xs
xsm
sm
md
lg

ชายผู้นอนคว่ำวาดรูป “ประณต วัฒนาสวัสดิ์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เชื่อว่าทุกคนที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ต้องผ่านอารมณ์เหนื่อยล้า ท้อแท้ กระทั่งหมดกำลังใจ จนพาลสบถก่นด่าโชคชะตา แต่วันนี้...กับผู้ชายคนนี้... ที่ถูกโชคชะตาเล่นตลกร้ายจนกลายเป็นคนพิการ ชีวิตที่เหลือทั้งหมดต้องนอนคว่ำอยู่บนเตียงเพียงอย่างเดียว หากแต่เขาคนนี้ ยิ้มรับ ยอมรับ และเรียนรู้ความจริงที่เกิดขึ้น และไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจในความโชคร้าย ตรงกันข้าม...ผู้ชายคนนี้ ใช้ชีวิตอย่างทรนงที่สุด เท่าที่คนคนหนึ่งจะพึงมีได้ มาร่วมมองโลกมุมคว่ำกับผู้ชายคนนี้ ...ประณต วัฒนาสวัสดิ์

เขาเป็นชาวเชียงใหม่โดยกำเนิด เป็นผู้ชายธรรมดาสามัญที่ไม่เด่นดังอะไร ชีวิตอันราบเรียบของเขา ดำเนินตามบรรทัดขั้นตอน เฉกเช่นเดียวกับอีกหลายแสนหลายล้านคนบนโลกนี้ เขาได้พบหญิงสาวที่เขารัก และแต่งงานตอนอายุ 22 ปี และลูกสาวตัวน้อยของเขาก็ได้ออกมาลืมตาดูโลกตอนผู้เป็นพ่ออายุ 23 ปี ดูเหมือนว่าชีวิตของ “พี่ณต” จะสุขสมบูรณ์ดีตามประสา ทว่าการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น

เหตุร้ายที่ทำลายช่วงชีวิตหนึ่งของผู้ชายคนนี้เริ่มขึ้นเมื่อเขาไปทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และมีเหตุที่เขาต้องขึ้นไปซ่อมไฟบนเสาไฟฟ้าเก่าในอำเภอสันกำแพง ไฟฟ้าเป็นไฟฟ้าแรงสูงซึ่งได้รับการสับคัตเอาท์ตัดไฟไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ไฟฟ้าแรงต่ำที่ยังไม่ได้สับตัดไฟ พี่ณตปีนขึ้นไปได้ประมาณครึ่งหนึ่ง เชือกที่คล้องไหล่อยู่พลัดหล่นลงมา เพื่อนร่วมงานก็โยนเชือกกลับไปให้ แต่เจ้ากรรมที่พี่ณตเหยียบพลาดไปถูกสายกระแสไฟฟ้าแรงต่ำ

“มันดูดติดอยู่อย่างนั้น เหมือนใครเอามีดมาแทงเราติดตรึงอยู่กับเสาไฟ เจ็บที่สุดในชีวิตเลย” พี่ณตทวนความรู้สึกย้อนหลัง

เพื่อนร่วมงานจึงวิ่งไปสับคัตเอาท์ไฟฟ้าแรงต่ำเพื่อตัดไฟ ร่างพี่ณตลอยละลิ่วจากความสูง 6 เมตร ลงมากระแทกโครมกับพื้น และผลปรากฏว่ากระดูกสันหลังหัก ทำให้ตั้งแต่ลิ้นปี่ลงไปถึงปลายเท้าเป็นอัมพาต ซึ่งเหตุการณ์ร้ายแรงครั้งนี้ นอกจะทำร้ายร่างกายพี่ณตจนสาหัสแล้ว ยังทำลายชีวิตในขณะนั้นให้อัปปางลงอย่างสิ้นเชิงด้วย ครอบครัวเล็กๆ ที่กำลังมีความสุข มีพ่อวัยหนุ่มฉกรรจ์ที่เป็นเรี่ยวแรงหลักในการหาเลี้ยงครอบครัวต้องมากลายสภาพเป็นคนป่วยหนัก ทำให้สองปีให้หลังชีวิตคู่ของพี่ณตและภรรยาต้องปิดฉากลง เหลือเพียงลูกสาวที่ครอบครัวของพี่ณตนำมาเลี้ยงอุปการะ

“ผมเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่ปีพ.ศ.2525 และกว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลก็กลางปี พ.ศ.2527 นอนโรงพยาบาลอยู่ 1 ปีกับอีก 7 เดือน”

และจากการบาดเจ็บครั้งนั้น ทำให้พี่ณต ต้องเผชิญการผ่าตัดถึง 21 ครั้ง! ครั้งแรกเป็นการผ่าตัดกระดูกสันหลังที่หัก ครั้งที่สองคือการผ่านตัดทำทางออกของของเสียจากร่างกายที่หน้าท้อง พี่ณตเล่าว่าตอนแรกที่บาดเจ็บ ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนหงายอย่างเดียว แต่พอเวลาผ่านไปพักใหญ่ ก็เริ่มจะรำคาญ และดื้อลุกขึ้นมานั่งโดยไม่ฟังคำทัดทานของหมอ พี่ณตฝืนนั่งโต๊ะทำงานได้พักหนึ่งก็เริ่มไม่ไหว จำต้องกลับไปนอนหงายตามเดิม แต่เมื่อจำต้องนอนป่วยอยู่กับเตียงนานๆ สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ก็คือ “แผลกดทับ”

พี่ณตต้องทนทรมานกับแผลกดทับที่ขยายกว้างขึ้น แม้ตัวเองจะไม่เห็นแผลของตัวเอง แต่พี่ณตกล่าวว่า แพทย์เจ้าของไข้ได้กะประมาณขนาดความกว้างและลึกของแผลกดทับบริเวณสะโพกของพี่ณตว่า “ใหญ่ขนาดเอาแก้วน้ำใส่เข้าไปได้ทั้งใบ” และนั่นทำให้ 19 ครั้งของการผ่าตัดที่เหลือของพี่ณต เป็นการผ่าตัดเพื่อรักษาแผลกดทับล้วนๆ!!!


“ผมเป็นคนไข้ที่รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ ซึ่งก็ดูแลดี เพียงแต่ว่าในยุคนั้นการรักษาไม่ได้ทันสมัยเหมือนทุกวันนี้ ยาก็ไม่ได้ดีเหมือนยุคนี้ ผมเลยมีปัญหาเรื่องการติดเชื้อด้วย แผลกดทับเป็นมากจนต้องเฉือนกระดูก ตัดเนื้อ เลาะเนื้อน่องเนื้อขามาแปะ จนหมอบอกว่าไม่มีการผ่าตัดครั้งที่ 20 แล้วนะ เพราะมันไม่เหลืออะไรให้ตัดให้เลาะมาแปะแล้ว และไม่เหลือที่ให้เย็บ ไม่รู้จะเย็บยังไงแล้ว ขาผมน่องผมนี่ลีบหมด เพราะเอาเนื้อมาแปะแผลกดทับ”

แต่โชคดีที่มีอาจารย์หมออีกคนหนึ่งที่เพิ่งกลับจากการศึกษาต่อที่ประเทศออสเตรเลีย ได้ลองใช้วิธีจับพี่ณตนอนคว่ำ เพื่อลดการอักเสบของแผลกดทับ ทำให้แผลกดทับที่ด้านหลังมีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ จนในระยะเวลาหลายปีผ่านไป แผลก็หายในที่สุด และโชคดีมากที่พี่ณตไม่เป็นแผลกดทับทางด้านหน้าของร่างกาย

ทุกวันนี้พี่ณตต้องใช้ชีวิตบนรถเข็นนอนที่เจ้าตัวออกแบบเอง โดยอาศัยต้นแบบจากเตียงเข็นของโรงพยาบาล แต่ดัดแปลงให้สั้นลง เล็กลง ตัดอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นออก และทำให้ล้อใหญ่ขึ้นเป็นลักษณะเหมือนรถเข็นนั่ง เพื่อสามารถนอนหมุนได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร เพราะชีวิตช่วงแรกของพี่ณตหลังออกจากโรงพยาบาล แม้จะได้กำลังใจจากเพื่อนฝูงและครอบครัว แต่ชีวิตส่วนตัวก็จำต้องดูแลตัวเอง

“ก่อนผมจะพบแฟนคนปัจจุบัน ผมต้องดูแลตัวเอง พยายามทำอะไรด้วยตัวเอง เรื่องที่ยากที่สุดคือเรื่องของการเข้าห้องน้ำ ผมจำต้องเข้าห้องน้ำทุกวัน และใช้เวลาในนั้นวันละชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมง มันลำบากมากที่กว่าจะลงจากเตียงเพื่อจะขึ้นวิลแชร์เข้าห้องน้ำ และเขยิบจากวิลแชร์ไปที่ชักโครก ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่เบื่อช่วงเวลานี้”

ชายหนุ่มผู้พิการแต่ร่างกายแต่กำลังใจเกินร้อยคนนี้เล่าต่อไปถึงเรื่องของความรักครั้งใหม่ว่า ภายหลังจากที่เริ่มทำใจได้ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น และเรียนรู้ที่จะอยู่ในสภาพที่ทำอะไรได้ไม่เหมือนก่อนได้พอสมควรแล้ว ก็เริ่มรู้สึกดีกับชีวิตและพยายามช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่จะทำได้ โดยเริ่มจากผู้พิการด้วยกัน ด้วยการทำสำนักงานชมรมคนพิการเชียงใหม่ เพื่อช่วยเหลือเป็นการกำลังใจให้แก่ผู้พิการรายอื่นๆ ทำให้เขาได้พบกับนักศึกษาฝึกงานผู้พิการเนื่องจากป่วยเป็นโรคโปลิโอ และ ณ ที่นั้น ความรักก็ได้งอกงามอีกครั้ง จนในที่สุด พี่ณตตัดสินใจแต่งงานกับเธอ

“เราเหมือนกันเป็นคนขยัน เป็นผู้หญิงอัธยาศัยดี อยู่แล้วสบายใจ เราคอยเป็นกำลังใจให้กันและกัน” พี่ณตกล่าว

เมื่ออาการทางร่างกายเริ่มดีขึ้น และร่างกายสามารถปรับตัวให้เคยคุ้นกับการใช้ชีวิตแบบนอนคว่ำบนเตียงรถเข็น พี่ณตก็เริ่มทำอาชีพอีกครั้ง โดยเอาความถนัดและความชอบตั้งแต่สมัยเด็กๆ นั่นคือการทำงานศิลปะ พี่ณตวนอนวาดภาพ ทั้งภาพเสก็ตช์ ภาพลงสี ภาพบนเปลือกไข่นกกระจอกเทศ และสินค้าทำมืออื่นๆ อย่างขยันขันแข็ง บ่อยครั้งที่เข้านอนเมื่อเวลาล่วงเข้าวันใหม่ ผลงานทั้งหมดพี่ณตเอาไปขายที่ถนนคนเดิน จ.เชียงใหม่ ทำให้พอมีรายได้บ้าง ส่วนหญิงสาวข้างกายของพี่ณตนั้น มีกิจการขายอาหารพื้นเมืองในตลาดอำเภอเวียงเหนือ ขายดิบขายดีถึงขนาดต้องขาย 2 รอบต่อวัน

“คาถาง่ายๆ ของคนไม่ว่าจะพิการหรือไม่พิการ ก็คือความขยันครับ”

ล่าสุดเมื่อไม่นานที่ผ่านมานี้ พี่ณตเพิ่งจะได้รับรางวัลพิเศษจากดีแทค ในการประกวดภาพเขียน โดยภาพที่ได้รับรางวัล พี่ณตตั้งชื่อว่า “ใต้ร่มพระบารมี” ที่พี่ณตวาดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ อยู่เหนือแปลงเกษตรเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยความสามารถทางศิลปะผนวกกับแรงใจที่เพียรนอนคว่ำวาด ทำให้ผู้จัดงานเทใจมอบรางวัลพิเศษให้ชนิดไร้ข้อกังขา

พี่ณตเผยว่า ส่วนตัวได้รับพระมหากรุณาธิคุณมาตั้งแต่ครั้งประสบอุบัติเหตุใหม่ๆ เพราะค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงมาก จึงเข้ารับการอนุเคราะห์จากมูลนิธิสมเด็จย่าเพื่อผู้พิการ จากนั้นก็ได้แสดงความจงรักภักดีเท่าที่จะสามารถทำได้ด้วยการวาดพระบรมสาทิสลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ และสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ถวายกับพระหัตถ์ของทั้งสองพระองค์ ยังความปลาบปลื้มอย่างหาที่สุดมิได้ที่ได้เข้าเฝ้าถวายผลงานจากหัวใจ

“ไม่เคยเห็นในหลวง แต่ก็เคยวาดภาพแล้วถวายพระองค์ โดยฝากผ่านญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง แต่แม้ไม่เคยเห็นพระองค์จริง ผมก็รักพระองค์เหลือเกิน วันที่ฉลองสิริราชสมบัติ ผมดูโทรทัศน์อยู่ที่เชียงใหม่ ผมร้องไห้ ผมดีใจ ถ้าผมไม่พิการผมคงลงมาร่วมในงานฉลองแล้ว ถึงตรงนี้พูดทีไร ผมก็แน่นหัวอกทุกที ตื้นตัน” พี่ณตพูดด้วยเสียงเครือ น้ำตาคลอเบ้า พร้อมทั้งกล่าวต่อไปอีกว่า ทุกวันนี้ตั้งใจที่สุด คือจะทำตัวเป็นคนดีถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และจะพยายามทำความดีด้วยการช่วยเหลือผู้พิการคนอื่นๆ เท่าที่จะทำได้

“ผมชอบที่วาดในหลวง ผมวาดท่านเยอะ เพราะทุกครั้งที่ผมวาดท่าน ผมมีความสุข” พี่ณตกล่าวทิ้งท้าย


กำลังโหลดความคิดเห็น