มศว ใช้หัวเราะบำบัดปรับแนวคิด “นักโทษ” เรือนจำคลองเปรมนำร่องที่แรก สอนจัดการกับความโกรธ สร้างความคิดสร้างสรรค์ พร้อมเสนอตัวพัฒนาศักยภาพให้นักโทษ 137 แห่งทั่วประเทศ ย้ำ คิดบวกจำเป็นต่อการปรับเปลี่ยนศักยภาพในตัวเอง
ดร.จิตรา ดุษฎีเมธา ประธานโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า ทางโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มีโอกาสเข้าไปปรับทัศนะ แนวคิดให้กับผู้กระทำความผิดที่ถูกจำคุกอันเนื่องจากสุรา และขณะนี้เป็นนักโทษชั้นดีของกรมราชทัณฑ์ เรือนจำกลางคลองเปรม โดยใช้ศาสตร์หัวเราะบำบัด และถ่ายทอดเรื่องการจัดการกับความโกรธให้นักโทษ เพราะหากเราไม่รู้จักวิธีการจัดการกับความโกรธ ประกอบกับนักโทษที่ศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มศว ได้เข้าไปฝึกอบรมปฏิบัติการให้นั้น เป็นคนที่ดื่มเหล้าจนหมดสติยั้งคิด และส่งผลถึงการกระทำในเวลานั้น ทำให้เขากระทำความผิดจนได้รับโทษและถูกจำคุก แต่อย่าลืมว่าวันหนึ่งนักโทษกลุ่มนี้ต้องออกมาสู่สังคมภายนอก ดังนั้น เราต้องช่วยกันปรับแนวคิดให้กับพวกเขา
ดร.จิตรา กล่าวต่อว่า หากสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ช่วยคนกลุ่มนี้เขาจะถูกตีตราว่าเป็นคนคุก และโอกาสที่จะทำดีเพื่อพัฒนาตัวเองอยู่ในสังคมก็มีน้อย ถ้าไม่ช่วยปรับทัศนะคนกลุ่มนี้มีโอกาสทำผิดซ้ำอีก ตลอดถึงความคับแค้นในจิตใจที่พวกเขามีอยู่ อย่าลืมว่าความคับแค้นใจถูกสั่งสมมากๆ ประกอบกับในเรือนจำมีเครือข่ายคนทำผิดมากมาย จึงมีโอกาสที่นักโทษจะกลับไปทำผิดซ้ำอีก
“การสอนเรื่องหัวเราะบำบัดให้นักโทษ เป็นการช่วยปรับอารมณ์ สร้างในเรื่องความคิดให้นักโทษใหม่ ให้เขามีทางเลือกในชีวิตที่สร้างสรรค์กว่าเดิม ทุกคนสามารถสร้างชีวิตใหม่ให้ตัวเองได้ การให้นักโทษทำกิจกรรมหัวเราะบำบัดช่วยในเรื่องอารมณ์ให้ดีขึ้น และยังส่งผลให้สุขภาพกายดีขึ้นเพราะมีสารแห่งความสุขหลั่งออกมา และยังสร้างความคิดในทางสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นได้อีกด้วย” ดร.จิตรา กล่าว
ดร.จิตรา กล่าวด้วยว่า การจัดกิจกรรมต่างๆ ให้นักโทษในเรือนจำนั้น จำเป็นต้องใส่เรื่องการปฏิบัติลงมือทำให้มากๆ เพราะการบอกหรือบรรยายให้เขาเป็นคนดี หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพียงอย่างเดียวจะไม่ได้ผล เพราะมนุษย์มี 3 ส่วนประกอบกัน นั่นก็คือ ความคิด อารมณ์ความรู้สึกและการกระทำ การบอกให้คนที่มีปัญหาปลงหรือทำใจนั้น เป็นการสอนให้เขาปรับความคิดเพียงอย่างเดียว เป็นการใช้ความคิดไปยับยั้งความคิดที่เป็นความคิดด้านลบ แต่อย่าลืมว่าทุกเซลล์ในร่างกายมนุษย์นั้นมีความรู้สึกนึกคิด แต่เรามักจะคิดว่าเมื่อคนเรารู้สึกไม่ดีจะติดอยู่ภายในสมองเพียงส่วนเดียว แต่ในความเป็นจริงนั้นทุกเซลล์ในร่างกายได้รับผลกระทบทุกส่วน การปรับความคิดเพียงอย่างเดียวจึงไม่ได้ผล นักโทษในเรือนจำที่กำลังจะพ้นโทษหรือกำลังจะออกมาสู่สังคมจึงต้องเริ่มต้นจากการอภัยตัวเองให้ได้ก่อน เปิดโอกาสให้ตัวเอง เคารพตัวเองก่อนที่คนอื่นจะเคารพตัวเรา และต้องให้แนวคิดที่เป็นบวกเพื่อเพิ่มพลังในจิตใจเป็นทุนในการออกไปสู้กับปัญหาต่างๆ ทั้งนี้ต้องมีการส่งเสริมด้านอาชีพที่หลากหลายให้พวกเขาด้วย” ดร.จิตร กล่าว
ดร.จิตรา กล่าวต่อว่า หัวเราะบำบัดเป็นกิจกรรมที่ช่วยสลัดความคั่งค้างในเซลล์ทุกเซลล์ภายในร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โกรธแค้น เศร้า หรือผิดหวังได้ เรือนจำทุกแห่งที่มีนักโทษชั้นดีจึงควรให้นักโทษได้มีโอกาสเปลี่ยนแปลงตัวและส่งเสริมให้ทำกิจกรรหัวเราะบำบัด ทางศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ (มศว) เป็นโครงการบริหารชุมชน ยินดีช่วยเหลือ และพร้อมจะสร้างเครือข่ายหัวเราะบำบัดให้นักโทษทั่วประเทศซึ่งขณะนี้เรือนจำทั่วทั้งประเทศไทยมีจำนวน 137 แห่ง หากเรือนจำใดสนใจสามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ (มศว) โทร.0-2649-5000 ต่อ 5438
ดร.จิตรา ดุษฎีเมธา ประธานโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่า ทางโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มีโอกาสเข้าไปปรับทัศนะ แนวคิดให้กับผู้กระทำความผิดที่ถูกจำคุกอันเนื่องจากสุรา และขณะนี้เป็นนักโทษชั้นดีของกรมราชทัณฑ์ เรือนจำกลางคลองเปรม โดยใช้ศาสตร์หัวเราะบำบัด และถ่ายทอดเรื่องการจัดการกับความโกรธให้นักโทษ เพราะหากเราไม่รู้จักวิธีการจัดการกับความโกรธ ประกอบกับนักโทษที่ศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มศว ได้เข้าไปฝึกอบรมปฏิบัติการให้นั้น เป็นคนที่ดื่มเหล้าจนหมดสติยั้งคิด และส่งผลถึงการกระทำในเวลานั้น ทำให้เขากระทำความผิดจนได้รับโทษและถูกจำคุก แต่อย่าลืมว่าวันหนึ่งนักโทษกลุ่มนี้ต้องออกมาสู่สังคมภายนอก ดังนั้น เราต้องช่วยกันปรับแนวคิดให้กับพวกเขา
ดร.จิตรา กล่าวต่อว่า หากสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ช่วยคนกลุ่มนี้เขาจะถูกตีตราว่าเป็นคนคุก และโอกาสที่จะทำดีเพื่อพัฒนาตัวเองอยู่ในสังคมก็มีน้อย ถ้าไม่ช่วยปรับทัศนะคนกลุ่มนี้มีโอกาสทำผิดซ้ำอีก ตลอดถึงความคับแค้นในจิตใจที่พวกเขามีอยู่ อย่าลืมว่าความคับแค้นใจถูกสั่งสมมากๆ ประกอบกับในเรือนจำมีเครือข่ายคนทำผิดมากมาย จึงมีโอกาสที่นักโทษจะกลับไปทำผิดซ้ำอีก
“การสอนเรื่องหัวเราะบำบัดให้นักโทษ เป็นการช่วยปรับอารมณ์ สร้างในเรื่องความคิดให้นักโทษใหม่ ให้เขามีทางเลือกในชีวิตที่สร้างสรรค์กว่าเดิม ทุกคนสามารถสร้างชีวิตใหม่ให้ตัวเองได้ การให้นักโทษทำกิจกรรมหัวเราะบำบัดช่วยในเรื่องอารมณ์ให้ดีขึ้น และยังส่งผลให้สุขภาพกายดีขึ้นเพราะมีสารแห่งความสุขหลั่งออกมา และยังสร้างความคิดในทางสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นได้อีกด้วย” ดร.จิตรา กล่าว
ดร.จิตรา กล่าวด้วยว่า การจัดกิจกรรมต่างๆ ให้นักโทษในเรือนจำนั้น จำเป็นต้องใส่เรื่องการปฏิบัติลงมือทำให้มากๆ เพราะการบอกหรือบรรยายให้เขาเป็นคนดี หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพียงอย่างเดียวจะไม่ได้ผล เพราะมนุษย์มี 3 ส่วนประกอบกัน นั่นก็คือ ความคิด อารมณ์ความรู้สึกและการกระทำ การบอกให้คนที่มีปัญหาปลงหรือทำใจนั้น เป็นการสอนให้เขาปรับความคิดเพียงอย่างเดียว เป็นการใช้ความคิดไปยับยั้งความคิดที่เป็นความคิดด้านลบ แต่อย่าลืมว่าทุกเซลล์ในร่างกายมนุษย์นั้นมีความรู้สึกนึกคิด แต่เรามักจะคิดว่าเมื่อคนเรารู้สึกไม่ดีจะติดอยู่ภายในสมองเพียงส่วนเดียว แต่ในความเป็นจริงนั้นทุกเซลล์ในร่างกายได้รับผลกระทบทุกส่วน การปรับความคิดเพียงอย่างเดียวจึงไม่ได้ผล นักโทษในเรือนจำที่กำลังจะพ้นโทษหรือกำลังจะออกมาสู่สังคมจึงต้องเริ่มต้นจากการอภัยตัวเองให้ได้ก่อน เปิดโอกาสให้ตัวเอง เคารพตัวเองก่อนที่คนอื่นจะเคารพตัวเรา และต้องให้แนวคิดที่เป็นบวกเพื่อเพิ่มพลังในจิตใจเป็นทุนในการออกไปสู้กับปัญหาต่างๆ ทั้งนี้ต้องมีการส่งเสริมด้านอาชีพที่หลากหลายให้พวกเขาด้วย” ดร.จิตร กล่าว
ดร.จิตรา กล่าวต่อว่า หัวเราะบำบัดเป็นกิจกรรมที่ช่วยสลัดความคั่งค้างในเซลล์ทุกเซลล์ภายในร่างกายได้ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โกรธแค้น เศร้า หรือผิดหวังได้ เรือนจำทุกแห่งที่มีนักโทษชั้นดีจึงควรให้นักโทษได้มีโอกาสเปลี่ยนแปลงตัวและส่งเสริมให้ทำกิจกรรหัวเราะบำบัด ทางศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ (มศว) เป็นโครงการบริหารชุมชน ยินดีช่วยเหลือ และพร้อมจะสร้างเครือข่ายหัวเราะบำบัดให้นักโทษทั่วประเทศซึ่งขณะนี้เรือนจำทั่วทั้งประเทศไทยมีจำนวน 137 แห่ง หากเรือนจำใดสนใจสามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ (มศว) โทร.0-2649-5000 ต่อ 5438