จิตแพทย์กรมสุขภาพจิตระบุการอกหักในวัยรุ่นเป็นเรื่องธรรมดา น้อยรายที่จะมีรักแรกมั่นคงถึงขั้นแต่งงาน ส่วนใหญ่ได้แต่งงานกับรักครั้งที่ 2-3 ทั้งนั้น แนะเพื่อนสนิท ครู พ่อแม่ให้คำแนะนำเป็นที่ปรึกษาประคับประคองให้ผ่านพ้นช่วงอกหักรักคุด เตือนระวังวัยรุ่นซึมเศร้า แต่แสดงออกด้วยความก้าวร้าวคนที่ก่อเหตุรุนแรงมักอยู่ในภาวะป่วยทางใจ

นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ จิตแพทย์จากกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงกรณีนักศึกษาถูกยิงเสียชีวิตหลังมีปัญหารักคุด ว่า ปัญหารักในวัยเรียนของวัยรุ่นที่น่ากังวลที่สุด คือ วัยรุ่นเป็นวัยที่ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องมีระบบสนับสนุน เมื่อเด็กมีปัญหาต้องหาทางออกได้ โดยเริ่มจากเพื่อน ครูแนะแนว หากระบบนี้ไม่เข้มแข็งพอ เมื่อเด็กมีปัญหาและไม่ได้รับคำปรึกษาที่ดี จะทำให้เกิดพฤติกรรมก่อเกิดความรุนแรงมากขึ้น แต่ว่าถ้าสามารถทำให้ระบบนี้เข้มแข็งได้ โดยเพื่อนดูแลเพื่อน หรือได้รับคำแนะนำที่ดีจากครูแนะแนว ปัญหาเหล่านี้ก็จะน้อยลง ดังนั้น ระบบสนับสนุนต่าง ๆ ต้องทำให้เข้มแข็งต่อไป
“ผู้ที่ใช้ความรุนแรง คนเหล่านี้จะอยู่ในอาการป่วย หรือภาวะซึมเศร้า ผู้ใหญ่ที่ซึมเศร้าจะมีความรู้สึกท้อแท้ ส่วนวัยรุ่นจะแสดงออกตรงกันข้ามคือ ก้าวร้าว ใช้ความรุนแรง ซึ่งอาการนี้ต้องได้รับการปรึกษา บำบัดรักษา ดังนั้น ต้องมีระบบการดูแลทั้งทางเพื่อน ครูแนะแนว จนถึงจิตแพทย์ นักจิตวิทยา ถ้าระบบในการสนับสนุนเด็กที่มีปัญหาเหล่านี้ไม่ดีพอ ก็จะพบปัญหาเหล่านี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เด็กที่ลงมือทำร้ายแฟนจนเสียชีวิตอาจกำลังเสียใจกับการกระทำของตัวเองเขาเป็นคนที่น่าห่วง” นพ.ยงยุทธ กล่าว
จิตแพทย์จากกรมสุขภาพจิต กล่าวย้ำว่า หากเห็นวัยรุ่นเสี่ยงอกหักรักคุดการช่วยเหลือที่ดีคือเพื่อน โดยเพื่อนสนิทให้คำปรึกษา ครูที่ใกล้ชิดและครูแนะแนว ซึ่งเมื่อเห็นเด็กกำลังมีรักในวัยเรียนคอยประคับประคองอย่าให้นอกลู่นอกทางถ้าอกหักก็ให้การประคับประคองบอกให้รู้ว่าเป็นธรรมดาของรักในวัยรุ่นที่มักอกหัก ลองถามพ่อแม่ก็ได้กว่าจะมาแต่งงานสร้างครอบครัวร่วมกัน ผ่านการมีความรักกี่ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นรักครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ทั้งนั้น น้อยรายที่รักในวัยรุ่นแล้วจะมั่นคงจนถึงขั้นแต่งงานกัน ถ้าทุกคนให้กำลังใจเด็กให้คำปรึกษา เด็กจะรู้จักการยอมรับ การทำใจ
ด้าน นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวในการเสวนาเรื่อง “การแก้ไขปัญหาวัยรุ่น : จากโรงเรียนสู่วาระแห่งชาติ” ว่าจากสถิติเด็กที่ก่อคดีถูกส่งตัวเข้าสถานพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชน เมื่อปี 2544 พบว่ามีจำนวน 31,000 คน แต่ปี 2549 ที่ผ่านมาพบว่าตัวเลขเพิ่มเป็น 43,000 คน สูงขึ้นจนน่าตกใจ ปัญหาที่พบในปี 2544 เกือบครึ่งหนึ่งเป็นปัญหายาเสพติด แต่ปี 2549 พบว่าการก่อคดีปัญหายาเสพติดลดลงเหลือเพียง 7,800 ราย ในขณะที่การกระทำความผิดใช้ความรุนแรงเพิ่มขึ้นประมาณ 3-4 เท่า จาก 2,000 คน ในปี 2544 เป็น 7,300 คน ในปี 2549 คดีเดี่ยวกับทรัพย์สินจาก 7,300 คน เป็น 12,000 คน การก่อคดีทางเพศเพิ่ม 3 เท่า จาก 1,026 คน เป็น 3,269 คน ครอบครองอาวุธและวัตถุระเบิดจาก 900 ราย เป็น 3,000 ราย ดังนั้น การแก้ไขปัญหาควรแก้ที่ต้นเหตุ แต่ถ้าจะไปแก้ที่ครอบครัวคงคาดหวังยาก คงต้องไปมุ่งใช้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางในการแก้ไขปัญหา
น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า ปัญหาเด็กวัยรุ่นในปัจจุบันซับซ้อนกว่าในอดีตมาก ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากครอบครัวแตกแยก ปัญหาเศรษฐกิจ การขาดตัวอย่างที่ดีในสังคม ผู้บริหารประเทศขาดจริยธรรม คุณธรรม ไม่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็ก การห่างไกลศาสนา ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี ในฐานะที่ตนเป็นสมาชิก สนช. ทำหน้าที่ออกกฎหมาย มีกฎหมาย 3 ฉบับ ที่จะผลักดันเพื่อควบคุมปัญหาที่เกิดขึ้นให้อยู่ในกรอบอันควรคือ 1.กฎหมายพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ สาระสำคัญคือให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กและเยาวชน การให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตั้งงบพัฒนาเด็กและเยาวชน การตั้งสภาเด็กและเยาวชนระดับชาติและจังหวัด 2.กฎหมายปราบปรามวัตถุยั่วยุพฤติกรรมอันตราย สาระสำคัญ คือ สื่อทุกประเภททั้งเอกสาร ภาพเขียน สิ่งพิมพ์ รูปภาพ ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ภาพยนตร์ที่เป็นการกระทำเกี่ยวกับความวิปริตทางเพศ ส่งเสริมการฆ่าตัวตาย ยาเสพติด จะควบคุมทั้งหมด 3.กฎหมายขจัดความรุนแรงในครอบครัว
นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ หัวหน้ากลุ่มที่ปรึกษา จิตแพทย์จากกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัญหาในวัยรุ่นพบว่าวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์กันมากขึ้น มีเพศสัมพันธ์อายุน้อยลง มีเพศสัมพันธ์ไม่ปลอดภัย สถิติการทำแท้งเพิ่มสูงขึ้น ปัญหามาจากสิ่งแวดล้อมและสื่อที่ยั่วยุทำให้วัยรุ่นตกเป็นเหยื่อ การแก้ไขปัญหาคือทำให้วัยรุ่นภูมิใจในตัวเอง เห็นได้จากโครงการคนพันธุ์อาที่ลดสถิติการก่อคดีของเด็กอาชีวะลง จากเดิมมีประมาณ 2,000 คดี ประมาณปี 2547-2548 แต่ในปี 2549 พบการก่อคดีลดลงเหลือ 700 คดี คือลดลงถึง 300 เปอร์เซ็นต์
"เสนอให้สร้างภาพพจน์วัยรุ่นด้านบวก จากเดิมมองแต่ปัญหาของวัยรุ่นมองแต่ปัจจัยเสี่ยง อย่างโครงการคนพันธ์อาที่นำภาพลักษณ์ด้านบวกของนักเรียนนักศึกษาอาชีวะมานำเสนอมียุทธศาสตร์ที่ทำให้สังคมเห็นว่าเด็กอาชีวะมีด้านดี มีด้านบวก สถิติการก่อความรุนแรงของวัยรุ่นซึ่งร้อยละ 91 เป็นเด็กอาชีวะ จาก 2,000 ครั้ง ลดเหลือเพียง 700 ครั้ง ถือเป็นความสำเร็จของโครงการคนพันธุ์อา" นพ.ยงยุทธ กล่าว
นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ จิตแพทย์จากกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงกรณีนักศึกษาถูกยิงเสียชีวิตหลังมีปัญหารักคุด ว่า ปัญหารักในวัยเรียนของวัยรุ่นที่น่ากังวลที่สุด คือ วัยรุ่นเป็นวัยที่ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องมีระบบสนับสนุน เมื่อเด็กมีปัญหาต้องหาทางออกได้ โดยเริ่มจากเพื่อน ครูแนะแนว หากระบบนี้ไม่เข้มแข็งพอ เมื่อเด็กมีปัญหาและไม่ได้รับคำปรึกษาที่ดี จะทำให้เกิดพฤติกรรมก่อเกิดความรุนแรงมากขึ้น แต่ว่าถ้าสามารถทำให้ระบบนี้เข้มแข็งได้ โดยเพื่อนดูแลเพื่อน หรือได้รับคำแนะนำที่ดีจากครูแนะแนว ปัญหาเหล่านี้ก็จะน้อยลง ดังนั้น ระบบสนับสนุนต่าง ๆ ต้องทำให้เข้มแข็งต่อไป
“ผู้ที่ใช้ความรุนแรง คนเหล่านี้จะอยู่ในอาการป่วย หรือภาวะซึมเศร้า ผู้ใหญ่ที่ซึมเศร้าจะมีความรู้สึกท้อแท้ ส่วนวัยรุ่นจะแสดงออกตรงกันข้ามคือ ก้าวร้าว ใช้ความรุนแรง ซึ่งอาการนี้ต้องได้รับการปรึกษา บำบัดรักษา ดังนั้น ต้องมีระบบการดูแลทั้งทางเพื่อน ครูแนะแนว จนถึงจิตแพทย์ นักจิตวิทยา ถ้าระบบในการสนับสนุนเด็กที่มีปัญหาเหล่านี้ไม่ดีพอ ก็จะพบปัญหาเหล่านี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เด็กที่ลงมือทำร้ายแฟนจนเสียชีวิตอาจกำลังเสียใจกับการกระทำของตัวเองเขาเป็นคนที่น่าห่วง” นพ.ยงยุทธ กล่าว
จิตแพทย์จากกรมสุขภาพจิต กล่าวย้ำว่า หากเห็นวัยรุ่นเสี่ยงอกหักรักคุดการช่วยเหลือที่ดีคือเพื่อน โดยเพื่อนสนิทให้คำปรึกษา ครูที่ใกล้ชิดและครูแนะแนว ซึ่งเมื่อเห็นเด็กกำลังมีรักในวัยเรียนคอยประคับประคองอย่าให้นอกลู่นอกทางถ้าอกหักก็ให้การประคับประคองบอกให้รู้ว่าเป็นธรรมดาของรักในวัยรุ่นที่มักอกหัก ลองถามพ่อแม่ก็ได้กว่าจะมาแต่งงานสร้างครอบครัวร่วมกัน ผ่านการมีความรักกี่ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นรักครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ทั้งนั้น น้อยรายที่รักในวัยรุ่นแล้วจะมั่นคงจนถึงขั้นแต่งงานกัน ถ้าทุกคนให้กำลังใจเด็กให้คำปรึกษา เด็กจะรู้จักการยอมรับ การทำใจ
ด้าน นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวในการเสวนาเรื่อง “การแก้ไขปัญหาวัยรุ่น : จากโรงเรียนสู่วาระแห่งชาติ” ว่าจากสถิติเด็กที่ก่อคดีถูกส่งตัวเข้าสถานพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชน เมื่อปี 2544 พบว่ามีจำนวน 31,000 คน แต่ปี 2549 ที่ผ่านมาพบว่าตัวเลขเพิ่มเป็น 43,000 คน สูงขึ้นจนน่าตกใจ ปัญหาที่พบในปี 2544 เกือบครึ่งหนึ่งเป็นปัญหายาเสพติด แต่ปี 2549 พบว่าการก่อคดีปัญหายาเสพติดลดลงเหลือเพียง 7,800 ราย ในขณะที่การกระทำความผิดใช้ความรุนแรงเพิ่มขึ้นประมาณ 3-4 เท่า จาก 2,000 คน ในปี 2544 เป็น 7,300 คน ในปี 2549 คดีเดี่ยวกับทรัพย์สินจาก 7,300 คน เป็น 12,000 คน การก่อคดีทางเพศเพิ่ม 3 เท่า จาก 1,026 คน เป็น 3,269 คน ครอบครองอาวุธและวัตถุระเบิดจาก 900 ราย เป็น 3,000 ราย ดังนั้น การแก้ไขปัญหาควรแก้ที่ต้นเหตุ แต่ถ้าจะไปแก้ที่ครอบครัวคงคาดหวังยาก คงต้องไปมุ่งใช้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางในการแก้ไขปัญหา
น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า ปัญหาเด็กวัยรุ่นในปัจจุบันซับซ้อนกว่าในอดีตมาก ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากครอบครัวแตกแยก ปัญหาเศรษฐกิจ การขาดตัวอย่างที่ดีในสังคม ผู้บริหารประเทศขาดจริยธรรม คุณธรรม ไม่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็ก การห่างไกลศาสนา ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี ในฐานะที่ตนเป็นสมาชิก สนช. ทำหน้าที่ออกกฎหมาย มีกฎหมาย 3 ฉบับ ที่จะผลักดันเพื่อควบคุมปัญหาที่เกิดขึ้นให้อยู่ในกรอบอันควรคือ 1.กฎหมายพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ สาระสำคัญคือให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กและเยาวชน การให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตั้งงบพัฒนาเด็กและเยาวชน การตั้งสภาเด็กและเยาวชนระดับชาติและจังหวัด 2.กฎหมายปราบปรามวัตถุยั่วยุพฤติกรรมอันตราย สาระสำคัญ คือ สื่อทุกประเภททั้งเอกสาร ภาพเขียน สิ่งพิมพ์ รูปภาพ ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ภาพยนตร์ที่เป็นการกระทำเกี่ยวกับความวิปริตทางเพศ ส่งเสริมการฆ่าตัวตาย ยาเสพติด จะควบคุมทั้งหมด 3.กฎหมายขจัดความรุนแรงในครอบครัว
นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ หัวหน้ากลุ่มที่ปรึกษา จิตแพทย์จากกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัญหาในวัยรุ่นพบว่าวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์กันมากขึ้น มีเพศสัมพันธ์อายุน้อยลง มีเพศสัมพันธ์ไม่ปลอดภัย สถิติการทำแท้งเพิ่มสูงขึ้น ปัญหามาจากสิ่งแวดล้อมและสื่อที่ยั่วยุทำให้วัยรุ่นตกเป็นเหยื่อ การแก้ไขปัญหาคือทำให้วัยรุ่นภูมิใจในตัวเอง เห็นได้จากโครงการคนพันธุ์อาที่ลดสถิติการก่อคดีของเด็กอาชีวะลง จากเดิมมีประมาณ 2,000 คดี ประมาณปี 2547-2548 แต่ในปี 2549 พบการก่อคดีลดลงเหลือ 700 คดี คือลดลงถึง 300 เปอร์เซ็นต์
"เสนอให้สร้างภาพพจน์วัยรุ่นด้านบวก จากเดิมมองแต่ปัญหาของวัยรุ่นมองแต่ปัจจัยเสี่ยง อย่างโครงการคนพันธ์อาที่นำภาพลักษณ์ด้านบวกของนักเรียนนักศึกษาอาชีวะมานำเสนอมียุทธศาสตร์ที่ทำให้สังคมเห็นว่าเด็กอาชีวะมีด้านดี มีด้านบวก สถิติการก่อความรุนแรงของวัยรุ่นซึ่งร้อยละ 91 เป็นเด็กอาชีวะ จาก 2,000 ครั้ง ลดเหลือเพียง 700 ครั้ง ถือเป็นความสำเร็จของโครงการคนพันธุ์อา" นพ.ยงยุทธ กล่าว