แพทย์ศาสตร์ศิริราชระบุผู้ป่วยที่มีภาวะซีดเรื้อรังต้องรับการถ่ายเลือดตลอด เสี่ยงต่อภาวะเหล็กเกินในร่างกาย อาจเป็นพิษได้ ทำลายตับ หัวใจ และต่อมไร้ท่อ เนื่องจากร่างกายไม่มีกลไกในการขับเหล็กออก เผยปัจจุบันมีการรักษาด้วยการให้ยาขับเหล็กมีทั้งรูปแบบฉีดและรับประทาน เตรียมจัดบรรยายหัวข้อ “ภาวะเหล็กเกิน อันตรายที่ป้องกันได้” ให้ผู้ป่วยและประชาชน เสาร์ 23 ธ.ค.นี้
ผช.ศ.นพ.นพดล ศิริธนารัตนกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า ภาวะเหล็กเกิน (Iron Overload Management) เกิดจากการถ่ายเลือดซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยโลหิตจางรู้สึกแข็งแรงขึ้น การถ่ายเลือดยังช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น และมีความสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยแข็งแรง ทุกครั้งที่ได้รับการถ่ายเลือดผู้ป่วยจะได้รับเหล็กซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญชองเซลล์เม็ดเลือดแดง เหล็กจะเริ่มสะสมภายในร่างกายหลังจากได้รับการถ่ายเลือดประมาณ 10 ครั้ง เนื่องจากร่างกายไม่สามารถกำจัดเหล็กออกได้ เมื่อเหล็กภายในร่างกายมีระดับสูงมากเกินไปจะเกิดความเป็นพิษขึ้น เรียกภาวะนี้ว่าภาวะเหล็กเกิน ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะหากปล่อยทิ้งไว้และไม่ได้รับการรักษาเหล็กที่มากเกินไปจะไปทำลายตับ หัวใจ และต่อมไร้ท่อ โดยสถิติผู้ใหญ่และเด็กประมาณ 100,000 รายทั่วโลก ที่ได้รับเลือดอย่างเพียงพอจะเกิดภาวะเหล็กเกินขึ้น
ด้าน ผศ.ดร.นพ.วิปร วิประกษิต แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยา ภาควิชากุมารเวชกรรม คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า ภาวะเหล็กเกินโดยส่วนใหญ่เกิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ซึ่งแบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดเบตา ซึ่งถ้าเป็นรุนแรงผู้ป่วยจะซีด ม้ามโต จำเป็นต้องให้เลือด โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียอีกชนิดคืออัลฟา ถ้าเป็นรุนแรงทารกอาจจะเสียชีวิตในท้อง อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียไม่มีผลต่อสถิติปัญญาสามารถเรียนหนังสือในขั้นสูง ๆ ได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการรักษา โดยผู้ป่วยจะต้องได้รับเลือดไปตลอดชีวิต
“โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียเป็นโรคทางพันธุกรรมมีความเสี่ยงตั้งแต่อายุยังน้อย ต้องได้รับเลือด ซึ่งย่อมมีปัญหาเกิดขึ้นเพราะเลือดทุกถุงที่ผู้ป่วยได้รับจะมีธาตุเหล็กปนมากับเม็ดเลือดแดง เฉลี่ยเลือด 1 ถุง ที่ผู้ป่วยรับจะมีธาตุเหล็กประมาณ 200 มิลลิกรัม ถ้าผู้ป่วยต้องรับเลือดในหลายๆ ถุง จะส่งผลต่อภาวะเหล็กเกินในร่างกาย ซึ่งผู้ป่วยต้องรักษาด้วยการให้ยาขับเหล็กจะช่วยป้องกันพยาธิสภาพที่รุนแรงดังกล่าวข้างต้นได้” ผศ.ดร.นพ.วิปร กล่าว
การให้ยาขับเหล็กมีทั้งรูปแบบฉีด ซึ่งเป็นยามาตรฐานในการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะเหล็กเกินจากการถ่ายเลือดในเกือบทุกประเทศทั่วโลก แต่เนื่องจากเป็นยาฉีดต้องให้เป็นระยะเวลานาน 8-12 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 5-7 วัน ทำให้ผู้ป่วยหลายรายหยุดหรือหลีกเลี่ยงที่จะให้ยาขับเหล็ก ในปัจจุบันจึงมียาขับเหล็กชนิดใหม่ในรูปแบบรับประทานวันละ 1 ครั้ง ซึ่งได้รับการอนุมัติจากสำนักงานอาหารและยาในประเทศสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และประเทศไทย โดยมีประสิทธิภาพในการขับเหล็กที่มากเกินไปได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง นับเป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์ ผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการรักษา โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็ก ทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาว
ทั้งนี้ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์และภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จะจัดบรรยายพิเศษสำหรับผู้ป่วยและประชาชนผู้ที่สนใจในหัวข้อ “ภาวะเหล็กเกิน อันตรายที่ป้องกันได้” ในวันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม 2549 เวลา 13.00-16.00 น. ณ ห้องประชุมสิรินธร ชั้น G อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช
ผช.ศ.นพ.นพดล ศิริธนารัตนกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า ภาวะเหล็กเกิน (Iron Overload Management) เกิดจากการถ่ายเลือดซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยโลหิตจางรู้สึกแข็งแรงขึ้น การถ่ายเลือดยังช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น และมีความสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยแข็งแรง ทุกครั้งที่ได้รับการถ่ายเลือดผู้ป่วยจะได้รับเหล็กซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญชองเซลล์เม็ดเลือดแดง เหล็กจะเริ่มสะสมภายในร่างกายหลังจากได้รับการถ่ายเลือดประมาณ 10 ครั้ง เนื่องจากร่างกายไม่สามารถกำจัดเหล็กออกได้ เมื่อเหล็กภายในร่างกายมีระดับสูงมากเกินไปจะเกิดความเป็นพิษขึ้น เรียกภาวะนี้ว่าภาวะเหล็กเกิน ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะหากปล่อยทิ้งไว้และไม่ได้รับการรักษาเหล็กที่มากเกินไปจะไปทำลายตับ หัวใจ และต่อมไร้ท่อ โดยสถิติผู้ใหญ่และเด็กประมาณ 100,000 รายทั่วโลก ที่ได้รับเลือดอย่างเพียงพอจะเกิดภาวะเหล็กเกินขึ้น
ด้าน ผศ.ดร.นพ.วิปร วิประกษิต แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยา ภาควิชากุมารเวชกรรม คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า ภาวะเหล็กเกินโดยส่วนใหญ่เกิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ซึ่งแบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดเบตา ซึ่งถ้าเป็นรุนแรงผู้ป่วยจะซีด ม้ามโต จำเป็นต้องให้เลือด โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียอีกชนิดคืออัลฟา ถ้าเป็นรุนแรงทารกอาจจะเสียชีวิตในท้อง อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียไม่มีผลต่อสถิติปัญญาสามารถเรียนหนังสือในขั้นสูง ๆ ได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการรักษา โดยผู้ป่วยจะต้องได้รับเลือดไปตลอดชีวิต
“โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียเป็นโรคทางพันธุกรรมมีความเสี่ยงตั้งแต่อายุยังน้อย ต้องได้รับเลือด ซึ่งย่อมมีปัญหาเกิดขึ้นเพราะเลือดทุกถุงที่ผู้ป่วยได้รับจะมีธาตุเหล็กปนมากับเม็ดเลือดแดง เฉลี่ยเลือด 1 ถุง ที่ผู้ป่วยรับจะมีธาตุเหล็กประมาณ 200 มิลลิกรัม ถ้าผู้ป่วยต้องรับเลือดในหลายๆ ถุง จะส่งผลต่อภาวะเหล็กเกินในร่างกาย ซึ่งผู้ป่วยต้องรักษาด้วยการให้ยาขับเหล็กจะช่วยป้องกันพยาธิสภาพที่รุนแรงดังกล่าวข้างต้นได้” ผศ.ดร.นพ.วิปร กล่าว
การให้ยาขับเหล็กมีทั้งรูปแบบฉีด ซึ่งเป็นยามาตรฐานในการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะเหล็กเกินจากการถ่ายเลือดในเกือบทุกประเทศทั่วโลก แต่เนื่องจากเป็นยาฉีดต้องให้เป็นระยะเวลานาน 8-12 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 5-7 วัน ทำให้ผู้ป่วยหลายรายหยุดหรือหลีกเลี่ยงที่จะให้ยาขับเหล็ก ในปัจจุบันจึงมียาขับเหล็กชนิดใหม่ในรูปแบบรับประทานวันละ 1 ครั้ง ซึ่งได้รับการอนุมัติจากสำนักงานอาหารและยาในประเทศสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และประเทศไทย โดยมีประสิทธิภาพในการขับเหล็กที่มากเกินไปได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง นับเป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์ ผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการรักษา โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็ก ทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาว
ทั้งนี้ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์และภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จะจัดบรรยายพิเศษสำหรับผู้ป่วยและประชาชนผู้ที่สนใจในหัวข้อ “ภาวะเหล็กเกิน อันตรายที่ป้องกันได้” ในวันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม 2549 เวลา 13.00-16.00 น. ณ ห้องประชุมสิรินธร ชั้น G อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช