ขึ้นชื่อว่าเป็นศาสตร์ชั้นสูง สำหรับการเต้นรำลีลาศ เพราะสมัยก่อนคนหนุ่มสาวใช้การเต้นรำนี้ในการเข้าสู่สังคมเท่านั้น! แต่สมัยนี้ “ลีลาศ” ถือเป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่นอกจากจะเสริมทักษะด้านบุคลิกภาพ การเข้าสังคมแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างพลานามัยให้กับผู้เต้นด้วย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจารย์ บุญเลิศ กระบวนแสง อดีตนักกีฬาลีลาศและอาจารย์สอนลีลาศชั้นนำให้สัมภาษณ์ “กีฬาลีลาศเริ่มเป็นที่นิยมในเมืองไทยประมาณแปดปีที่แล้ว หลังจากสภาโอลิมปิกบรรจุให้เป็นกีฬาชนิดหนึ่ง และการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ ที่ผ่านมา มีการแข่งขันลีลาศเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ลีลาศ เป็นที่สนใจอย่างมาก ไม่เพียงแต่เฉพาะวัยรุ่น วัยทำงาน หรือผู้ใหญ่วัยเกษียณ แต่ในระดับเยาวชนก็ให้ความสนใจไม่แพ้กัน อัตรานักเรียนลีลาศในระดับเยาวชนเทียบกับวัยอื่นๆ แล้ว 1 ต่อ 3”
สอดคล้องกับตัวเลขผู้สมัครเข้าแข่งขัน “หนูน้อยลีลาศ” ระดับอายุ 8-12 ปี ของรายการ “บัลลังก์ดาว” วาไรตี้คอนเทสต์ทางช่อง 5 ที่มีหนูน้อยลีลาศจากทั่วประเทศให้ความสนใจเข้าสมัครกว่า 150 คู่ จำนวนนี้คัดเลือกหนูน้อยสี่คู่ เพื่อเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ โดยน้องๆ ทั้งหมดต้องเต้นรำในจังหวะต่างๆ ทั้ง ชะชะช่า, ไจฟ์ม, รุมบ้า, แซมบ้า, พาโซโดเบล์ ฯลฯ ผลปรากฏว่า น้องฟร้อง - ด.ช.ศุภเศรษฐ์ โอชาญศิริ และ น้องมิธ-ด.ญ.วรินธร ไชยสงคราม เอาชนะใจมหาชนคว้าตำแหน่ง “หนูน้อยลีลาศเท้าไฟ” ไปครอง
ทันทีที่ได้นั่งเก้าอี้ “บัลลังก์ดาว” น้องฟร้อง ให้สัมภาษณ์ “ผมกับมิธเจอกันที่โรงเรียนสอนลีลาศจังหวัดระยองครับ การเริ่มต้นของผมเกิดจากความสนใจเวลาเห็นคุณพ่อคุณแม่ และพี่ชาย ที่บ้านเต้นลีลาศกันได้หมด ผมค่อยๆ เรียนรู้บวกกับได้รับการสนับสนุนจากทางบ้าน ส่งให้ไปเรียนพิเศษทางด้านนี้ อาจารย์เห็นแววเวลามีแข่งลีลาศที่ไหนก็จะพาไปหาประสบการณ์ น้องมิธเป็นคู่แรกของผม พวกเราเรียนคนละโรงเรียนแต่ต้องมาเจอกันทุกวันเพื่อซ้อมเต้น เต้นใอย่างน้อยวันละสองชั่วโมง และฝึกหลายๆ จังหวะ ลีลาศไม่เหนื่อยแต่ตอนแรกจะงงนิดหน่อย เพราะเท้าซ้ายเท้าขวาต้องตรงตามจังหวะเพลง แก้ไขด้วยการทำสมาธิเยอะๆ ผลดีจากการเต้นทำให้ผมเรียนหนังสือเก่งขึ้นด้วยเพราะมีสมาธิมากกว่าคนอื่น”
ด้าน น้องมิธ ให้สัมภาษณ์ “แรกๆ หนูไม่รู้จักกีฬาลีลาศ แต่คุณแม่เปิดยูบีซีให้ดูบ่อยๆ แล้วถามว่าอยากเรียนไหม หนูตอบว่า ยังไงก็ได้แล้วแต่คุณแม่ เรียนลีลาศมาสองปีแล้วซ้อมทุกวัน จนตอนนี้ชอบเต้นแล้วค่ะ อยู่บ้านอยู่โรงเรียนก็จะซ้อมตลอดเวลา แม่อยากให้หนูเต้นไปเรื่อยๆ อย่าหยุด เพราะอนาคตอยากให้เป็นนักกีฬาลีลาศทีมชาติ หนูเองพยายามฝึกซ้อมทุกวัน เวลามีแข่งที่ไหนถ้าไม่ติดสอบที่โรงเรียนก็จะไปตามใจคุณแม่ สิ่งที่หนูได้จากกการเต้นลีลาศ คือความสุขและเพื่อนใหม่”
นอกจากนี้ น้องดรีม-ด.ช.กลยกฤต แสงชาวนา / น้องไหม-ด.ญ.ชนาภา นาคะเกส รองชนะเลิศอันดับ 1, น้องต้า-ด.ช.ชลิต มากมี / น้องไอซ์-ด.ญ.ลลิตา มากมี รองชนะเลิศอันดับ 2, น้องดิว-ด.ช.พีรพล มั่งมี / น้องเกรท-ด.ญ.พิมรดา พูลคุณากูร รองชนะเลิศอันดับ 3 พร้อมใจกันฟันธงถึงประโยชน์ของการเล่นลีลาศ ว่า
“สิ่งที่พวกเราได้จากกีฬาชนิดนี้มีมากมายหลายอย่าง ที่เห็นได้ชัด คือ หนึ่ง กล้าแสดงออก ไม่ขี้อายเหมือนเด็กทั่วไป สองมีสมาธิดีขึ้น การจับจังหวะดนตรีและฝึกซ้อมสเตปบ่อยๆ ช่วยให้เรามีสมาธิได้มาก อ่านหนังสือเรียนได้ยาวขึ้นและความจำแม่ขึ้น สามคือ ได้เพื่อนใหม่ การแข่งขันร่วมกันบ่อยๆ ทำให้พวกเรามีน้ำใจเป็นนักกีฬา”
ท้ายสุด อาจารย์ บุญเลิศ กระบวนแสง ตอกย้ำความหวังของเยาวชนไทยกับกีฬาชนิดนี้ “เด็กไทยเป็นเด็กหัวอ่อน เรียนรู้ไว และโชคดีที่บ้านเรามีพื้นฐานด้านดนตรี และการเต้นรำมาก่อนด้วย ทำให้เด็กไทยสามารถเข้ากับกีฬาชนิดนี้ได้เร็ว ผมคิดว่าถ้าฝึกซ้อมบ่อยๆ อนาคตไปแข่งขันในระดับโลกสู้เขาได้แน่นอน ขนาดตอนนี้มีครูฝรั่งมาสอนลีลาศเด็กไทยไม่กี่สัปดาห์ยังอึ้งกับเด็กของเราที่มืออ่อน ตัวอ่อน เวลาวาดลวดลาย หรือสะบัดตัวจะพลิ้วสวย เรื่องความสามารถ พรสวรรค์ เด็กไทยมีอยู่แล้ว ถ้าซ้อมอย่างสม่ำเสมอ อนาคตสดใสแน่”
ผู้ปกครองที่สนใจมองหา “กิจกรรม” ยามว่างให้กับบุตรหลาน อย่ามองข้าม “ลีลาศ” กีฬาอดิเรกที่ได้ผลดีชนิดนี้ล่ะ!