ท่ามกลางการไหล่บ่าทางวัฒนธรรมจากทั้งประเทศใกล้เคียงและประเทศฝั่งตะวันตก ทำให้การข้ามพรมแดนทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นมากมาย แต่ประเด็นที่ไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด ก็จะเป็นประเด็นที่นักวิชาการทั้งหลายจับตามองและแสดงความเป็นห่วงเป็นอันดับต้นๆ ของการ (กลม) กลืนทางวัฒนธรรม นั่นคือประเด็นของ ... “เมียฝรั่ง”

“เมียฝรั่ง” กับประวัติศาสตร์ไทย
ดร.ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น แลกเปลี่ยนมุมมองเชิงประวัติศาสตร์ ในการประชุมระดับชาติ ที่จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ภายใต้หัวข้อการประชุมว่าด้วยเรื่อง “ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการพัฒนาภูมิภาคนานาชาติ” ในกลุ่มสาระ “การข้ามแดนทางวัฒนธรรม” ว่า การแต่งงานระหว่างไทยและฝรั่งนั้น เป็นไปได้ยากมากในอดีต
อย่างไรก็ตาม การแต่งงานอยู่กินระหว่างคนไทยกับคนต่างชาติ โดยเฉพาะกับชาติตะวันตกนั้นไม่ใช่ของใหม่ หากแต่มีมาตั้งแต่ครั้งสมัยอยุธยาแล้ว โดยในยุคสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ถึงกับทรงตราขึ้นเป็นกฎว่าห้ามหญิงไทยอยู่กินกันฉันผัวเมียกับชายต่างชาติต่างศาสนา หากผู้ใดฝ่าฝืน อาจมีโทษสูงสุดถึงขั้น “ฟันคอริบเรือน” เลยทีเดียว
“หลังการเปิดประเทศเพื่อเปิดการค้าเสรีในปีพ.ศ.2398 มีผลให้ต่างชาติ ทั้งพ่อค้า หมอสอนศาสนา นักการทูต รวมถึงผู้เชี่ยวชาญที่ปรึกษาในด้านต่างๆ เข้ามาในเมืองไทย ในขณะที่ทางเมืองไทยก็ส่งคนไปศึกษาต่อต่างประเทศเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงรัชกาลที่ 5 – 6 ผลที่ตามมาทำให้มีการแต่งงานระหว่างคนไทยกับคนต่างชาติขึ้น”
ดร.ดารารัตน์กล่าวต่อไปอีกว่า การแต่งงานข้ามเชื้อชาติในยุคนั้นแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือกลุ่มชนชั้นสูง ได้แก่ เจ้านายเชื้อพระวงศ์และข้าราชการที่เดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาย อาทิ กรณี สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมขุนพิษณุโลกประชานาถกับหม่อมคัทรินชาวรัสเซีย ทำให้เกิดการมีพระบรมราชโองการ ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 “ห้ามเจ้านายเชื้อพระวงศ์และข้าราชการสมรสด้วยนางต่างด้าวก่อนมีพระบรมราชานุญาต”
และกลุ่มชนชั้นล่าง เช่น กรณีของอำแดงพริ้งและมิสเตอร์ปีเตอร์สัน (พ.ศ.2432) , กรณีอำแดงสนกับสามีชาวฝรั่งเศส และอำแดงเจริญกับสามีชาวเยอรมัน เป็นต้น ซึ่งแม้โทษของหญิงที่สมรสด้วยชายต่างชาติจะไม่ถึงขั้น “ฟันคอริบเรือน” เหมือนในสมัยอยุธยา แต่ก็ถือว่า เป็นเรื่องที่สตรีทั่วไปในสมัยนั้นไม่ทำกัน
จากจีไอสู่เมียเช่า กับ “ข้าวนอกนา” ที่ยากจะลืม
จากงานวิจัยของผศ.ศิริรัตน์ แอดสกุล ว่าด้วยเรื่อง “การแต่งงานข้ามวัฒนธรรมของผู้หญิงชนบทในจังหวัดอุดรธานี” ตอนหนึ่งระบุว่า ในอดีตช่วงที่เกิดสงครามเวียดนาม ได้มีกลุ่มทหารจีไออเมริกันเข้ามาอยู่ในประเทศไทย และในช่วงเวลานั้นมีหญิงไทยจำนวนไม่น้อยที่สมัครใจที่จะอยู่ในสถานภาพเมียเช่าบ้าง หรือโสเภณีบ้าง ทำให้ความรู้สึกของคนไทยขณะนั้น เกิดความรู้สึกรับไม่ได้กับพฤติกรรมดังกล่าว ทำให้เกิดความรังเกียจ ดูหมิ่น เหยียดหยามผู้หญิงไทยที่อยู่ในสภาพนั้น โดยเฉพาะหากผู้หญิงเหล่านั้นปล่อยให้ตั้งครรภ์และมีลูกที่มีผมทอง ตาฟ้า หรือผมดำหยิก ปากหนา เด็กเหล่านี้ก็จะถูกล้อเลียน กีดกัน จากผู้อื่นในสังคมนั้นๆ
ผศ.ดร.ศิริรัตน์เปิดเผยว่า สำหรับงานชิ้นดังกล่าว ได้สุ่มตัวอย่างจากการลงพื้นที่สำรวจและเก็บข้อมูลครอบครัวในจังหวัดอุดรธานี ที่มีฝ่ายหญิงเป็นคนไทย และฝ่ายชายเป็นชาวต่างชาติ จำนวน 10 กรณีศึกษา โดยเจ้าตัวได้บอกกล่าวถึงจำนวนตัวอย่างกรณีศึกษาที่ค่อนข้างจะน้อยไปสักหน่อยว่า เป็นเพราะโดยมากแล้วชาวต่างชาติมักจะไม่นิยมพูดเรื่องส่วนตัว และเนื้อหาการเก็บข้อมูลในกรณีดังกล่าวจำเป็นต้องซักถามถึงเรื่องส่วนตัวด้วย ทำให้การเก็บข้อมูลค่อนข้างจะทำได้ยากพอสมควร

อย่างไรก็ดี สำหรับตัวอย่างที่ผศ.ดร.ศิริรัตน์เก็บได้และประมวลทั้งจากการออกไปเก็บนอกสถานที่และการส่งแบบสอบถามผลออกมาโดยสรุปว่า ผู้ชายต่างชาติที่มาแต่งงานกับผู้หญิงไทยในจังหวัดดังกล่าว ส่วนใหญ่จะมีอายุเฉลี่ย 50 ปีขึ้นไป มีรายได้ค่อนข้างดีหากเทียบกับค่าเงินบาท มีบางส่วนได้รับเงินดูแลสวัสดิการของรัฐในประเทศของตนเอง และเลือกที่จะมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่เมืองไทยเนื่องจากค่าเงินถูกและผู้หญิงไทยเอาใจเก่ง สำหรับผู้หญิงไทยที่เก็บข้อมูลมาได้นั้น ส่วนใหญ่จะมีการศึกษาน้อย คือประมาณประถมศึกษาหรือไม่มีการศึกษาเลย มีรายได้น้อย โดยมากผิวคล้ำ เพราะเข้ารสนิยมของผู้ชายต่างชาติ และมีไม่น้อยที่มีลูกติดจากสามีเก่าด้วย
“เท่าที่ถามผู้หญิงที่เคยแต่งงาน มีสามี และมีลูกติดมา ว่าทำไมถึงเลิกกับสามีและมาแต่งงานกับชาวต่างชาติ เรามักจะได้รับคำตอบว่า ผู้ชายอีสานกินเหล้าเก่ง เจ้าชู้ และขี้เกียจ ส่วนชาวต่างชาติมักจะให้เกียรติและสุภาพกับเธอมาก เวลาเราถามว่าที่เลือกใช้ชีวิตอยู่กับสามีชาวต่างชาติเพราะเหตุใด ส่วนใหญ่ร้อยทั้งร้อยจะบอกว่า เพราะความรัก แต่ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ภายหลังที่สาวไทยแต่งงานกับชาวต่างชาติก็คือ ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด” ผศ.ดร.ศิริรัตน์อธิบาย
จากผลวิจัยยังบอกอีกด้วยว่า สำหรับการเก็บข้อมูลในจังหวัดอุดรธานีพบว่า สัญชาติอันดับหนึ่งของชาวต่างชาติที่มาแต่งงานกับผู้หญิงในจังหวัดดังกล่าวคือเยอรมัน รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของชาวต่างชาติอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาท หากอยู่ในวัยทำงานมักจะมีอาชีพเป็น วิศวกร นักขุดเจาะน้ำมัน ทนาย ช่างประปา ทำบริษัทเอกชน หรือเป็นเจ้าของธุรกิจ ซึ่งเมื่อชาวต่างชาติเหล่านี้ได้แต่งงานกับสาวไทยแล้ว ก็มักจะปลูกบ้านใหญ่โต มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน บ้างก็สร้างสระว่ายน้ำ ทำให้เกิดค่านิยมในสังคมนั้นๆ ว่าการมีสามีเป็นชาวต่างชาติเป็นเรื่องที่ดี ทำให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น มีหน้ามีตาในสังคม กระทั่งในปัจจุบันถึงขึ้นมีอาชีพ “นายหน้าหาผัวฝรั่ง” ที่รับจ้างจับคู่สาวไทยที่อยากมีสามีต่างชาติเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น กับหนุ่มต่างชาติที่อยากได้สาวไทยไว้เอาอกเอาใจ เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่าง เมียไทยที่ถูกมองในสายตาชาวต่างชาติอีกไม่น้อยว่าเป็น “สวัสดิการราคาถูก” ซึ่งคนต่างชาติสามารถซื้อหามาด้วยเพียงแค่เงินเดือนหลังเกษียณ กับชีวิตที่ดีขึ้น
“เมียฝรั่ง” วลีสั้นๆ กับคำพิพากษาจากสังคม
และเมื่อหญิงไทยกับชายต่างชาติจำนวนไม่น้อยยินยอมพร้อมใจเพื่อจะให้บรรลุเป้าหมายทั้งสองฝ่าย จนเกิดวัฒนธรรมเลียนแบบเป็นจำนวนมากในบางสังคม นั่นยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของการเป็นภรรยาของชายชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหญิงที่มีภูมิลำเนาในต่างจังหวัด ติดลบในสายตาของคนส่วนใหญ่ แม้ว่าทุกวันนี้กระแสคนดัง ดารา นักร้อง พิธีกร ไฮโซ หรือคนในสังคมชั้นสูงอื่นๆ มีแนวโน้มแต่งงานกับฝรั่งมากขึ้นเช่นกันก็ตามที
เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีใครสักคนพูดถึงผู้หญิงคนหนึ่งว่าเป็น “เมียฝรั่ง” คงมีสายตาอีกจำนวนไม่น้อยที่มองเธอในแง่ลบ แต่จะมีสักกี่คนที่มองลึกเข้าไปถึงความจริงและความจำเป็นที่เธอจำต้องเลือกเส้นทางเช่นนี้ ...
รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิชกุล จากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล มีมุมมองและบริบทสังคมเกี่ยวกับกรณีหญิงไทยที่แต่งงานกับสามีต่างชาติทิ้งท้ายเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า...
“เป็นที่น่าสังเกตว่า เรามีแต่คำว่า “เมียฝรั่ง” สำหรับเรียกผู้หญิงไทยที่ไปแต่งงานกับฝรั่ง แต่เราไม่เคยมองถึงกรณีของชายไทย ที่ไปได้ภรรยาเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งอาจจะมีพอๆ กัน เราไม่เคยมีคำว่า “ผัวฝรั่ง” ในความหมายที่ไม่ดี หรือเชิงดูถูก สังคมกลัวการถ่ายเทและการกลืนวัฒนธรรมจากการมีสามีเป็นฝรั่ง แต่ไม่มีใครกังวลเรื่องการกลืนวัฒนธรรมจากภรรยาฝรั่งสู่ชายไทย ราวกับว่าผู้ชายไทยจะสามารถรักษากล่องดวงใจทางวัฒนธรรมได้เช่นนั่นแหละ!!!”
“เมียฝรั่ง” กับประวัติศาสตร์ไทย
ดร.ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น แลกเปลี่ยนมุมมองเชิงประวัติศาสตร์ ในการประชุมระดับชาติ ที่จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ภายใต้หัวข้อการประชุมว่าด้วยเรื่อง “ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการพัฒนาภูมิภาคนานาชาติ” ในกลุ่มสาระ “การข้ามแดนทางวัฒนธรรม” ว่า การแต่งงานระหว่างไทยและฝรั่งนั้น เป็นไปได้ยากมากในอดีต
อย่างไรก็ตาม การแต่งงานอยู่กินระหว่างคนไทยกับคนต่างชาติ โดยเฉพาะกับชาติตะวันตกนั้นไม่ใช่ของใหม่ หากแต่มีมาตั้งแต่ครั้งสมัยอยุธยาแล้ว โดยในยุคสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ถึงกับทรงตราขึ้นเป็นกฎว่าห้ามหญิงไทยอยู่กินกันฉันผัวเมียกับชายต่างชาติต่างศาสนา หากผู้ใดฝ่าฝืน อาจมีโทษสูงสุดถึงขั้น “ฟันคอริบเรือน” เลยทีเดียว
“หลังการเปิดประเทศเพื่อเปิดการค้าเสรีในปีพ.ศ.2398 มีผลให้ต่างชาติ ทั้งพ่อค้า หมอสอนศาสนา นักการทูต รวมถึงผู้เชี่ยวชาญที่ปรึกษาในด้านต่างๆ เข้ามาในเมืองไทย ในขณะที่ทางเมืองไทยก็ส่งคนไปศึกษาต่อต่างประเทศเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงรัชกาลที่ 5 – 6 ผลที่ตามมาทำให้มีการแต่งงานระหว่างคนไทยกับคนต่างชาติขึ้น”
ดร.ดารารัตน์กล่าวต่อไปอีกว่า การแต่งงานข้ามเชื้อชาติในยุคนั้นแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือกลุ่มชนชั้นสูง ได้แก่ เจ้านายเชื้อพระวงศ์และข้าราชการที่เดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาย อาทิ กรณี สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมขุนพิษณุโลกประชานาถกับหม่อมคัทรินชาวรัสเซีย ทำให้เกิดการมีพระบรมราชโองการ ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 “ห้ามเจ้านายเชื้อพระวงศ์และข้าราชการสมรสด้วยนางต่างด้าวก่อนมีพระบรมราชานุญาต”
และกลุ่มชนชั้นล่าง เช่น กรณีของอำแดงพริ้งและมิสเตอร์ปีเตอร์สัน (พ.ศ.2432) , กรณีอำแดงสนกับสามีชาวฝรั่งเศส และอำแดงเจริญกับสามีชาวเยอรมัน เป็นต้น ซึ่งแม้โทษของหญิงที่สมรสด้วยชายต่างชาติจะไม่ถึงขั้น “ฟันคอริบเรือน” เหมือนในสมัยอยุธยา แต่ก็ถือว่า เป็นเรื่องที่สตรีทั่วไปในสมัยนั้นไม่ทำกัน
จากจีไอสู่เมียเช่า กับ “ข้าวนอกนา” ที่ยากจะลืม
จากงานวิจัยของผศ.ศิริรัตน์ แอดสกุล ว่าด้วยเรื่อง “การแต่งงานข้ามวัฒนธรรมของผู้หญิงชนบทในจังหวัดอุดรธานี” ตอนหนึ่งระบุว่า ในอดีตช่วงที่เกิดสงครามเวียดนาม ได้มีกลุ่มทหารจีไออเมริกันเข้ามาอยู่ในประเทศไทย และในช่วงเวลานั้นมีหญิงไทยจำนวนไม่น้อยที่สมัครใจที่จะอยู่ในสถานภาพเมียเช่าบ้าง หรือโสเภณีบ้าง ทำให้ความรู้สึกของคนไทยขณะนั้น เกิดความรู้สึกรับไม่ได้กับพฤติกรรมดังกล่าว ทำให้เกิดความรังเกียจ ดูหมิ่น เหยียดหยามผู้หญิงไทยที่อยู่ในสภาพนั้น โดยเฉพาะหากผู้หญิงเหล่านั้นปล่อยให้ตั้งครรภ์และมีลูกที่มีผมทอง ตาฟ้า หรือผมดำหยิก ปากหนา เด็กเหล่านี้ก็จะถูกล้อเลียน กีดกัน จากผู้อื่นในสังคมนั้นๆ
ผศ.ดร.ศิริรัตน์เปิดเผยว่า สำหรับงานชิ้นดังกล่าว ได้สุ่มตัวอย่างจากการลงพื้นที่สำรวจและเก็บข้อมูลครอบครัวในจังหวัดอุดรธานี ที่มีฝ่ายหญิงเป็นคนไทย และฝ่ายชายเป็นชาวต่างชาติ จำนวน 10 กรณีศึกษา โดยเจ้าตัวได้บอกกล่าวถึงจำนวนตัวอย่างกรณีศึกษาที่ค่อนข้างจะน้อยไปสักหน่อยว่า เป็นเพราะโดยมากแล้วชาวต่างชาติมักจะไม่นิยมพูดเรื่องส่วนตัว และเนื้อหาการเก็บข้อมูลในกรณีดังกล่าวจำเป็นต้องซักถามถึงเรื่องส่วนตัวด้วย ทำให้การเก็บข้อมูลค่อนข้างจะทำได้ยากพอสมควร
อย่างไรก็ดี สำหรับตัวอย่างที่ผศ.ดร.ศิริรัตน์เก็บได้และประมวลทั้งจากการออกไปเก็บนอกสถานที่และการส่งแบบสอบถามผลออกมาโดยสรุปว่า ผู้ชายต่างชาติที่มาแต่งงานกับผู้หญิงไทยในจังหวัดดังกล่าว ส่วนใหญ่จะมีอายุเฉลี่ย 50 ปีขึ้นไป มีรายได้ค่อนข้างดีหากเทียบกับค่าเงินบาท มีบางส่วนได้รับเงินดูแลสวัสดิการของรัฐในประเทศของตนเอง และเลือกที่จะมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่เมืองไทยเนื่องจากค่าเงินถูกและผู้หญิงไทยเอาใจเก่ง สำหรับผู้หญิงไทยที่เก็บข้อมูลมาได้นั้น ส่วนใหญ่จะมีการศึกษาน้อย คือประมาณประถมศึกษาหรือไม่มีการศึกษาเลย มีรายได้น้อย โดยมากผิวคล้ำ เพราะเข้ารสนิยมของผู้ชายต่างชาติ และมีไม่น้อยที่มีลูกติดจากสามีเก่าด้วย
“เท่าที่ถามผู้หญิงที่เคยแต่งงาน มีสามี และมีลูกติดมา ว่าทำไมถึงเลิกกับสามีและมาแต่งงานกับชาวต่างชาติ เรามักจะได้รับคำตอบว่า ผู้ชายอีสานกินเหล้าเก่ง เจ้าชู้ และขี้เกียจ ส่วนชาวต่างชาติมักจะให้เกียรติและสุภาพกับเธอมาก เวลาเราถามว่าที่เลือกใช้ชีวิตอยู่กับสามีชาวต่างชาติเพราะเหตุใด ส่วนใหญ่ร้อยทั้งร้อยจะบอกว่า เพราะความรัก แต่ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ภายหลังที่สาวไทยแต่งงานกับชาวต่างชาติก็คือ ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด” ผศ.ดร.ศิริรัตน์อธิบาย
จากผลวิจัยยังบอกอีกด้วยว่า สำหรับการเก็บข้อมูลในจังหวัดอุดรธานีพบว่า สัญชาติอันดับหนึ่งของชาวต่างชาติที่มาแต่งงานกับผู้หญิงในจังหวัดดังกล่าวคือเยอรมัน รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของชาวต่างชาติอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาท หากอยู่ในวัยทำงานมักจะมีอาชีพเป็น วิศวกร นักขุดเจาะน้ำมัน ทนาย ช่างประปา ทำบริษัทเอกชน หรือเป็นเจ้าของธุรกิจ ซึ่งเมื่อชาวต่างชาติเหล่านี้ได้แต่งงานกับสาวไทยแล้ว ก็มักจะปลูกบ้านใหญ่โต มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน บ้างก็สร้างสระว่ายน้ำ ทำให้เกิดค่านิยมในสังคมนั้นๆ ว่าการมีสามีเป็นชาวต่างชาติเป็นเรื่องที่ดี ทำให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น มีหน้ามีตาในสังคม กระทั่งในปัจจุบันถึงขึ้นมีอาชีพ “นายหน้าหาผัวฝรั่ง” ที่รับจ้างจับคู่สาวไทยที่อยากมีสามีต่างชาติเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น กับหนุ่มต่างชาติที่อยากได้สาวไทยไว้เอาอกเอาใจ เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่าง เมียไทยที่ถูกมองในสายตาชาวต่างชาติอีกไม่น้อยว่าเป็น “สวัสดิการราคาถูก” ซึ่งคนต่างชาติสามารถซื้อหามาด้วยเพียงแค่เงินเดือนหลังเกษียณ กับชีวิตที่ดีขึ้น
“เมียฝรั่ง” วลีสั้นๆ กับคำพิพากษาจากสังคม
และเมื่อหญิงไทยกับชายต่างชาติจำนวนไม่น้อยยินยอมพร้อมใจเพื่อจะให้บรรลุเป้าหมายทั้งสองฝ่าย จนเกิดวัฒนธรรมเลียนแบบเป็นจำนวนมากในบางสังคม นั่นยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของการเป็นภรรยาของชายชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหญิงที่มีภูมิลำเนาในต่างจังหวัด ติดลบในสายตาของคนส่วนใหญ่ แม้ว่าทุกวันนี้กระแสคนดัง ดารา นักร้อง พิธีกร ไฮโซ หรือคนในสังคมชั้นสูงอื่นๆ มีแนวโน้มแต่งงานกับฝรั่งมากขึ้นเช่นกันก็ตามที
เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีใครสักคนพูดถึงผู้หญิงคนหนึ่งว่าเป็น “เมียฝรั่ง” คงมีสายตาอีกจำนวนไม่น้อยที่มองเธอในแง่ลบ แต่จะมีสักกี่คนที่มองลึกเข้าไปถึงความจริงและความจำเป็นที่เธอจำต้องเลือกเส้นทางเช่นนี้ ...
รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิชกุล จากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล มีมุมมองและบริบทสังคมเกี่ยวกับกรณีหญิงไทยที่แต่งงานกับสามีต่างชาติทิ้งท้ายเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า...
“เป็นที่น่าสังเกตว่า เรามีแต่คำว่า “เมียฝรั่ง” สำหรับเรียกผู้หญิงไทยที่ไปแต่งงานกับฝรั่ง แต่เราไม่เคยมองถึงกรณีของชายไทย ที่ไปได้ภรรยาเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งอาจจะมีพอๆ กัน เราไม่เคยมีคำว่า “ผัวฝรั่ง” ในความหมายที่ไม่ดี หรือเชิงดูถูก สังคมกลัวการถ่ายเทและการกลืนวัฒนธรรมจากการมีสามีเป็นฝรั่ง แต่ไม่มีใครกังวลเรื่องการกลืนวัฒนธรรมจากภรรยาฝรั่งสู่ชายไทย ราวกับว่าผู้ชายไทยจะสามารถรักษากล่องดวงใจทางวัฒนธรรมได้เช่นนั่นแหละ!!!”