขึ้น บางคนมาปรึกษาแพทย์เพื่อขอฉีดฮอร์โมนเพศชาย โดยหวังว่าฮอร์โมนเพศชายจะช่วยเปลี่ยนความรู้สึกและความต้องการในใจ ซึ่งในความเป็นจริงฮอร์โมนเหล่านี้ไม่ได้มีผลดังที่หวังเลย

ระยะสับสนกังวลนี้อาจจะกินเวลานานมากหรือน้อย แล้วแต่ตัวเด็กแต่ละคน เมื่อผ่านระยะนี้ไปเด็กจะเริ่มยอมรับความรู้สึกและความต้องการทางเพศของตนเองมากขึ้น ความเครียด ความวิตกกังวลจะลดลง ในขั้นต่อไปจะอาจพัฒนาถึงขั้นเปิดเผยตนเองต่อสังคม และสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดี

ศ.นพ.สุพร กล่าวต่อว่า ปัจจุบันสังคมไทยยอมรับเกย์และกระเทยมากขึ้นกว่าในหลายประเทศ แต่คนบางกลุ่มก็ยังรู้สึกและมองเกย์ และกะเทยในแง่ลบ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะภาพของเกย์และกระเทยที่ออกมาตามสื่อต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ ฯลฯ มักออกมาในเชิงลบ เป็นตัวตลกบ้าๆ บอๆ หรือแสดงอารมณ์รุนแรง โหดเหี้ยม ฯลฯ ซึ่งความจริงเกย์ และกระเทยที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นคนดี ทำประโยชน์ให้สังคมก็มีอยู่มาก

นอกจากนี้ ผลจากการศึกษากลุ่มชายรักชาย 100 คน ซึ่งเป็นเกย์ 95 คน เป็นกะเทย 5 คน พบว่า 40 คนทำงานเป็นลูกจ้างในสำนักงาน รองลงมา คือ ธุรกิจส่วนตัว สถานเสริมความงาม ร้านอาหาร ร้องเพลง ครูเต้นรำ นาฏศิลป์ และพิธีกร ตามลำดับ ในจำนวนนี้ 61 คน มีความสัมพันธ์ทางเพศครั้งแรกกับผู้ชาย และจำนวน 34 คน มีความสัมพันธ์ทางเพศครั้งแรกกับผู้หญิง ผู้เข้ารับการสำรวจยังบอกว่ามีประสบการณ์ทางเพศหรือมีความสัมพันธ์ทางเพศครั้งแรกส่วนใหญ่เนื่องจากความรัก หรือความต้องการทางเพศ และอีก 5 คนยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์

ในด้านชีวิตการแต่งงาน พบว่า 88 คนยังเป็นโสด หรือมีคู่เป็นผู้ชาย และอีก 12 คนเคยแต่งงานกับหญิง ในจำนวนทั้งหมดนี้ 4 คนหย่ากับภรรยาแล้วเพราะ “เข้ากันไมได้” อีก 2 คนหย่ากับภรรยาทั้งที่ครอบครัวมีความสุขพอควร แต่ยอมเสียสละให้ภรรยาได้มีโอกาสมีสามีที่เป็นชายเต็มตัว และอีก 1 คน กำลังจะหย่ากับภรรยา เพราะพบแฟนเป็นชายที่ให้ความสุขได้มากกว่าภรรยา ส่วนอีก 5 คน ยังอยู่กับภรรยาและครอบครัวอย่างมีความสุข จากการสำรวจพบข้อสังเกตว่า โอกาสล้มเหลวของเกย์ที่แต่งงานกับผู้หญิงมีค่อนข้างมาก แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจช่วยให้ชีวิตแต่งงานประสบความสำเร็จ คือ รสนิยมทางเพศต้องเอียงไปทางชอบผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย หรือแต่งงานกันด้วยความรักและความเข้าใจ มีความซื่อสัตย์มั่นคงไม่นอกใจภรรยา มีความรับผิดชอบต่อตนเองและครอบครัว รวมทั้งภรรยามีความเข้าใจ ยอมรับ และให้อภัยด้วย

ในเรื่องของความเสี่ยงต่อโรคเอดส์ พบว่า มี 69 คนที่ตรวจเลือดหาโรคเอดส์ มีผลการตรวจเป็นบวก (ติดเชื้อเอดส์ HIV) 5 ราย หรือ 7.6% ซึ่งนับว่าสูงกว่าประชากรทั่วไป สำหรับเรื่องของการป้องกันหรือการดูแลสุขภาพร่างกายหลังติดเชื้อแล้ว ทางหน่วยงานที่มีส่วนในการับผิดชอบควรมีมาตรการช่วยเหลือให้มากขึ้น

สำหรับชายใจหญิงหรือกะเทยหลายคนที่มีความต้องการเปลี่ยนแปลงตนเองให้เหมือนผู้หญิงให้มากที่สุด เลือกที่จะขอเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ ซึ่งในประเทศไทยมีศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้และยังมีฝีมือเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกหลายคน นอกจากคนไทยที่ขอเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศแล้วยังมีคนไข้จากประเทศอื่นๆ เช่น แคนาดา อเมริกา อังกฤษ สวีเดน บราซิล ฯลฯ การผ่าตัดแปลงเพศต้องผ่านขั้นตอนและกฏเกณฑ์ต่างๆ หลายอย่าง เพราะเมื่อทำการผ่าตัดเปลี่ยนเป็นเพศหญิงแล้วจะเปลี่ยนกลับมาเป็นเพศชายที่สมบูรณ์อีกไม่ได้ง่ายๆ โดยผู้เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศจะต้องมีอายุ 20-65 ปี ผ่านการทดสอบโดยจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา ผ่านการตรวจจากแพทย์ทางต่อไร้ท่อ การให้คำปรึกษาความพร้อมทางด้านจิตใจ เป็นต้น แพทย์ไทยที่ทำงานด้านนี้ต้องใช้ความประณีตมาก เนื่องจากเป็นทั้งงานผ่าตัดและงานศิลปะ ในการเปลี่ยนอวัยวะเพศชายให้เป็นหญิง และร่วมเพศได้เช่นเดียวกับผู้หญิงทั่วไป ผู้ที่ขอเข้ารับการผ่าตัดส่วนหนึ่งไม่ได้มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับเรื่องความสุขทางเพศ แต่มีจุดมุ่งหมายอยากจะเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์ หลายคนยืนยันชัดเจนว่าความปรารถนาสูงสุดคือ อยากตายในสภาพผู้หญิง

อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวได้ว่า สังคมไทยเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมาก เกย์และกะเทยหลายคนได้สร้างชื่อเสียงให้แก่ครอบครัว และประเทศเราเป็นอย่างมาก แนวทางการดำเนินชีวิตก็ไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไป และหวังว่าสังคมไทยจะเข้าใจเกย์และกะเทยมากขึ้น และควรมีที่ให้กับบุคคลเหล่านี้ได้อยู่ในสังคมอย่างมีศักดิ์ศรีเช่นเดียวกับคนทั่วไป
กำลังโหลดความคิดเห็น