ณ เวลานี้ ความเป็นญี่ปุ่นในสังคมไทยปรากฏอยู่ทั่วไป ทั้งยังมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสื่ออย่างละครและภาพยนตร์ญี่ปุ่น เกม การ์ตูนญี่ปุ่น เพลง J-pop, J-Rock หรือการแต่งกาย การแต่งคอสเพลย์ สินค้าคาแรกเตอร์ตัวการ์ตูน ตู้ถ่ายสติ๊กเกอร์ ภาษาญี่ปุ่น อาหารญี่ปุ่น ชาเขียว วรรณกรรมแปลภาษาญี่ปุ่น พ็อกเก็ตบุ๊คท่องเที่ยวญี่ปุ่น ฯลฯ
เรียกว่าแทบจะทั่วถึงทุกด้านของชีวิต
สภาพการณ์ที่เกิดขึ้นจึงไม่น่าเป็นเพียงแค่กระแสความคลั่งไคล้ญี่ปุ่น แต่อาจเป็นปรากฏการณ์ที่ต้องศึกษาอย่างจริงจังถึงเหตุและผลของปรากฏการณ์ที่มีชื่อว่า Japanization
กระแสคลื่นแห่งวัฒนธรรม
ในช่วงหลังทศวรรษที่ 1970 คำว่า “Japanization” มักใช้ในการอธิบายถึงกระบวนการผลิต การสร้างรูปแบบองค์กรแบบญี่ปุ่น แต่ในบริบทสังคมไทย คำว่า “Japanization” ได้กินความหมายไปถึงอิทธิพลของญี่ปุ่นในมุมมองทางด้านสังคมและวัฒนธรรมด้วย นอกจากมุมมองทางด้านเศรษฐกิจ
จากตัวอย่างที่ยกมาเพื่อให้เห็นภาพถึงความเป็นญี่ปุ่นในสังคมไทย จะเห็นว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวมีจุดเริ่มมาจากการบริโภค ซึ่งจริงๆแล้วสังคมไทยมีการบริโภคสินค้าจากญี่ปุ่นมาตั้งแต่ในช่วงต้นทศวรรษที่1980 สินค้าเหล่านี้เรียกว่าสินค้าไร้กลิ่นทางวัฒนธรรม (Culturally Odorless Commodities) เป็นสินค้าที่ไม่นำเอาวัฒนธรรมญี่ปุ่น ภาพลักษณ์วัฒนธรรมญี่ปุ่น หรือวิถีชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่นมาเป็นจุดขาย เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถรับได้ง่ายและไม่รู้สึกแปลกแยกกับวัฒนธรรมของตนเอง ซึ่งก็คือสินค้าจำพวกอุตสาหกรรมหนัก หรือสินค้าที่ใช้อุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน ในขณะที่สินค้าที่ให้เกิดกระแสคลั่งญี่ปุ่นนั้นเป็นสินค้าที่มีกลิ่นอายทางวัฒนธรรมอย่างชัดเจน
ต่อมาช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 ญี่ปุ่นเริ่มเน้นการสร้างอุตสาหกรรมสินค้าวัฒนธรรม (Cultural Products)
ศ.รังสรรค์ ธนะพรพันธ์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เคยอธิบายเอาไว้ว่าสินค้าวัฒนธรรมนั้น หมายถึงสินค้าและบริการที่มีวัฒนธรรมฝังตัวในสินค้าหรือบริการ ดังนั้นเหตุผลของผู้บริโภคในการซื้อสินค้าเหล่านั้น ก็ด้วยเพราะความแตกต่างของนัยทางวัฒนธรรมที่ฝังตัวอยู่ในสินค้า ฉะนั้นกระแสคลั่งวัฒนธรรมญี่ปุ่นจึงได้เริ่มเข้ามาในสังคมไทยในช่วงหลังทศวรรษที่ 1980 เห็นได้จากละครโทรทัศน์ชุด “โอชิน” ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนั้น
ย้อนอดีตสู่การต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น
จริงๆ แล้วก่อนที่เราจะบริโภคสินค้าญี่ปุ่นกันอย่างเข้มข้นในปัจจุบัน สังคมไทยได้เคยต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นมาแล้ว เพราะตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1960 เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ทางการค้าที่ไทยจำต้องพึ่งพิงสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่น ส่งผลให้เกิดการเสียดุลทางการค้าต่อญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง
นโยบายการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมของรัฐบาลไทยนั้นทำให้เงินลงทุนจากบริษัทญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น โตโยต้า โซนี่ อายิโนโมโตะ จนเป็นที่เกรงกันว่าสังคมไทยจะโดนครอบงำทางด้านเศรษฐกิจจากญี่ปุ่น
กระแสสินค้าอุปโภคบริโภคของญี่ปุ่นที่เข้ามามีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของคนไทย ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวทางสังคมในช่วงทศวรรษที่1970 เพื่อต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นซึ่งนำโดยศูนย์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย เช่น จัดสัปดาห์ไม่ซื้อสินค้าญี่ปุ่น, จัดพิธีเผาหุ่นพวกที่ร่วมมือกับนายทุนญี่ปุ่น ทั้งมีการเดินขบวนประท้วงต่อต้านการเดินทางมาเยือนภูมิภาคเอเชียของนายทานากะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในสมัยนั้น
จากหนังสือ Japanization ซึ่งเขียนโดย รศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้แสดงทัศนะไว้ว่าการต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นมิได้เกิดขึ้นเพียงเพราะการปลุกเร้าของขบวนการนักศึกษาเท่านั้น หากแต่เป็นผลมาจากชีวิตประจำวันที่ผู้คนรู้สึกว่าญี่ปุ่นเอาแต่ได้ เพราะความสัมพันธ์มีอยู่ด้านเดียวคือการซื้อสินค้าเท่านั้น ไม่ได้มีมิติความสัมพันธ์ด้านอื่นๆอยู่ด้วยเลย โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรม และความรู้สึก
กระแสการต่อต้านญี่ปุ่นเริ่มลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เมื่อประเทศญี่ปุ่นเริ่มมีความเข้าใจถึงเรื่องนี้และได้เปลี่ยนท่าทีในหลายๆเรื่อง เช่นการให้ความช่วยเหลือในเรื่องอื่นๆนอกเหนือจากการค้า อาทิ การให้ทุนสร้างศูนย์วัฒนธรรมไทย – ญี่ปุ่น การให้ทุนการศึกษาการวิจัยแก่นักศึกษา และนักวิชาการไทย ตลอดจนการทำให้สังคมรับรู้ว่าญี่ปุ่นทำให้เกิดการจ้างงาน
รศ.ดร.อรรถจักร์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “Japanization หรือ กระบวนการกลายเป็นญี่ปุ่น ซึ่งผมจะขอเรียกว่าอาทิตยานุวัตรนั้นมีจุดเริ่มต้นจากเงื่อนไขระบบเศรษฐกิจโลกที่เน้นการรวมกลุ่มในภูมิภาค ทำให้ญี่ปุ่นเริ่มเปลี่ยนท่าทีและหันมาสร้างความสัมพันธ์ในด้านสังคมและวัฒนธรรมต่อประเทศในเอเชียด้วยกัน จนก่อให้เกิดกระแสความนิยมต่อวัฒนธรรมญี่ปุ่น”
ความเป็นญี่ปุ่นในสังคมไทย
จากงานวิจัยเรื่องกระบวนการ“JAPANIZATION”ในสังคมไทย:การบริโภคสินค้าวัฒนธรรมญี่ปุ่นและผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้บริโภคชาวไทย ของ ศ.ดร.โนริยูกิ ซูซูกิ และนางสาวพีริยา หวังโภคากุล Graduate School of the Humanities and Social Sciences, University of the Ryukyus, JAPAN พบว่าการ์ตูนเป็นจุดเริ่มต้นในการรู้จักและชื่นชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่น จากนั้นก็จะมีการเปิดรับสินค้าวัฒนธรรมญี่ปุ่น โดยได้สัมผัสและบริโภคสินค้าวัฒนธรรมญี่ปุ่นในรูปแบบที่หลากหลาย กลุ่มคนเหล่านี้ไม่คิดว่าวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่เป็นรับเข้ามาปรับใช้ให้เข้ากับสไตล์ของตนเองนั้นจะส่งผลในด้านลบ
ข้อมูลจากงานวิจัยชิ้นนี้ยังระบุว่าปัจจัยที่สนับสนุนให้เกิดความนิยมสินค้าวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั้นเกิดจากการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมในสังคมไทย รวมถึงการเป็นโลกไร้พรมแดนด้วยที่เป็นปรากฏการณ์ที่สร้างกระบวนการ “Japanization” ในสังคมไทย
นอกจากนี้บทบาทของสื่อและผู้ผลิตอุตสาหกรรมสินค้าวัฒนธรรมที่หันมาให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว ทั้งยังมีการปรับวัฒนธรรมญี่ปุ่นให้เข้ากับผู้บริโภคชาวไทย โดยใช้กระแสความนิยมวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาเป็นสื่อเพื่อสร้างจุดขายให้กับสินค้า แต่มีจำนวนไม่น้อยที่ใช้วัฒนธรรมญี่ปุ่นโดยไม่ถูกต้อง ซึ่งในทางหนึ่งผู้บริโภคก็ต้องการที่จะรับรู้และสัมผัสกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่เป็นของจริง ไม่ใช่การสร้างความเป็นญี่ปุ่นจากผู้ผลิตอุตสาหกรรมสินค้าวัฒนธรรมญี่ปุ่น หรือสื่อ
“เป็นเรื่องธรรมดาที่อำนาจเศรษฐกิจจะนำไปสู่อำนาจทางวัฒนธรรม ผลกระทบของสินค้าญี่ปุ่นและสินค้าวัฒนธรรมญี่ปุ่น นอกจากจะส่งผลต่อรูปแบบการดำเนินชีวิตแล้วยังส่งผลต่อความคิด ค่านิยม จากกระแสดังกล่าวได้นำไปสู่การศึกษาญี่ปุ่นและวัฒนธรรมญี่ปุ่นในมุมมองที่ลึกและกว้างมากขึ้นกว่าที่เคยสนใจเพราะความสำเร็จทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น” นางสาวพีริยากล่าวสรุปถึงสาเหตุแห่งความนิยมญี่ปุ่นในสังคมไทย
รู้เขา เข้าใจเรา
ข้อความตอนหนึ่งจากหนังสือ Japanization บอกไว้ว่ากระแสคลั่งญี่ปุ่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าวิตกเพราะสังคมไทยเคยคลั่งไคล้ส่วนเสี้ยวทางวัฒนธรรมอเมริกันมาก่อน และได้เคลื่อนย้ายความคลั่งไคล้มาสู่ส่วนเสี้ยวของวัฒนธรรมญี่ปุ่นแทน นั่นก็เพราะสังคมไทยไม่เคยรู้จักทั้งอเมริกาและญี่ปุ่นจริงๆ
“เป็นเรื่องที่แปลกที่สังคมไทยไม่เคยรู้จักและเข้าใจสังคมญี่ปุ่นจริงๆเลย ทั้งที่ในประเทศไทยมีหนังสือเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นมากที่สุดเมื่อเทียบกับหนังสือเกี่ยวกับประเทศอื่นๆ และมีภาควิชาภาษาญี่ปุ่นในเกือบทุกมหาวิทยาลัย ทั้งมีการสอนภาษาญี่ปุ่นในหลายระดับการศึกษา ความรู้ทางภาษานี้ควรจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้เกิดความเข้าใจถึงวัฒนธรรมในสังคมนั้นๆ ไม่เช่นนั้นการศึกษาเพียงทักษะทางภาษาก็เป็นเพียงแค่การการสร้างคนรับใช้ให้กับนายญี่ปุ่น”
“กระบวนการกลายเป็นญี่ปุ่นมิได้เป็นเพียงการรับอิทธิพลญี่ปุ่นมาอย่างฉาบฉวยดังที่มักมีการโจมตีว่าวัยรุ่นไทยว่าหลงวัฒนธรรมญี่ปุ่นเท่านั้น แต่เป็นการรับอิทธิพลญี่ปุ่นที่ซึมลึกถึงระดับของอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด และยังทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลกที่มีญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในมหาอำนาจในระบบดังกล่าวด้วย ดังนั้นสภาวการณ์ภายในของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นสภาวะ การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ย่อมส่งผลกระทบอย่างไพศาลต่อทุกปริมณฑลของสังคมไทย”รศ.ดร.อรรถจักร์อธิบาย
ด้วยเหตุดังกล่าว สังคมจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจถึงสังคมญี่ปุ่นและความเป็นญี่ปุ่นในสังคมไทย การเรียนรู้ภาษาก็เป็นหนทางหนึ่งในการทำความเข้าใจ เพราะความสำคัญของความเข้าใจดังกล่าวคือการทำให้สังคมไทยปรับตัวได้ถูกต้องในภาวะที่โลกต่างมีการเลื่อนไหลทางวัฒนธรรมกันอย่างรวดเร็วและซับซ้อน ซึ่งความซับซ้อนนี้สังคมไทยต้องตระหนักว่ามันเกินกว่าที่จะสรุปว่าเรื่องราวต่างๆเป็นเพียงแค่กระแสเท่านั้น