“พล.อ.สุรยุทธ์” ย้ำความสำคัญ “วันวิสาขบูชา” พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักตนเอง นำทางสายกลางมาปฏิบัติ สอดคล้องหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ขอให้คนไทยนำหลักคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปประพฤติปฏิบัติ

พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสหประชาชาติ ว่าด้วยพุทธศาสนาโลก เนื่องในวันวิสาขบูชาโลก ประจำปี 2550 ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ โดยสรุปว่า การประชุมครั้งนี้ เน้นให้เห็นถึงความสำคัญของวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญสากลของสหประชาชาติ อันเป็นวันที่มีความสำคัญทางพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และดับขันธ์สู่ปรินิพพาน ในฐานะที่เป็นประชาชนชาวไทยรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้กล่าวต้อนรับคณะสงฆ์ และผู้เข้าร่วมทั้งหลาย ที่เดินทางมาจาก 5 ทวีป 60 ประเทศทั่วโลก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เรารู้จักการกระทำของตัวเองและโลกรอบตัว และให้ดำเนินการเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์และความสันติสุข สอดคล้องกันกับเป้าประสงค์ขององค์การสหประชาชาติ และด้วยแรงบันดาลดังกล่าว ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 54 พ.ศ.2542 ได้รับรองข้อมติกำหนดให้วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญของโลก โดยองค์การสหประชาชาติ ซึ่งนับแต่นั้นมา วันวิสาขบูชาได้รับการเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่องทุกปี ในเดือนพฤษภาคม ที่สำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก และทุกสำนักงานขององค์การสหประชาชาติทั่วโลก
พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับเกียรติอย่างสูงที่มีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดงานวิสาขบูชา และการประชุมพุทธศาสนาโลกตลอดระยะเวลา 3 ปีติดต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปีนี้ อันเป็นปีมหามงคลที่ปวงชนชาวไทยร่วมเฉลิมฉลอง พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม ซึ่งประเทศไทยได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมอีกครั้งเป็นครั้งที่ 4 เพื่อรับศีล พร จากผู้นำทางศาสนาพุทธทุกนิกายที่ต่างมีความศรัทธาร่วมต่อพุทธศาสนาร่วมกัน
นายกรัฐมนตรี เชื่อว่า พระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถนำเราไปสู่สังคมที่มีสันติภาพ และเป็นธรรมมากกว่า 2,500 ปี พุทธศาสนาชี้ทางให้เราไปสู่ทางสันติ โดยใช้สิกขาที่พึงปฏิบัติ 3 ประการ ได้แก่ ศีล-หลักศีลธรรม สมาธิ-การระลึกรู้ และปัญญา-ความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับชีวิตและธรรมชาติ เปรียบเสมือนแสงสว่างส่องทางให้แก่มวลมนุษยชาติ โดยสิกขาดังกล่าว จะช่วยขจัดกิเลสของมนุษย์ ทั้งทางกาย วาจา ใจ และด้วยจิตใจที่นิ่ง การกระทำที่สันติ ย่อมทำให้ปัจเจกบุคคล และสังคมโดยรวมเกิดความสงบสุขอย่างแท้จริง ในขณะเดียวกัน ธรรมะช่วยนำเราไปสู่สังคมที่เป็นธรรม โดยยึดศีลห้า เป็นศีลขั้นพื้นฐาน ได้แก่ การเคารพในชีวิต ทรัพย์สมบัติ และครอบครัว มีความรับผิดชอบต่อคำพูด มีสติในการบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งนี้ สังคมที่เป็นธรรม คือ สังคมที่ทุกคนอยู่อย่างเท่าเทียมกัน และทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พวกเราพุทธศาสนิกชน ได้น้อมรับคำสั่งสอนดังกล่าว แต่ขณะที่ร่วมฉลองวันวิสาขบูชาของสหประชาชาติ ณ ที่นี้ ก็ต้องหันกลับมาทบทวนทฤษฎี และปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนา เพราะพลังแห่งพุทธศาสนามาจากคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงต้องพยายามที่จะทำให้คำสอนของพระพุทธเจ้าสามารถเป็นที่เข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น เป็นที่รู้จักแพร่หลาย และสามารถนำไปใช้ได้ทุกสถานการณ์ หัวข้อหลักในการสัมมนาครั้งนี้ คือ “ศาสนาพุทธกับหลักธรรมาภิบาลและการพัฒนา” ซึ่งเป็นหัวข้อที่น่าสนใจของทั้งชาวพุทธและชาวโลกโดยรวม
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่า ธรรมะสามารถช่วยให้เราประสบความสำเร็จตามหลักธรรมาภิบาลและการพัฒนาในโลกสมัยใหม่ได้ ประการแรก แนวคิด “การปกครอง” ไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่ แต่มีมานานเท่ามนุษยชาติ และแนวคิด “หลักธรรมาภิบาล” ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ และที่จริงแล้วก็ไม่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับศาสนาพุทธ แต่เป็นเรื่องประโยชน์ส่วนรวมของมวลมนุษยชาติและวัฒนธรรมทั้งหมด ในคัมภีร์ภาษาบาลี “จักรพรรดิราช” คือ ผู้ปกครองที่ยึดธรรมะในการปกครองประชาชน แม้ว่าหลักธรรมาภิบาลยากที่จะปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จทั้งหมด แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่พยายามปฏิบัติตามแนวคิดดังกล่าว ซึ่งในหลาย ๆ ประเทศ รวมทั้งไทย ก็ได้ดำเนินการอยู่ นับเป็นศตวรรษแล้วที่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะกฎแห่งกรรม มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตและวัฒนธรรมของคนไทย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วงปลายศตวรรษที่ 13 และต้นศตวรรษที่ 14 พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้เริ่มสร้างสังคมบนพื้นฐานธรรมะ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงดำเนินตามรอยพระเจ้าอโศกมหาราช ของอินเดีย ในความมุ่งมั่นสร้างอาณาจักรที่สันติและมีความเป็นธรรม ดังนั้น การเคารพต่อสิทธิส่วนบุคคล การใส่ใจต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ความโปร่งใส การมีส่วนร่วมของประชาชน และประสิทธิภาพ จึงเป็นหลักสำคัญของการปกครองของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
“ได้มีการบันทึกไว้ว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงใส่พระทัยต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน หากใครมีทุกข์ร้อน สามารถสั่นกระดิ่งเพื่อเข้าเฝ้าร้องทุกข์ได้ ภายใต้หลักธรรมาภิบาลในยุคของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช แผ่นดินจึงมีสันติภาพและการพัฒนา ประชาชนมีความพอเพียง ตามวลีที่บรรยายไว้ว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ขณะเดียวกัน ประชาชนก็มีความเจริญมั่งคั่งด้วยการค้าขายอีกด้วย” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ธรรมาภิบาล และคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่เคยตกยุค ปัจจุบันหลักธรรมาภิบาลอยู่ในการบริหารจัดการในทุกระดับ ทั้งเอกชน ท้องถิ่น ระดับชาติ และระหว่างประเทศ อีกทั้งเกี่ยวข้องในการตัดสินใจ และกระบวนการดำเนินการแท้จริงแล้ว รัฐบาล ปรารถนาอย่างยิ่งให้การพัฒนาสู่ความเป็นเลิศในหลัก ธรรมาภิบาลเกิดขึ้นในทุกระดับ เพื่อให้การพัฒนาในทุกอณูของชีวิตประชาชน เพราะธรรมาภิบาล สันติภาพ และการพัฒนามีความเชื่อมโยงกัน
“หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้แก่ประชาชนชาวไทย มีความหมายอย่างยิ่ง เพราะเป็นการตอบคำถามเรื่องการพัฒนาและธรรมาภิบาล หลักปรัชญาดังกล่าว ดึงหลักสายกลางของพระพุทธเจ้า มาสู่หลักการของการปฏิบัติที่เหมาะสมบนพื้นฐานความพอประมาณ มีเหตุมีผล การมีสติและความรู้ ไม่เพียงแต่ประเทศไทยที่นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักพื้นฐานการพัฒนาประเทศ แต่ประชาชนชาวไทยยังได้รับการส่งเสริมให้ศึกษาหลักปรัชญาดังกล่าว และนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย ซึ่งไม่ใช่ทฤษฎีทางเศรษฐกิจ แต่สามารถปรับใช้ได้กับทุกระดับและทุกด้านในทุกเรื่อง ด้วยการให้ความสำคัญกับความสมดุล จึงเกี่ยวข้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยการส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง และการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเหมาะสม” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า การแสวงหายุทธศาสตร์การพัฒนาที่เหมาะสมตามแนวทาง “ทางสายกลาง” ของทั้งระดับปัจเจกบุคคล ชุมชน ภาคธุรกิจ และประเทศ คือ การหาความสมดุลในแต่ละระดับของสังคมเพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงในการเผชิญหน้ากับความท้าทายของโลกสมัยใหม่ ด้วยการมุ่งส่งเสริมคุณธรรม คือ เป็นแนวทางที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งด้านธรรมะให้กับสังคมเช่นกัน นอกจากนี้ จากแนวทางการพัฒนามนุษย์แบบองค์รวม ซึ่งเป็นแนวทางที่ยึดหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ทำให้เราเชื่อว่าจะช่วยให้สามารถดำเนินตามเป้าหมายในการรจรรโลงสังคมที่มีความยุติธรรม ความเท่าเทียมกัน และความยั่งยืนเพิ่มขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ หรือ UNDP ได้ตีพิมพ์รายงานด้านการพัฒนาของมนุษย์ประจำปี 2550 ภายใต้หัวข้อ “เศรษฐกิจพอเพียงและการพัฒนามนุษย์” ถือเป็นการถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่ทรงอุทิศพระวรกาย และถือเป็นการสดุดีหลักปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่มีพื้นฐานในศาสนา และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ รายงานดังกล่าว ได้ช่วยถ่ายทอดแนวหลักปรัชญานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่เกี่ยวกับหลักธรรมภิบาลและการพัฒนาอย่างยั่งยืนไปสู่ระดับสากล ซึ่งเป็นการเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง เป็นที่ประจักษ์ชัดมาแล้วว่า คำสอนของพระพุทธศาสนานั้น สอดคล้องและเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลและการส่งเสริมการพัฒนา ทั้งนี้ ในฐานะที่แนวทาง “ทางสายกลาง” ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้เรามุ่งไปสู่กรอบแนวคิดใหม่ของการพัฒนาที่ยั่งยืน และการสร้างสังคมที่มีสันติภาพและเป็นธรรม
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า วันวิสาขบูชาเป็นวันที่สำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชน ซึ่งเป็นวาระที่สำคัญ 2 วาระ คือ ทรงตรัสรู้ ปรินิพพาน ส่วนประสูติคงเป็นเรื่องธรรมดา เพราะการตรัสรู้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ตรัสรู้ถึงหนทางที่ดับทุกข์ เพราะทุกคนจะต้องมีความทุกข์ แต่จะทำอย่างไรถึงจะดับทุกข์ได้ ถือเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ที่สำคัญยิ่ง ในส่วนวันปรินิพพานก็เป็นอีกวาระหนึ่งที่มีความสำคัญ พระอานนท์ ซึ่งเป็นพระอุปัฏฐาก ก็ได้ถามว่าเมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว จะให้ยึดถืออะไร พระพุทธเจ้าก็บอกพระอานนท์ ว่า สิ่งสำคัญที่สุด คือ คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ และขอให้นำคำสั่งสอนนั้นไปประพฤติปฏิบัติ คนที่นับถือศาสนาพุทธต้องศึกษาคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสหประชาชาติ ว่าด้วยพุทธศาสนาโลก เนื่องในวันวิสาขบูชาโลก ประจำปี 2550 ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ โดยสรุปว่า การประชุมครั้งนี้ เน้นให้เห็นถึงความสำคัญของวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญสากลของสหประชาชาติ อันเป็นวันที่มีความสำคัญทางพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และดับขันธ์สู่ปรินิพพาน ในฐานะที่เป็นประชาชนชาวไทยรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้กล่าวต้อนรับคณะสงฆ์ และผู้เข้าร่วมทั้งหลาย ที่เดินทางมาจาก 5 ทวีป 60 ประเทศทั่วโลก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เรารู้จักการกระทำของตัวเองและโลกรอบตัว และให้ดำเนินการเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์และความสันติสุข สอดคล้องกันกับเป้าประสงค์ขององค์การสหประชาชาติ และด้วยแรงบันดาลดังกล่าว ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 54 พ.ศ.2542 ได้รับรองข้อมติกำหนดให้วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญของโลก โดยองค์การสหประชาชาติ ซึ่งนับแต่นั้นมา วันวิสาขบูชาได้รับการเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่องทุกปี ในเดือนพฤษภาคม ที่สำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก และทุกสำนักงานขององค์การสหประชาชาติทั่วโลก
พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ประเทศไทยได้รับเกียรติอย่างสูงที่มีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดงานวิสาขบูชา และการประชุมพุทธศาสนาโลกตลอดระยะเวลา 3 ปีติดต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปีนี้ อันเป็นปีมหามงคลที่ปวงชนชาวไทยร่วมเฉลิมฉลอง พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม ซึ่งประเทศไทยได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมอีกครั้งเป็นครั้งที่ 4 เพื่อรับศีล พร จากผู้นำทางศาสนาพุทธทุกนิกายที่ต่างมีความศรัทธาร่วมต่อพุทธศาสนาร่วมกัน
นายกรัฐมนตรี เชื่อว่า พระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถนำเราไปสู่สังคมที่มีสันติภาพ และเป็นธรรมมากกว่า 2,500 ปี พุทธศาสนาชี้ทางให้เราไปสู่ทางสันติ โดยใช้สิกขาที่พึงปฏิบัติ 3 ประการ ได้แก่ ศีล-หลักศีลธรรม สมาธิ-การระลึกรู้ และปัญญา-ความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับชีวิตและธรรมชาติ เปรียบเสมือนแสงสว่างส่องทางให้แก่มวลมนุษยชาติ โดยสิกขาดังกล่าว จะช่วยขจัดกิเลสของมนุษย์ ทั้งทางกาย วาจา ใจ และด้วยจิตใจที่นิ่ง การกระทำที่สันติ ย่อมทำให้ปัจเจกบุคคล และสังคมโดยรวมเกิดความสงบสุขอย่างแท้จริง ในขณะเดียวกัน ธรรมะช่วยนำเราไปสู่สังคมที่เป็นธรรม โดยยึดศีลห้า เป็นศีลขั้นพื้นฐาน ได้แก่ การเคารพในชีวิต ทรัพย์สมบัติ และครอบครัว มีความรับผิดชอบต่อคำพูด มีสติในการบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งนี้ สังคมที่เป็นธรรม คือ สังคมที่ทุกคนอยู่อย่างเท่าเทียมกัน และทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พวกเราพุทธศาสนิกชน ได้น้อมรับคำสั่งสอนดังกล่าว แต่ขณะที่ร่วมฉลองวันวิสาขบูชาของสหประชาชาติ ณ ที่นี้ ก็ต้องหันกลับมาทบทวนทฤษฎี และปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนา เพราะพลังแห่งพุทธศาสนามาจากคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงต้องพยายามที่จะทำให้คำสอนของพระพุทธเจ้าสามารถเป็นที่เข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น เป็นที่รู้จักแพร่หลาย และสามารถนำไปใช้ได้ทุกสถานการณ์ หัวข้อหลักในการสัมมนาครั้งนี้ คือ “ศาสนาพุทธกับหลักธรรมาภิบาลและการพัฒนา” ซึ่งเป็นหัวข้อที่น่าสนใจของทั้งชาวพุทธและชาวโลกโดยรวม
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่า ธรรมะสามารถช่วยให้เราประสบความสำเร็จตามหลักธรรมาภิบาลและการพัฒนาในโลกสมัยใหม่ได้ ประการแรก แนวคิด “การปกครอง” ไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่ แต่มีมานานเท่ามนุษยชาติ และแนวคิด “หลักธรรมาภิบาล” ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ และที่จริงแล้วก็ไม่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับศาสนาพุทธ แต่เป็นเรื่องประโยชน์ส่วนรวมของมวลมนุษยชาติและวัฒนธรรมทั้งหมด ในคัมภีร์ภาษาบาลี “จักรพรรดิราช” คือ ผู้ปกครองที่ยึดธรรมะในการปกครองประชาชน แม้ว่าหลักธรรมาภิบาลยากที่จะปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จทั้งหมด แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่พยายามปฏิบัติตามแนวคิดดังกล่าว ซึ่งในหลาย ๆ ประเทศ รวมทั้งไทย ก็ได้ดำเนินการอยู่ นับเป็นศตวรรษแล้วที่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะกฎแห่งกรรม มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตและวัฒนธรรมของคนไทย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วงปลายศตวรรษที่ 13 และต้นศตวรรษที่ 14 พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้เริ่มสร้างสังคมบนพื้นฐานธรรมะ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงดำเนินตามรอยพระเจ้าอโศกมหาราช ของอินเดีย ในความมุ่งมั่นสร้างอาณาจักรที่สันติและมีความเป็นธรรม ดังนั้น การเคารพต่อสิทธิส่วนบุคคล การใส่ใจต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ความโปร่งใส การมีส่วนร่วมของประชาชน และประสิทธิภาพ จึงเป็นหลักสำคัญของการปกครองของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
“ได้มีการบันทึกไว้ว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงใส่พระทัยต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน หากใครมีทุกข์ร้อน สามารถสั่นกระดิ่งเพื่อเข้าเฝ้าร้องทุกข์ได้ ภายใต้หลักธรรมาภิบาลในยุคของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช แผ่นดินจึงมีสันติภาพและการพัฒนา ประชาชนมีความพอเพียง ตามวลีที่บรรยายไว้ว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ขณะเดียวกัน ประชาชนก็มีความเจริญมั่งคั่งด้วยการค้าขายอีกด้วย” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ธรรมาภิบาล และคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่เคยตกยุค ปัจจุบันหลักธรรมาภิบาลอยู่ในการบริหารจัดการในทุกระดับ ทั้งเอกชน ท้องถิ่น ระดับชาติ และระหว่างประเทศ อีกทั้งเกี่ยวข้องในการตัดสินใจ และกระบวนการดำเนินการแท้จริงแล้ว รัฐบาล ปรารถนาอย่างยิ่งให้การพัฒนาสู่ความเป็นเลิศในหลัก ธรรมาภิบาลเกิดขึ้นในทุกระดับ เพื่อให้การพัฒนาในทุกอณูของชีวิตประชาชน เพราะธรรมาภิบาล สันติภาพ และการพัฒนามีความเชื่อมโยงกัน
“หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้แก่ประชาชนชาวไทย มีความหมายอย่างยิ่ง เพราะเป็นการตอบคำถามเรื่องการพัฒนาและธรรมาภิบาล หลักปรัชญาดังกล่าว ดึงหลักสายกลางของพระพุทธเจ้า มาสู่หลักการของการปฏิบัติที่เหมาะสมบนพื้นฐานความพอประมาณ มีเหตุมีผล การมีสติและความรู้ ไม่เพียงแต่ประเทศไทยที่นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักพื้นฐานการพัฒนาประเทศ แต่ประชาชนชาวไทยยังได้รับการส่งเสริมให้ศึกษาหลักปรัชญาดังกล่าว และนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย ซึ่งไม่ใช่ทฤษฎีทางเศรษฐกิจ แต่สามารถปรับใช้ได้กับทุกระดับและทุกด้านในทุกเรื่อง ด้วยการให้ความสำคัญกับความสมดุล จึงเกี่ยวข้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยการส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง และการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเหมาะสม” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า การแสวงหายุทธศาสตร์การพัฒนาที่เหมาะสมตามแนวทาง “ทางสายกลาง” ของทั้งระดับปัจเจกบุคคล ชุมชน ภาคธุรกิจ และประเทศ คือ การหาความสมดุลในแต่ละระดับของสังคมเพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงในการเผชิญหน้ากับความท้าทายของโลกสมัยใหม่ ด้วยการมุ่งส่งเสริมคุณธรรม คือ เป็นแนวทางที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งด้านธรรมะให้กับสังคมเช่นกัน นอกจากนี้ จากแนวทางการพัฒนามนุษย์แบบองค์รวม ซึ่งเป็นแนวทางที่ยึดหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ทำให้เราเชื่อว่าจะช่วยให้สามารถดำเนินตามเป้าหมายในการรจรรโลงสังคมที่มีความยุติธรรม ความเท่าเทียมกัน และความยั่งยืนเพิ่มขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ หรือ UNDP ได้ตีพิมพ์รายงานด้านการพัฒนาของมนุษย์ประจำปี 2550 ภายใต้หัวข้อ “เศรษฐกิจพอเพียงและการพัฒนามนุษย์” ถือเป็นการถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่ทรงอุทิศพระวรกาย และถือเป็นการสดุดีหลักปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่มีพื้นฐานในศาสนา และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ รายงานดังกล่าว ได้ช่วยถ่ายทอดแนวหลักปรัชญานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่เกี่ยวกับหลักธรรมภิบาลและการพัฒนาอย่างยั่งยืนไปสู่ระดับสากล ซึ่งเป็นการเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง เป็นที่ประจักษ์ชัดมาแล้วว่า คำสอนของพระพุทธศาสนานั้น สอดคล้องและเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลและการส่งเสริมการพัฒนา ทั้งนี้ ในฐานะที่แนวทาง “ทางสายกลาง” ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้เรามุ่งไปสู่กรอบแนวคิดใหม่ของการพัฒนาที่ยั่งยืน และการสร้างสังคมที่มีสันติภาพและเป็นธรรม
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า วันวิสาขบูชาเป็นวันที่สำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชน ซึ่งเป็นวาระที่สำคัญ 2 วาระ คือ ทรงตรัสรู้ ปรินิพพาน ส่วนประสูติคงเป็นเรื่องธรรมดา เพราะการตรัสรู้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ตรัสรู้ถึงหนทางที่ดับทุกข์ เพราะทุกคนจะต้องมีความทุกข์ แต่จะทำอย่างไรถึงจะดับทุกข์ได้ ถือเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ที่สำคัญยิ่ง ในส่วนวันปรินิพพานก็เป็นอีกวาระหนึ่งที่มีความสำคัญ พระอานนท์ ซึ่งเป็นพระอุปัฏฐาก ก็ได้ถามว่าเมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว จะให้ยึดถืออะไร พระพุทธเจ้าก็บอกพระอานนท์ ว่า สิ่งสำคัญที่สุด คือ คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ และขอให้นำคำสั่งสอนนั้นไปประพฤติปฏิบัติ คนที่นับถือศาสนาพุทธต้องศึกษาคำสั่งสอนของพระพุทธองค์