กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตทีเดียว สำหรับกรณีที่มีกลุ่มพระและองค์กรต่างๆ ออกมาเรียกร้องให้บัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญว่า “พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย” ทว่า หากย้อนกลับมาที่ตัวคนไทยโดยเฉพาะเยาวชนนั้น คงต้องยอมรับความจริงกันว่า การเข้าถึงรสพระธรรมดูจะยังเป็นเรื่องที่ยากเย็นนัก แม้วิชาพระพุทธศาสนาจะถูกบรรจุไว้เป็นวิชาบังคับเลือกตั้งแต่ชั้นประถมเลยก็ตามที
ดังนั้น จึงเป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายต้องหันมาขบคิดกันว่าเพราะเหตุใดคนไทยจึงยังไม่ลึกซึ้งกับศาสนาที่ได้ชื่อว่าเป็นศาสนาประจำชาติเท่าที่ควร
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่ามีหลายองค์กรพยายามที่จะคิดค้นวิธีการที่จะปลูกฝังพระพุทธศาสนาให้แก่เด็กรุ่นใหม่ผ่านทางสื่อต่างๆ ซึ่งล่าสุดได้มีการผลิตภาพยนตร์การ์ตูนที่ให้ชื่อเรื่องว่า “ประวัติพระพุทธเจ้า” โดยมีภาคีร่วมได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และบริษัท มีเดียสแตนดาร์ด จำกัด
ดร.วัลลภา พิมพ์ทอง ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์การ์ตูน “ประวัติพระพุทธเจ้า” เล่าถึงเหตุผลที่ลงทุนควักงบประมาณจากกระเป๋าส่วนตัวหลายสิบล้านเพื่อทุ่มเทให้กับภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้ว่า เกิดจากความใฝ่ฝันและแรงบันดาลใจหลังจากได้มีโอกาสไปศึกษาต่อที่ประเทศอินเดียด้านปรัชญาและศาสนา ซึ่งเป็นประเทศที่เป็นสถานที่แห่งพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า จึงเหมือนเป็นการซึมซับเรื่องราวจนกลายเป็นแรงขับเคลื่อนให้อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวพุทธประวัติของพระพุทธองค์ ในฐานะที่ตัวเองเป็นชาวพุทธและเป็นคนไทย
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาพยายามที่จะหาวิธีในการเผยแพร่คำสอนของพระพุทธศาสนา แต่ยังไม่มีเวทีใดเปิดกว้างเท่าที่ควร อีกทั้งกลุ่มเป้าหมายที่อยากให้ได้เรียนรู้และปลูกฝังมากที่สุดคือเด็กๆ จึงนึกไปถึงการทำภาพยนตร์การ์ตูน เพราะเชื่อว่าเป็นสื่อที่เข้าถึงเด็กได้ง่าย และคิดว่าจะเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ
สำหรับเนื้อเรื่องของภาพยนตร์การ์ตูน “ประวัติพระพุทธเจ้า” นั้น ดร.วัลลภาได้อธิบายว่า เป็นเรื่องราวของพระพุทธเจ้านับตั้งแต่ประสูติ เสด็จออกบรรพชาอุปสมบท บำเพ็ญเพียร จนถึงตรัสรู้และเสด็จจาริก ออกแสดงธรรม โปรดสัตว์โลก ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมามีพุทธศาสนิกชนชาติต่างๆ อาทิ จีน ญี่ปุ่น รวมทั้งชาวยุโรป พยายามทำพระประวัติส่วนนี้ออกเผยแพร่ในรูปของการ์ตูนแต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ บางเรื่องบางตอนก็มีเนื้อหาขัดแย้งกับคัมภีร์พระไตรปิฎกและอรรถกถาบาลี ซึ่งถือว่าเป็น แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับพระประวัติของพระพุทธเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดของโลก ดังนั้นในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ น่าจะได้มีการสร้างภาพยนตร์การ์ตูนเกี่ยวกับพระประวัติของพระพุทธเจ้าที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับพระไตรปิฎกและอรรถกาถาออก เผยแผ่เป็นพุทธบูชา
“เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2546 โดยในเบื้องต้นได้ปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่หลายฝ่าย จนกระทั่งได้บทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ที่สุดออกมากซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย เพราะพระพุทธศาสนาถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก จะผิดเพี้ยนไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ในส่วนนี้เราจึงต้องค่อนข้างจะรอบคอบกันมากๆ รวมไปถึงกระบวนการถ่ายทำ เราได้ทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์ทางด้านคอมพิวเตอร์กราฟิกและเคยสร้างภาพยนตร์อยู่ในวงการนี้มากว่า 15 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีเพราะเป็นคนเก่งของเมืองไทย ดังนั้นภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้จึงเป็นฝีมือของคนไทยล้วนๆ”
ดร.วัลลภา บอกข่าวดีว่า ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้ถ่ายทำมาได้กว่า 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว และคาดว่าจะพร้อมฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศในวันที่ 5 ธันวาคมนี้ อีกทั้งเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ ที่ในปี 2550 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษา ดังนั้น รายได้ทั้งหมดที่ฉายภายในประเทศก็จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศล
“ตอนนี้ลงทุนไปแล้วกว่า 80 ล้านบาท คาดว่ากว่าภาพยนตร์จะแล้วเสร็จก็คงประมาณร้อยกว่าล้านต้องบอกว่า ถามว่า จะได้กำไรหรือคุ้มทุนไหม คงตอบว่า เราไม่ได้มองไปที่เรื่องของผลกำไรแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกลับเห็นแล้วว่าเรื่องนี้จะต้องขาดทุนแน่นอน แต่ได้กำไรทางใจแทน เพราะวัตถุประสงค์ที่แท้จริงคืออยากให้เด็กๆ ได้ดู ได้ซึมซับพระพุทธศาสนา หันมาสนใจกันมากขึ้นให้เหมือนนี่เป็นบันไดขั้นแรกที่จะทำให้พวกเขาก้าวเข้าไปอยู่ในพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด”
แม้ในแง่การตลาดของภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่มีใครกล้าคาดหวังผลกำไร แต่ ดร.โสรัชย์ อัศวะประภา ประธานกรรมการเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโมโน เจนเนอร์เรชั่น จำกัด ซึ่งได้เสนอตัวเข้ามาทำหน้าที่ด้านการตลาดให้บอกว่า จริงๆ แล้วตลาดภาพยนตร์การ์ตูนนั้น ทางประเทศฝั่งยุโรป และสหรัฐอเมริกา เช่น วอลท์ ดิสนีย์ ตีตลาดไว้ทั่วโลกแล้ว แต่เรื่อง “ประวัติพระพุทธเจ้า” ยังมีจุดขายตรงที่เป็นภาพยนตร์การ์ตูนเกี่ยวกับศาสนาที่ยังไม่มีใครสร้างได้สมบูรณ์แบบเพียงนี้ และสื่อการ์ตูนเป็นสื่อที่มีเสน่ห์ในตัวอยู่แล้ว
ดังนั้น แนวทางในการประชาสัมพันธ์คงจะพยายามให้เข้าถึงเด็ก ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการขยายให้เข้าถึงผู้ใหญ่โดยทางอ้อมเพราะผู้ปกครองก็ต้องพาลูกหลานของตัวเองมาดูเมื่อเด็กอยากดู ส่วนในเรื่องของการโฆษณาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้เข้าโรงชนกับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ให้มากที่สุด
“หนังเรื่องนี้จะเข้าฉายในเดือนธันวาคมซึ่งก็เป็นสิ่งที่น่ายินดีเพราะเราได้เช็กรอบหนังดูแล้ว ในเดือนนั้นไม่มีภาพยนตร์เรื่องใดเข้าฉาย ซึ่งเราก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะปะทะเพราะเราไม่ต้องการให้เกิดการแข่งขันตรงนั้น อย่างเรื่องสมเด็จพระนเรศวรก็เลื่อนรอบฉายไปแล้ว และในวันที่ 26-28 พ.ค. นี้ก็จะนำไป “ประวัติพระพุทธเจ้า” ไปฉายที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ เพื่อให้เป็นที่รู้จักว่านี่คือฝีมือคนไทย แต่ก็อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าเราไม่ได้คาดหวังเรื่องผลกำไร เป็นเรื่องของความศรัทธามากกว่า ซึ่งผมเองก็นับถือในตัวของ ดร.วัลลภา ที่มีแนวคิดดีๆ แบบนี้จึงอยากเข้ามาช่วยอีกแรง” ดร.โสรัชย์สรุปทิ้งท้าย