xs
xsm
sm
md
lg

“หมอมงคล” ชี้ “เลิฟโลชั่น” รักษามะเขือเผาผิดชัวร์ “เจ๊เบียบ” ลั่นคนไทยฮือฮาเพราะหมกมุ่นเซ็กซ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“หมอมงคล” ฟันธง “เลิฟโลชั่น” ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ สั่ง อย.จัดการด่วน เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อกับคำโฆษณาอวดอ้าง ด้าน “กรมวิทย์” ได้รับตัวอย่างแล้ว คาดทราบผลตรวจสอบความปลอดภัยภายใน 2 สัปดาห์ แพทยสภาสั่งห้ามโฆษณาและแจกจ่ายยา เกรงประชาชนถูกหลอก คาดคณะกรรมการจริยธรรมพิจารณาความผิดเสร็จภายใน 1-2 เดือนนี้ ระบุหากประชาชนได้รับความเสียหายจากผลิตภัณฑ์สามารถฟ้องร้องดำเนินคดีกับแพทย์ได้ทันที“เจ๊เบียบ” ติงคนไทยฮือฮาข่าวยาเลิฟโลชั่นเพราะหมกหมุ่นเซ็กซ์เกินเหตุ ชี้เซ็กซ์สำคัญในชีวิตคู่เพียง 30% ที่เหลือต้องอยู่ด้วยความเข้าใจ


นพ.ไพจิตร์ วราชิต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับตัวอย่างยา “เลิฟโลชั่น” ที่ใช้รักษาอาการหย่อยสมรรถภาพทางเพศแล้ว โดยได้สั่งการให้กองเครื่องสำอางและวัตถุอันตรายทำการตรวจสอบว่ามีความปลอดภัยหรือไม่ โดยน่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์

ส่วนการตรวจด้านสรรพคุณการรักษาตามที่กล่าวอ้างว่า เป็นยาทาเฉพาะที่ซึ่งใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ปลอดภัยไม่มีสารตกค้างและผลข้างเคียงต่อร่างกายจะต้องใช้เวลา เนื่องจากต้องทำการทดลองในสัตว์ทดลองที่มีลักษณะใกล้เคียงมนุษย์ก่อน ซึ่งปกติแล้วยาที่ใช้รับประทานร่างกายจะสามารถดูดซึมได้เร็วกว่าการทาเฉพาะที่ทางผิวหนัง ดังนั้นจึงต้องทดสอบด้วยว่ามีคุณสมบัติในการซึมสู่ผิวหนังได้เร็วหรือไม่

ด้านนพ.มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์กรณีแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ จะแจกฟรียารักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศในรูปของยาทา “เลิฟโลชั่น” ว่า กรณีดังกล่าวไม่ถูกต้องแน่นอน เรื่องนี้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะต้องไปดำเนินการ ส่วนจะดำเนินการอย่างไร ให้ อย.ไปรับผิดชอบ ความจริงยาแต่ละตัวก่อนที่จะนำมาทดลองในคนต้องผ่านการทดลองในสัตว์ทดลองก่อน และมาทดลองในคน เพื่อความปลอดภัยของประชาชน จะต้องดูว่ามีผลข้างเคียงอะไรหรือไม่ ซึ่งกระบวนการวิจัยมีขั้นตอนอยู่แล้ว ไม่ใช่จู่ๆ ออกมาบอกว่ายานี้ใช้ได้ผล อย่าหลงเชื่อ และแตกตื่นกับคำโฆษณาอวดอ้าง

นางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช นายกสมาคมเสริมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข กล่าวว่า การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย โดยใช้ยากระตุ้นทางเพศหรือบำบัดอาการเสื่อมสมรรถภาพในผู้ชายมีมานานมากแล้ว ทั้งแมลงวันสเปน ยาสมุนไพรต่างๆ ที่ค้นหาสารพัดวิธีโดยไม่เคยอาย กลายเป็นเรื่องสนุกสนาน ซึ่งไม่มีวันหมดไปจากประเทศไทย เพราะคนให้ความสำคัญกับเรื่องเพศมากเกินไปทั้งๆ ที่เรื่องเซ็กซ์มีความสำคัญในการใช้ชีวิตคู่เพียง 30% ที่เหลือเป็นความเข้าใจ เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน การคิดค้น หรือมีนวัตกรรมใหม่ๆ จนมีคนแห่งเข้าคิวขอยามากเท่าใดก็แสดงออกถึงการหมกหมุ่นทางกามารมณ์ของในสังคมที่มีมากขึ้นเท่านั้น

“หากชีวิตคู่อยู่ด้วยความเข้าใจเซ็กซ์ก็ไม่ใช่ปัญหาของครอบครัว เช่น ตื่นมาแล้วพูดจากันภาษาดอกไม้มีแต่ความสุขเอาใจเขามาใส่ใจ ไม่เห็นแก่ตัว อย่างมีกรณีหนึ่งที่ผู้ชายไม่มีอวัยวะเพศผู้หญิงก็ยังอยู่ได้ด้วยความรักความเข้าใจได้ ดูแลเป็นอย่างดี อดทนได้ แต่ผู้ชายจะอยู่ไม่ได้ จะต้องหาวิธี หรือเป็นข้ออ้างเพื่อไปมีเมียน้อย ซึ่งมุมมองความคิดระหว่างผู้หญิง ผู้ชายมีความแตกต่างกัน” นางระเบียบรัตน์กล่าว

นางระเบียบรัตน์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาไม่มีใครคิดแก้ปัญหาอย่างอื่นที่ไม่ใช่เรื่องเสื่อมสมรรถภาพ ดังนั้นพอมีข่าวจึงเกิดความฮือฮา ตื่นเต้น ยินดี กลายเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วย ทั้งๆ ที่ปัญหาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเกี่ยวข้องกับภาวะจิตใจ ภรรยามีส่วนก็จะช่วยให้สามีฟื้นคืนได้ตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งยา

วันเดียวกัน นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวว่า จากการหารือกับคณะกรรมการบริหาร ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้มีการพิจารณา กรณีผลิตยาเลิฟโลชั่นรักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ นำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาทางจริยธรรม หากคดีมีมูลจะตั้งคณะกรรมการสอบสวน และเรียกตัวมาให้การ พร้อมได้แจ้งนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจให้ดำเนินการปรามนายแพทย์ไพโรจน์ มะระพฤกษ์วรรณ เจ้าของผลิตภัณฑ์เลิฟโลชั่น ให้หยุดการโฆษณาและแจกจ่ายยาดังกล่าว โดยมั่นใจว่าการพิจารณาของคณะกรรมการจริยธรรมจะทำได้โดยเร็วภายใน 1- 2 เดือน นี้ ขณะนี้จึงยังไม่สามารระบุถึงความผิดของนายแพทย์ไพโรจน์ได้ต้องให้คณะกรรมการเป็นผู้พิจารณา และในระหว่างนี้หากมีผู้เสียหายจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าว สามารถฟ้องร้องดำเนินคดีกับนายแพทย์คนดังกล่าวได้ทันที

“หากแพทย์มีข้อค้นพบใดที่มีความแปลกใหม่ ควรแจ้งวงการแพทย์ ไม่ใช่แจ้งประชาชน เนื่องจากประชาชนไม่มีความรู้ พูดอะไรก็เชื่อหมด คนไม่มีความรู้ อาจถูกหลอกได้ ฉะนั้นถือว่าผิดจริยธรรม ตอนนี้ต้องหยุดโฆษณาก่อน จริงๆยาดังกล่าวที่ประชาชนรับไปมีอันตราย เพราะยังไม่ผ่านการตรวจสอบว่าได้มาตรฐานหรือไม่ ขณะนี้เป็นเพียงการพูดจากปากคนๆเดียว ความปลอดภัยต้องมีข้อมูล มีการศึกษามีบันทึกรับรองชัดเจน ”นพ.สมศักดิ์กล่าว

ทั้งนี้ ในการประชุมการประชุมผู้บริหารแพทยสภาจะพิจารณาสอบสวนเรื่องดังกล่าว 1. เป็นการโฆษณาอวดอ้างเกินจริงหรือไม่ 2. ยาผ่านการรับรองมีเลขทะเบียนจากอย.หรือไม่ 3 .การวิจัยดังกล่าวผ่านกาคณะกรรมการทางจริยธรรมด้านวิจัยหรือไม่ ถูกต้องตามหลักวิชา และ 4.มีการเสนอผลงานผ่านทางวารสารหรือวงการแพทย์หรือไม่ เนื่องจากยังไม่มีการรับรองจากผู้เชี่ยวชาญ
กำลังโหลดความคิดเห็น