xs
xsm
sm
md
lg

สนทนาภาษาชีวจิตกับสาทิส อินทรกำแหง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ในสภาวะปัจจุบันเราคงคุ้นเคยกับกระแส “วัฒนธรรมอาหารตะวันตก” ที่หลั่งไหลเข้ามาพร้อมกับลัทธิบริโภคนิยม-ทุนนิยมกระทั่งสามารถลบภาพวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทยให้เลือนหายไปทีละน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาฟาสต์ฟูดและอาหารจานด่วนอีกนานับชนิด

อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง
ขณะเดียวกันผลของการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความรีบเร่งและแข่งขันอยู่ทุกขณะจิต โดยขาดการพักผ่อนและออกกำลังกายก็เป็นอีกปัจจัยเสริมที่ทำให้สุขภาพของผู้คนย่ำแย่ไปตามๆ กัน

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าชีวิตจะไม่มีทางเลือกเสียทีเดียว ซึ่งหนึ่งในทางเลือกอันเป็นที่แพร่หลายในสังคมไทยมาเป็นเวลาพอสมควรแล้วก็คือ “วิถีชีวจิต” และเนื่องในโอกาสที่นิตยสารชีวจิตก้าวเข้าสู่ปีที่ 9 “อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง” ผู้นำชีวจิตมาสู่สังคมไทยและบรรณาธิการที่ปรึกษานิตยสารชีวจิต จะมาสนทนาภาษาชีวจิตกันอย่างลึกซึ้งถึงแก่นกันอีกครั้ง

อาจารย์สาทิสเริ่มต้นด้วยการอธิบายว่า ชีวจิตเป็นการนำคำ 2 คำมาผสมผสานกันนั่นคือคำว่า ชีวะ ที่แปลว่าร่างกาย กับคำว่า จิต แปลว่า จิตใจ ดังนั้น คำคำ นี้จึงมีความหมายรวมถึงการดูแลสุขภาพที่ต้องคำนึงถึงร่างกายและจิตใจควบคู่กันไป

ทั้งนี้ จุดเริ่มต้นของชีวิตเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่ผ่านมาหลังจากที่ตนเองเดินทางกลับจากต่างประเทศและพบว่า วิถีชีวิตของคนไทยในขณะนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็นำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆ

“ชีวจิตได้จัดแบ่งโรคไว้เป็น 2 อย่างคือโรคที่เป็นโรคและโรคที่ไม่เป็นโรค โรคที่เป็นโรคหมายถึงการที่ร่างกายเจ็บป่วยเพราะมีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย เช่น ไข้หวัดที่เกิดมาจากไวรัส ส่วนโรคที่ไม่ใช่โรค เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน หรือโรคประจำตัว โรคเหล่านี้ล้วนไม่มีเชื้อโรคจากภายนอกมาทำให้ร่างกายเจ็บป่วย อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะล้มป่วยด้วยสาเหตุอะไร คนส่วนใหญ่มักจะหันหน้าไปพึ่งพาแพทย์โดยหารู้ไม่ว่าภายในร่างกายของมนุษย์เรามียาขนานเอกที่สามารถบำบัดรักษาตัวเองได้ โดยตัวแปรสำคัญนี้เรียกว่า "อิมมูนซิสเต็ม”(Immune system) หรือภูมิชีวิต แต่ไม่สามารถหาเครื่องมือมาวัดหรืออธิบายได้ว่าเจ้าอินมูนซิสเต็มที่ว่านี้มีลักษณะรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร อิมมูนซิสเต็มเป็นตัวบ่งชี้สภาวะในร่างกายของแต่ละคน ยามใดที่ร่างกายเริ่มมีตัวนี้น้อยลงแสดงว่าร่างกายเริ่มไม่อยู่ในภาวะปกติ อาจเจ็บป่วยด้วยสาเหตุต่างๆกันไป”
ออกกำลังกายในวิถีชีวจิต
ด้วยเหตุดังกล่าว อาจารย์สาทิสจึงได้นำแนวคิดในเรื่องชีวจิตมาใช้บำบัดร่างกายและจิตใจเมื่อต้องตกอยู่ในสภาพไม่สมดุล โดยใช้หลักคิดง่ายๆ คือมองที่ตัวเองเป็นหลัก เพราะไม่ว่าใครก็ไม่สามารถบอกตัวเราได้เท่าเจ้าของร่างกายว่าในขณะนั้น ร่างกายและจิตใจอยู่ในสภาพแบบไหน
อันดับแรกเมื่อร่างกายผิดปกติจะต้องเริ่มทำความเข้าใจตนเอง ด้วยการวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด เนื่องจากถ้าหาสาเหตุได้ก็สามารถแก้ปัญหาและรักษาโรคได้ง่ายขึ้น

“อย่าเพิ่งเอาตัวเองไปฝากไว้กับหมอมากนัก ต้องมองย้อนมาที่เราก่อนเพราะเรานี่แหละเป็นหมอที่ดีที่สุด สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคืออะไรที่ทำให้เราเป็นโรค ด้วยเพราะโรคมีสาเหตุมาจาก 2 อย่างที่บอกไปแล้ว ถ้าเราสามารถตอบโจทย์ตรงนี้ได้วิธีการรักษาก็ง่ายขึ้นไปอีก ถ้าเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อโรคต้องดูว่าเป็นเชื้อตัวใด ปัญหาส่วนใหญ่ของคนในยุคนี้จะมาจากเรื่องแฟชั่นการกิน อยู่ หลับ นอน ซึ่งเป็นพื้นฐานของชีวิต ซึ่งผิดไปจากวิถีชีวิตดั้งเดิมมาก”

สำหรับหลักปฏิบัติที่จะนำพาชีวิตให้หลุดออกมาจากโรคภัยไข้เจ็บเหล่านั้น อาจารย์สาทิสบอกเอาไว้ว่าให้ยึดหลัก 5 ประการคือ กิน อยู่ ทำงาน พักผ่อนและออกกำลังกาย โดยทำทั้ง 5 อย่างนี้ให้พอเหมาะพอดีกัน
ยกตัวอย่างเช่น การกิน ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าต้องบริโภคแบบใดถึงจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ด้วยการดำเนินชีวิตที่แปรเปลี่ยนไปมากจึงดูเป็นเรื่องที่ปฏิบัติกันได้ยาก ดังนั้น ต้องต่อสู้กับจิตใจตัวเองให้ได้ นี่คือหลักปฏิบัติที่ส่งผลต่อร่างกาย

นอกจากนั้น ยังมีอีก 5 ข้อใหญ่ที่ต้องทำควบคู่กันไปคือ 1.การใช้ชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติเพราะธรรมชาติสร้างทุกสิ่งทุกอย่างมาบนโลกนี้ ดังนั้น เรื่องใดที่ไปฝืนธรรมชาติย่อมก่อให้เกิดทุกข์ 2.ใช้ชีวิตให้เรียบง่ายและมีความพอดี 3. ต้องอยู่ร่วมกันด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ 4. ต้องให้เกิดความเป็นเลิศของสุขภาพกายและใจ 5.ทุกคนต้องการอยู่ในสังคมที่ยุติธรรมไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ซึ่งหลักที่ว่ามานั้นเชื่อว่าหลายคนมีความเห็นตรงกัน แต่ในทางปฏิบัติแล้วทำได้ยาก
ลองทำสมาธิดูบ้างช่วยสงบจิตใจได้ดี
อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่เอ่ยถึงชีวจิต สิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้นั่นคือการทำ ‘ดีทอกซ์’ ที่กลายเป็นเรื่องกล่าวถึงกันอย่างแพร่หลายมาแล้วทั้งในแง่ดีและติดลบ
ปรมาจารย์ชีวจิตคนนี้อธิบายว่า ดีทอกซ์เป็นสิ่งที่แนะนำให้ทำกันเพราะส่งผลดีต่อร่างกาย เนื่องมาจากในร่างกายของคนเราสะสมท็อกซินหรือเรียกง่ายๆ คือของเสียอันมาจากการใช้วิถีวิถีชีวิตที่ผิดๆ เมื่อเพิ่มมากขึ้นก็มีผลเสียต่อตัวเราจึงต้องกำจัดออก

ทั้งนี้ ในปัจจุบันก่อนคลอดลูกแพทย์ก็จะทำดีทอกซ์ให้ก่อนเพื่อไปช่วยลดความกดดันขณะคลอดลูก หรือแม้ในคนที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดก็เหมือนกัน การทำดีทอกซ์จะช่วยลดความกดดันในช่วงลำไส้ ดังนั้น ดีท็อกจึงไม่ใช่เรื่องที่ยกเมฆกันขึ้นมา ทุกอย่างเป็นเรื่องทางการแพทย์ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากใครที่สนใจอยากทำบ้างคงต้องลองศึกษาวิธีให้ถี่ถ้วนซึ่งก็มีในตำราหลายเล่ม

“คนส่วนใหญ่ที่หันมารักษาตัวเองด้วยชีวจิตมักจะป่วยเป็นโรคที่หมอปัจจุบันรักษาไม่ได้แล้วอย่างเช่นโรคมะเร็ง แต่เราไม่ได้บอกว่าเมื่อมาทางชีวจิตแล้วจะหายขาด ไม่มีทางหายขาดอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้าอาการดีขึ้น กิน อยู่ หลับนอนได้ตามปกติ สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ทั้งนี้ การรักษาแบบชีวจิตต้องมีโปรแกรมของแต่ละคนแม้เป็นโรคแบบเดียวกันก็ไม่สามารถจัดโปรแกรมเหมือนกันให้ได้เพราะพื้นฐานร่างกายต่างกัน สำหรับคนที่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเจ็บป่วยก็อยากให้ลองทำชีวจิตดูรับรองได้ว่าภายในระยะเวลา 1 เดือนจะเกิดความเปลี่ยนแปลงกับชีวิตแน่นอน” อาจารย์สาทิสฝากทิ้งท้ายไว้
กำลังโหลดความคิดเห็น