“ลีน่าจัง” พาเมียหนุ่มกัดลิ้นหน้าทำเนียบฯ ร้อง สธ.ช่วยประสาน ก.กลาโหมเรียกค่าเสียหาย รพ. 9 ล้าน ระบุรักษาจนหมดตัว
เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้ (22 พ.ย) ที่กระทรวงสาธารณสุข นางลีนา จังจรรจา ทนายความ นำนางสุธิกาญจน์ เลิศพัฒนนันท์ ภรรยานายสุภัสนิมิต เลิศพัฒนนันท์ ชาว จ.ลำปาง อดีตลูกจ้างสำนักงานชลประทานที่ 2 ลำปาง ซึ่งได้ยื่นข้อร้องเรียนต่อ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการรักษาผิดพลาดของแพทย์จาก โรงพยาบาลสุรศักดิ์มนตรี จ.ลำปาง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงกลาโหมจนต้องกลายเป็นคนพิการนั่งรถเข็นตลอดชีวิต และพยายามกัดลิ้นตัวเองเพื่อประชด เพราะยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากรัฐบาลว่าจะดำเนินการช่วยเหลืออย่างไร เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมานั้นได้เดินทางมาร้องขอความเป็นธรรมต่อ นพ.มงคล ณ สงขลา รมว.สาธารณสุข โดยมี นพ.อภิชาติ รอดสม นายแพทย์ 9 สำนักงานสาธารณสุข จ.น่าน ปฏิบัติราชการสำนักงานเลขานุการ รมว.สาธารณสุข เป็นผู้รับหนังสือร้องเรียน
นางลีนา กล่าวว่า ตนรับเป็นทนายว่าความให้กับนางสุธิกาญจน์ เนื่องจากเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบบการรักษาพยาบาลของรัฐ นอกจากนี้ ลูกความของตนยังถูกข้าราชการซึ่งเป็นแพทย์และนายทหารระดับสูง ใช้กลฉ้อฉล หลอกให้เซ็นยินยอมรับเงินจำนวน 50,000 บาท เพื่อจะไม่ติดใจเอาความกับ รพ.ที่วินิจฉัยโรคผิด ปล่อยให้คนไข้กลับบ้าน ทั้งๆ ที่มีอาการกระดูกต้นคอซี่ที่ 4 และ 5 หักและเส้นเอ็นกล้ามเนื้อที่คอหด จนเป็นเหตุให้ทุพพลภาพ ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ โดยจะฟ้องร้องคดีอาญาเกี่ยวเนื่องกับคดีแพ่ง เพื่อเรียกค่าเสียหายทั้งสิ้น 9 ล้านบาท
ด้าน นางสุธิกาญจน์ เลิศพัฒนนันท์ ภรรยาของนายสุภัสนิมิต ซึ่งเป็นผู้เสียหาย ทุพพลภาพ เปิดเผยว่า ก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุจนกระดูกต้นคอหัก เป็นเหตุให้เป็นอัมพาต ร่างกายท่อนล่าง แขนขาขยับไม่ได้ตั้งแต่ปี 2546 นั้นสามีของตนทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวของกรมชลประทาน และรับงานเขียนแบบ รับเหมา มีรายได้ประมาณเดือนละ 25,000 บาท แต่เมื่อประสบอุบัติเหตุ ทำให้กลายเป็นบุคคลทุพพลภาพ ไม่สามารถทำงานได้ การร้องขอความเป็นธรรมครั้งนี้ ก็เพื่อขอความช่วยเหลือในเรื่องเงินทดแทนการขาดรายได้ และค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่ตนและสามีต้องจ่ายไปจนหมดตัว และขอให้มีแพทย์ที่จะช่วยรักษาสามีของตนให้หาย ซึ่งขณะนี้ แพทย์ของ รพ.พระมงกุฏเกล้า ได้รับตัวสามีของตนไว้รักษาและบอกว่าจะผ่าตัดให้อีกครั้ง ซึ่งอาจจะพอมีความหวังที่จะหายจากอาการอัมพาตได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า เพราะเหตุใดจึงยอมเซ็นชื่อรับเงินช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมจำนวน 50,000 บาทจากรพ.ค่ายสุรศักดิ์มนตรี นางสุธิกาญจน์ กล่าวว่า ที่ตนยอมเซ็นรับเงิน เพราะแพทย์ที่มาเจรจากับตนในเวลานั้น ยืนยันว่าสามีของตนจะหาย เส้นประสาทที่หมดความรู้สึกไปจะงอกออกมาได้ ตนจึงเชื่อ ที่สำคัญผู้ที่มาเจรจาเป็นถึงนายทหารพระธรรมนูญ คือ พ.ท.มงคล มุติ ซึ่งมาเจรจาพร้อมกับ ร.ต.นพ.ธีระศักดิ์ พุ่มสีทอง ซึ่งเป็นแพทย์เวรที่เป็นคนบอกให้สามีตนกลับบ้าน ไม่เป็นอะไรมาก และ นพ.นิวัติ บุญยืน ผอ.รพ.ค่ายสุรศักดิ์มนตรีในเวลานั้น แต่หลังจากที่ตนเซ็นยินยอมรับเงินช่วยเหลือ ทางรพ.ได้ไล่สามีตนออกจากโรงพยาบาล โดยให้ไปรักษาต่อที่ รพ.ศูนย์ลำปาง ซึ่งก็สายเกินกว่าที่จะรักษาให้หายได้ สามีตนจึงต้องเป็นอัมพาตดังกล่าว ส่วนที่ไปขอความเป็นธรรมต่อนายกรัฐมนตรีนั้น ทางนายกรัฐมนตรีรับปากว่าจะช่วยเหลือ ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีใครมาเจรจาใดๆ จึงต้องมาขอความเป็นธรรมที่กระทรวงสาธารณสุขอีกครั้ง
เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้ (22 พ.ย) ที่กระทรวงสาธารณสุข นางลีนา จังจรรจา ทนายความ นำนางสุธิกาญจน์ เลิศพัฒนนันท์ ภรรยานายสุภัสนิมิต เลิศพัฒนนันท์ ชาว จ.ลำปาง อดีตลูกจ้างสำนักงานชลประทานที่ 2 ลำปาง ซึ่งได้ยื่นข้อร้องเรียนต่อ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการรักษาผิดพลาดของแพทย์จาก โรงพยาบาลสุรศักดิ์มนตรี จ.ลำปาง ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงกลาโหมจนต้องกลายเป็นคนพิการนั่งรถเข็นตลอดชีวิต และพยายามกัดลิ้นตัวเองเพื่อประชด เพราะยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากรัฐบาลว่าจะดำเนินการช่วยเหลืออย่างไร เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมานั้นได้เดินทางมาร้องขอความเป็นธรรมต่อ นพ.มงคล ณ สงขลา รมว.สาธารณสุข โดยมี นพ.อภิชาติ รอดสม นายแพทย์ 9 สำนักงานสาธารณสุข จ.น่าน ปฏิบัติราชการสำนักงานเลขานุการ รมว.สาธารณสุข เป็นผู้รับหนังสือร้องเรียน
นางลีนา กล่าวว่า ตนรับเป็นทนายว่าความให้กับนางสุธิกาญจน์ เนื่องจากเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบบการรักษาพยาบาลของรัฐ นอกจากนี้ ลูกความของตนยังถูกข้าราชการซึ่งเป็นแพทย์และนายทหารระดับสูง ใช้กลฉ้อฉล หลอกให้เซ็นยินยอมรับเงินจำนวน 50,000 บาท เพื่อจะไม่ติดใจเอาความกับ รพ.ที่วินิจฉัยโรคผิด ปล่อยให้คนไข้กลับบ้าน ทั้งๆ ที่มีอาการกระดูกต้นคอซี่ที่ 4 และ 5 หักและเส้นเอ็นกล้ามเนื้อที่คอหด จนเป็นเหตุให้ทุพพลภาพ ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ โดยจะฟ้องร้องคดีอาญาเกี่ยวเนื่องกับคดีแพ่ง เพื่อเรียกค่าเสียหายทั้งสิ้น 9 ล้านบาท
ด้าน นางสุธิกาญจน์ เลิศพัฒนนันท์ ภรรยาของนายสุภัสนิมิต ซึ่งเป็นผู้เสียหาย ทุพพลภาพ เปิดเผยว่า ก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุจนกระดูกต้นคอหัก เป็นเหตุให้เป็นอัมพาต ร่างกายท่อนล่าง แขนขาขยับไม่ได้ตั้งแต่ปี 2546 นั้นสามีของตนทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวของกรมชลประทาน และรับงานเขียนแบบ รับเหมา มีรายได้ประมาณเดือนละ 25,000 บาท แต่เมื่อประสบอุบัติเหตุ ทำให้กลายเป็นบุคคลทุพพลภาพ ไม่สามารถทำงานได้ การร้องขอความเป็นธรรมครั้งนี้ ก็เพื่อขอความช่วยเหลือในเรื่องเงินทดแทนการขาดรายได้ และค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่ตนและสามีต้องจ่ายไปจนหมดตัว และขอให้มีแพทย์ที่จะช่วยรักษาสามีของตนให้หาย ซึ่งขณะนี้ แพทย์ของ รพ.พระมงกุฏเกล้า ได้รับตัวสามีของตนไว้รักษาและบอกว่าจะผ่าตัดให้อีกครั้ง ซึ่งอาจจะพอมีความหวังที่จะหายจากอาการอัมพาตได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า เพราะเหตุใดจึงยอมเซ็นชื่อรับเงินช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมจำนวน 50,000 บาทจากรพ.ค่ายสุรศักดิ์มนตรี นางสุธิกาญจน์ กล่าวว่า ที่ตนยอมเซ็นรับเงิน เพราะแพทย์ที่มาเจรจากับตนในเวลานั้น ยืนยันว่าสามีของตนจะหาย เส้นประสาทที่หมดความรู้สึกไปจะงอกออกมาได้ ตนจึงเชื่อ ที่สำคัญผู้ที่มาเจรจาเป็นถึงนายทหารพระธรรมนูญ คือ พ.ท.มงคล มุติ ซึ่งมาเจรจาพร้อมกับ ร.ต.นพ.ธีระศักดิ์ พุ่มสีทอง ซึ่งเป็นแพทย์เวรที่เป็นคนบอกให้สามีตนกลับบ้าน ไม่เป็นอะไรมาก และ นพ.นิวัติ บุญยืน ผอ.รพ.ค่ายสุรศักดิ์มนตรีในเวลานั้น แต่หลังจากที่ตนเซ็นยินยอมรับเงินช่วยเหลือ ทางรพ.ได้ไล่สามีตนออกจากโรงพยาบาล โดยให้ไปรักษาต่อที่ รพ.ศูนย์ลำปาง ซึ่งก็สายเกินกว่าที่จะรักษาให้หายได้ สามีตนจึงต้องเป็นอัมพาตดังกล่าว ส่วนที่ไปขอความเป็นธรรมต่อนายกรัฐมนตรีนั้น ทางนายกรัฐมนตรีรับปากว่าจะช่วยเหลือ ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีใครมาเจรจาใดๆ จึงต้องมาขอความเป็นธรรมที่กระทรวงสาธารณสุขอีกครั้ง