‘ระพี สาคริก’
ชื่อนี้คงมีคนจำนวนไม่น้อยนักที่จะคุ้นหู หลายคนรู้จักและเรียกเขาว่าอาจารย์ นั่นเพราะเคยได้รับการทาบทามจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ให้เข้าเป็นอาจารย์ประจำ รวมทั้งเคยดำรงตำแหนงอธิการบดีของมหาวิทยาลัยด้วย อีกทั้งยังเคยเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์
อีกมุมหนึ่งหลายคนก็รู้จักเขาในฐานะนักเขียน นักคิด นักวิจัย
ขณะที่เมื่อใดที่ว่าด้วยเรื่องของกล้วยไม้ ในฐานะของนักวิชาการเกษตรผู้บุกเบิกวงการกล้วยไม้ของประเทศไทยให้ก้าวย่างสู่สากลนี่คือสิ่งที่เขาได้รับการยอมรับและยกย่องให้ยืนอยู่แถวหน้า กระทั่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา สาขาเกษตรศาสตร์ ในปีพ.ศ.2511 ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดด้านวิชาการ นอกจากนี้ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ในปีพ.ศ.2513 อีกด้วย
ทว่าศ.ระพีในวัย 84 ปีที่เราได้เห็นในวันนี้คือภาพของชายชราธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่วางมือจากชีวิตการทำงานทั้งในภาคราชการ กึ่งราชการและเอกชน เพื่อหันมาใช้ชีวิตที่สงบและเรียบง่าย เหลือก็แต่เพียงการเป็นที่ปรึกษาให้วิทยาทานด้วยการบรรยาย สัมมนา โดยเฉพาะด้านการพัฒนาชนบทและเยาวชนที่เน้นด้านคุณธรรมและจริยธรรม
ดังเช่นคราวนี้ที่ท่านได้รับเชิญให้มาบอกเล่าเรื่องราวของตนเองซึ่งจัดโดยสำนักงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในสไตล์สบายๆแบบ “ปู่คุยกับหลาน”
“ชีวิตคนไทยส่วนใหญ่รากฐานอ่อนแอ จะเห็นกันง่ายๆคือใช้เงินเป็นตัวชี้วัดแค่เห็นเงินก็ตาโต ตื่นเต้นกัน เห็นนของใหม่ก็อยากได้อยากมี ทั้งๆ ที่ของเก่าก็ยังใช้ได้ อย่างเช่นโทรศัพท์มือถือ หลายต่อหลายรุ่นที่ออกมาวางขาย ทำให้สภาพจิตใจอ่อนแอลง ความซื่อสัตย์ต่อตัวเองหายไป อีกทั้งยังตกอยู่ในสภาพที่ประมาท อย่างเรื่องข้าวหอมมะลิที่ถูกสหรัฐอเมริกาจดลิขสิทธิ์ไปนั้น ซึ่งถ้าว่ากันจริงๆมันคงไม่มีประโยชน์แล้วที่เราจะไปเรียกร้องทวงสิทธิ์อะไร แต่อยากให้หันมามองสิ่งที่อยู่รอบตัวเราจะดีกว่าให้มองว่าในประเทศไทยของเรายังมีข้าวของอีกมากมาย ที่ควรจะหันมาใส่ใจและเร่งพัฒนาพร้อมๆกับการเก็บรักษาไว้ นี่คือจุดอ่อนของคนไทยสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุดเรากลับมองข้าม” คุณปู่ระพี เริ่มสะท้อนทัศนคติของตนเองอย่างเนิ่บๆพร้อมกันกับการแสดงสีหน้าที่แปดเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้คนนั่งฟังรู้สึกคล้อยตามและนับถือในคำพูดของเขา
ศาสตราจารย์ผู้ผ่านโลกมากว่า 8 ทศวรรษ ยังบอกเล่าต่อไปอีกว่าหากสังคมใดตกอยู่ในความประมาทสังคมนั้นๆย่อมไปไม่รอด ดังนั้นความประมาทนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่สิ่งที่ต้องคำนึงไปพร้อมๆกันนั่นคือตัวเอง ถ้าคนทุกคนรู้จักตัวเองก็เท่ากับว่าเรารู้จักผู้อื่นด้วย รวมทั้งต้องรู้จักที่จะยกย่องผู้อื่นให้เทียบเท่ากับตัวเอง
อย่างเช่นในวงการกล้วยไม้ ระดับพล.ทหารกับนายพลก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้ ไม่มีชนชั้นวรรณะ เรื่องแบบนี้เป็นกันไปทั่วโลก หากเราคำนึงถึงจิตใจผู้อื่น สังคมก็จะเป็นสังคมที่ดี แม้เม็ดดินเม็ดทรายสักเม็ดหนึ่งก็มีความสำคัญเท่าเม็ดใหญ่
“ความจนความรวยไม่เคยมีในโลกนั้นเป็นความจริง เช่น สมมติเรามีเงินอยู่ 10 บาท ถ้าเราบอกตัวเองเสมอว่าเราพอใจแล้ว เราพอใจตรงนี้ นี่คือความพอเพียงเพราะรากฐานของความพอเพียงคือจิตใจ ต้องควบคุมจิตใจตัวเองให้ได้เพราะรากฐานจิตใจทำให้เราได้รู้จักกับตนเอง รวมทั้งใช้ธรรมะคือธรรมชาติในใจเป็นฐานทุกอย่าง แล้วจากนั้นแม้จะมีเทคโนโลยีใดๆเข้ามาก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้”
นี่คือหนึ่งในแง่คิดที่อาจารย์ระพีสอนให้ทุกคนในสังคมได้รับรู้ถึงการใช้ชีวิตท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขันกันสูง ค่าครองชีพยังคงได้ไม่สม่ำเสมอเท่าเทียมกัน ขณะที่สิ่งล่อหูล่อตาอันเป็นกิเลสก็เข้ามาเบียดเบียนจิตใจจนทำให้หลายคนแพ้ราบคาบ
เมื่อเกริ่นมาถึงสภาพบ้านเมืองในปัจจุบัน ในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์ชีวิตที่ได้สัมผัสโลกมามากมายก็อดที่จะให้แง่คิดไม่ได้ว่าปัญหาบ้านเมืองในสมัยก่อนคำว่าประชาธิปไตย เกิดขึ้นและมีอยู่ในใจคน ข้างนอกจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ จิตใจคนคือรากฐานของทุกสิ่งอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงแตกต่างจากภาพของประชาธิปไตยที่เราประจักษ์กันในปัจจุบัน และไม่ว่าปัญหาใดๆก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นเพียงทุกคนมองให้เป็นเรื่องของธรรมชาติที่ไม่ใช่เป็นธรรมชาติที่เป็นสิ่งแวดล้อมล้อมๆ ตัวเรา แต่ให้มองว่าเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นภายในตัวเรา มองว่าเป็นปัญหาที่ตัวเรา แม้ในบางเรื่องจะดูเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ใส่ใจ แต่บางครั้งก็เป็นตัวเราเองที่ก่อเรื่องโดยที่ไม่รู้ตัว ทุกอย่างจึงขึ้นอยู่ที่ตัวเราเหมือนดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่พระองค์เคยตรัสไว้ว่า “คนที่จะช่วยบ้านเมืองได้ ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่ง แต่จะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น”
ทุกวันนี้ หลังจากที่ได้ปลดระวางตัวเองจากหัวโขนหลากหลายที่ได้รับจากสังคมแล้ว ศ.ระพี เล่าให้ฟังว่าได้ใช้ชีวิตส่วนหนึ่งหมดไปกับการนั่งเขียนหนังสือถ่ายทอดเรื่องราวและมุมมองผ่านประสบการณ์ที่เก็บเกี่ยวมาตลอดชีวิต แต่หนังสือจริงๆไม่ได้อยู่ที่บทความหรือรูปเล่มภายนอก ทว่าอยู่ในใจ ซึ่งการจะเป็นนักฟัง นักอ่าน นักเขียนที่ดีนั้นต้องมีฐานอยู่ที่ตัวเอง ซึ่งก็สนใจที่จะเขียนทุกสิ่งทุกอย่างอันจะเป็นการเปิดโอกาสให้ได้ค้นหาความจริง โดยที่ผลการค้นหาความจริงจากใจตนเองเชื่อว่า ข้อมูลที่เก็บสะสมเอาไว้ในรากฐานจิตใจ ถ้าเป็นหนังสือก็คงเป็นตำราเล่มใหญ่
นอกจากนั้น ยังมีโอกาสพบความจริงจากวิถีการดำเนินชีวิตต่อไปอีกว่า ยิ่งใช้ประโยชน์จากคลังข้อมูลมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วแตกฉานยิ่งขึ้น เปรียบเหมือนมีดที่ยิ่งลับ ยิ่งนำมาใช้ประโยชน์ก็ยิ่งคม ไม่นำมาใช้เลยมีดก็ทื่อ
“ธรรมชาติของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ก็ขอให้เป็นตัวของตัวเองให้ดีที่สุด อย่างตัวผมก็ไม่ได้เก่งไปกว่าใคร แต่ผมยืนอยู่บนความหลากหลายของตนเองคือเคารพในตนเอง ขณะเดียวกันก็เคารพคนอื่นไปพร้อมๆกัน” และนี่คืออีกมุมหนึ่งของลูกผู้ชายตัวจริงที่ชื่อ “ ระพี สาคริก”