ผลการศึกษาอุบัติเหตุรถบัสที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก 2 เหตุการณ์ ในปีนี้ ล้วนเกิดขึ้นเพราะอุปกรณ์ในรถไม่ได้มาตรฐาน เผยแต่ละปีรถบัสประสบอุบัติเหตุถึง 4,000 คัน มูลค่าเสียหาย 8,000 ล้านบาท กรุงเทพฯ ครองแชมป์บ่อยสุด อีกทั้งยังพบว่าพนักงานขับรถร้อยละ 7 เท่านั้น ผ่านโรงเรียนสอนขับรถ ขณะที่ร้อยละ 80 เคยประสบอุบัติเหตุมาแล้ว เสนอให้รัฐเข้มงวดออกใบขับขี่รถสาธารณะมากขึ้น
รศ.ดร.พิชัย ธานีรณานนท์ จากศูนย์วิจัยอุบัติเหตุ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เผยผลการศึกษาเบื้องต้น เรื่อง “โครงการวิจัยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่ออุบัติเหตุรถโดยสารในประเทศไทย” ว่า จากการศึกษาอุบัติเหตุรถโดยสารขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ระหว่างปี 2542-2548 พบว่า มีรถโดยสารขนาดใหญ่ประสบอุบัติเหตุมากถึง 4,000 คัน/ปี หรือประมาณร้อยละ 3 จากอุบัติเหตุทั้งหมด เมื่อจำแนกอุบัติเหตุรถโดยสารขนาดใหญ่ในปี 2548 จะพบว่า ในพื้นที่กรุงเทพฯ เกิดอุบัติเหตุทั้งหมด 2,269 คัน หรือร้อยละ 57.4 ขณะที่พื้นที่ต่างจังหวัดจะเกิดอุบัติเหตุทั้งสิ้น 1,685 คัน หรือร้อยละ 42.6 อย่างไรก็ตาม แม้อุบัติเหตุรถโดยสารขนาดใหญ่จะยังเกิดมากสุดในกรุงเทพฯ และปริมณฑล แต่จำนวนอุบัติเหตุในภูมิภาคกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยปี 2542 รถโดยสารขนาดใหญ่ประสบอุบัติเหตุจาก 948 คัน เพิ่มสูงเป็น 1,928 คัน ในปี 2547 หรือเพิ่มขึ้นถึง 1 เท่า
รศ.ดร.พิชัย กล่าวว่า ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ 1 ครั้ง กับรถโดยสารขนาดใหญ่ โดยเฉลี่ยจะมีผู้เสียชีวิต 0.42 ราย บาดเจ็บสาหัส 0.90 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 2.69 ราย และมูลค่าความสูญเสียเป็นเงินประมาณ 2 ล้านบาท โดยรวมแล้ว ความสูญเสียจากอุบัติเหตุรถโดยสารขนาดใหญ่มีมูลค่าประมาณ 7,000 – 8,000 ล้านบาท/ปี หรือคิดเป็นร้อยละ 5 จากมูลค่าความเสียหายจากอุบัติเหตุทั้งปี 170,000 ล้านบาท ถึงแม้จะเป็นตัวเลขที่ดูไม่มากนักเมื่อเทียบกับมูลค่าความเสียหายทั้งหมด แต่การเดินทางโดยรถโดยสารอันเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่รัฐต้องจัดสรรนั้น ควรจะต้องมีความปลอดภัยมากกว่านี้อีกมาก เพราะรัฐควรที่จะรับผิดชอบต่อชีวิตของประชาชนที่เดินทางโดยรถสาธารณะอย่างเต็มที่
ทั้งนี้ จากการศึกษารูปแบบการเดินทางต่างๆ ในหลายประเทศทั่วโลก พบว่า การเดินทางโดยรถโดยสารจะปลอดภัยมากกว่าการโดยสารเครื่องบิน เพราะจะมีผู้เสียชีวิตเพียงร้อยละ 0.1 เมื่อเปรียบเทียบกับการเสียชีวิตโดยการโดยสารเครื่องบิน 3.2 รายต่อพันล้านผู้โดยสาร-กิโลเมตร แต่สำหรับประเทศไทย การเดินทางโดยรถโดยสารยังมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ล่าสุด ในปี 2549 รถโดยสารของบริษัท บขส. และรถร่วม เกิดอุบัติเหตุ 588 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 218 ราย บาดเจ็บ 1,944 ราย และถึงแม้จะเกิดอุบัติเหตุกับรถบริษัท บขส.มากกว่ารถร่วม บขส.ในอัตรา 70:30 แต่จำนวนผู้เสียชีวิตของรถร่วมจะสูงกว่ารถ บขส.มากถึง 80:20 หากรวมจำนวนอุบัติเหตุที่เกิดกับรถโดยสารขนาดใหญ่ในส่วนของ บขส.และที่ไม่ได้เป็นข่าวตามสื่อ คาดว่า มีผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่าปีละ 600-1,000 ราย ดังนั้น จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยของรถโดยสารขนาดใหญ่ในประเทศไทย
นอกจากนั้น จากการสำรวจเบื้องต้น พนักงานขับรถโดยสาร (พขร.) ร้อยละ 48 เรียนรู้วิธีการขับรถโดยสารด้วยตนเอง รองลงมาร้อยละ 23 เป็นเด็กประจำรถมาก่อน และน้อยสุดร้อยละ 7 เท่านั้น ที่เรียนจากโรงเรียนสอนขับรถ และพนักงานขับรถส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาในขั้นประถมศึกษา คือ มากถึงร้อยละ 48 รองลงมาคือ มัธยมศึกษาตอนต้น ร้อยละ 32 มัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช.ร้อยละ 18 อนุปริญญา/ปวส.ร้อยละ 1 และสูงกว่าปริญญาตรีขึ้นไปร้อยละ 1 และยังพบว่า พนักงานขับรถมากถึงร้อยละ 30 เคยประสบอุบัติเหตุระหว่างการขับรถ และในจำนวนนี้ พบว่าประสบอุบัติเหตุ 2 ครั้ง มีถึงร้อยละ 16 ประสบอุบัติเหตุมากถึง 3 ครั้ง ร้อยละ 4 แต่ส่วนใหญ่ประสบอุบัติเหตุเพียงครั้งเดียว คือ ร้อยละ 80
ด้าน นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลขอนแก่น และประธานคณะทำงานสนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจราจรในจังหวัดนำร่อง (สอจร.) กล่าวว่า จากการสืบค้นอย่างเป็นระบบโดยนักวิชาการที่เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมจราจรจากหลายๆ สถาบัน สรุปตรงกันว่า ส่วนใหญ่ของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น มีมูลเหตุจากปัจจัยด้านรถโดยสารที่ไม่ได้มาตรฐาน ด้านคนขับรถ หรือความบกพร่องของถนน หนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งสาเหตุ การแก้ปัญหาต้องดำเนินการอย่างจริงจัง อย่างเป็นระบบ เช่น กระทรวงคมนาคม จัดทำแผนงานความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะ และทบทวน ปรับปรุงมาตรฐานด้านความแข็งแรงและความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะ รวมถึงถนนให้เทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับมาตรฐานสากล รวมทั้งตรวจสอบให้ดำเนินการตามมาตรฐานที่กำหนดทั้งในด้านรถโดยสารสาธารณะ ด้านคนขับรถโดยสาร และด้านถนน อย่างจริงจัง หากฝ่าฝืนต้องลงโทษจริงจัง นอกจากนี้ ยังต้องพัฒนาหน่วยกู้ภัย หน่วยกู้ชีพที่มีประสิทธิภาพ ปฏิบัติการได้รวดเร็ว
นายศาตราวุธ พลบูรณ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย กล่าวถึงผลการศึกษาอุบัติเหตุรถทัวร์คณะครูพลิกคว่ำที่ อ.ดอนสะเก็ด จ.เชียงใหม่ มีผู้เสียชีวิต 17 คน เมื่อวันที่ 19 มกราคม ที่ผ่านมาว่า รถโดยสาร 2 ชั้น ซึ่งได้รับการเสริมชั้นที่ 2 การติดตั้งที่นั่งไม่ได้มาตรฐาน เป็นสาเหตุสำคัญทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก โดยผู้เสียชีวิต 15 ราย อยู่บนชั้น 2 หลังเกิดเหตุเบาะที่นั่งหลุดออกหมด และความสูงของรถทำให้เกิดความไม่สมดุล และเสถียรภาพความปลอดภัยของรถต่ำกว่ารถยนต์ทั่วไป 8 เท่า
ผศ.ดร.สมประสงค์ สัตยมัลลี นักวิจัยคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เทคโนโลยีสุรนารี กล่าวถึงผลการวิจัยอุบัติเหตุรถทัวร์ไฟไหม้ที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เมื่อเร็ว ๆ นี้ และมีผู้เสียชีวิตถึง 30 คน ว่า จากการติดตามจำลองสถานการณ์อุบัติเหตุที่มีผู้เสียชีวิตมาก เนื่องจากขาดอุปกรณ์ความปลอดภัยในห้องโดยสาร ขณะที่องค์ประกอบความบกพร่องของเครื่องยนต์หลายส่วนทำให้เกิดประกายไฟลุกไหม้ และวัสดุที่ใช้ประกอบตัวรถไม่มีส่วนใดที่กันไฟได้ ทั้งฟองน้ำบุเบาะ ผ้าม่าน และผ้าห่ม ล้วนเป็นวัสดุติดไฟทำให้ไฟไหม้รวดเร็ว เสนอให้ภาครัฐเข้มงวดการออกใบขับขี่สาธารณะให้มากกว่านี้ บริษัทขนส่งเอกชนในประเทศไทยบางแห่งไม่มีความเชื่อถือใบขับขี่ของรัฐ และต้องให้พนักงานผ่านการอบรมใหม่ และให้เข้มงวดเรื่องอุปกรณ์รถให้มีคุณภาพ และหากต้นทุนสูงขึ้น ให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเพื่อไม่ให้ขึ้นค่าโดยสารซึ่งเป็นภาระของประชาชน