xs
xsm
sm
md
lg

3 เยาวชนผู้ค้นพบ 'ความรัก' จาการเดินตามรอยเท้า"พ่อหลวง"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กตัญญู...ประหยัด...ซื่อสัตย์...เสียสละ...อ่อนน้อม...สามัคคี...ความพากเพียร... ความรักของพ่อ... ความริเริ่มสร้างสรรค์...

ทั้งหมดนั้นคือ พระราชจริยาวัตร 9 ประการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่นำเสนออยู่ในหนังสือ “๙ ย่างตามรอยเท้าพ่อ” คู่มือสร้างแรงบันดาลใจจากในหลวงถึงเยาวชน” และที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ ในหนังสือเล่มนี้ยังได้ยกตัวอย่างจาก 5 เยาวชนสร้างสรรค์ตามรอยเท้าพ่อที่ร่วมถ่ายทอดคุณธรรมที่เกิดจากแรงบันดาลใจจากพ่อหลวงอีกด้วย

ทันตแพทย์กฤษดา เรืองอารีย์รัตน์ รองผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการ สร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึงการจัดทำหนังสือในครั้งนี้ว่า เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจจากพระราชจริยวัตรทั้ง 9 ประการขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการก้าวเดินตามรอยของพระองค์ท่าน โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ของสังคมซึ่งต่อไปจะเป็นอนาคตที่สดใสของชาติ ทั้งนี้โดยเนื้อหาหลักของหนังสือเล่มนี้จะประกอบด้วยพระราชกรณียกิจ และพระราชจริยวัตรของพระองค์ท่านทั้ง 9 ประการ

นอกจากนี้ ยังนำเสนอกรณีตัวอย่างจากเยาวชนทั้ง 5 คนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพระองค์ท่าน และนำคำสอนของพระองค์ท่านมาปฏิบัติ ได้แก่

ศุภสวัสดิ์ สินทอง 1 ใน 5 ของนักเรียนที่ได้มีโอกาสได้เรียนหนังสือกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโครงการศึกษาทัศน์ โรงเรียนไกลกังวล

ณพอาภา เทวกุล ณ อยุธยา ผู้ออกแบบสติกเกอร์ ‘เรารักในหลวง’ สติกเกอร์ใสพิมพ์อักษรสีขาวเขียนด้วยลายมือเด็กที่มีคำว่า ‘รัก’ ในรูปหัวใจสีแดง ที่ได้รับความนิยมไปทั่วประเทศในขณะนี้

ศรชัย ธินาเทศ อดีตนักเรียนทุนหลวงพระดาบส ผู้ซึ่งได้รับโอกาสทางการศึกษาจาก ”ทุนทรัพย์ส่วนพระองค์” และกลับมาดำเนินชีวิตตามรอยพ่อโดยการเป็นครูสอนในมูลนิธิพระดาบส

หทัยชนก สมมิตร ผู้ซึ่งได้เรียนรู้โลกกว้างผ่านสารานุกรมไทยอันเป็นโครงการสารานุกรมสำหรับเยาวชนโดยพระราชประสงค์

และเยาวชนกลุ่ม “รอยยิ้มของพ่อ” เดชา ฤทธิ์แดง, พรชัย ฤทธิ์แดง และขวัญยืน ฤทธิ์แดง 3 พี่น้องแห่งครอบครัวฤทธิ์แดง ที่ได้มีโอกาสได้เล่าเรียนถึงระดับอุดมศึกษาโดยถ้วนหน้าด้วยร่มศิระ และพระบริบาล

“หนังสือดังกล่าวถือเป็นคู่มือสร้างแรงบันดาลใจจากในหลวงถึงเยาวชนเล่มแรกของประเทศไทย โดยจัดทำขึ้นจำนวน 10,000 เล่ม และจะแจกฟรีให้แก่เยาวชนไทย เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 60 ปี" ทันตแพทย์กฤษดาอธิบาย

ทีนี้...ลองมารับทราบเรื่องราวของ 3 เยาวชนตัวอย่างที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพระองค์ท่าน และนำคำสอนของพระองค์ท่านมาปฏิบัติกัน โดยเริ่มจากศุภสวัสดิ์ สินทอง

ศุภสวัสดิ์หรือเอ็มเล่าเอาไว้ในหนังสือถึงความรู้สึกที่ได้เป็น 1 ใน 5 ของนักเรียนที่มีโอกาสได้เรียนหนังสือกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโครงการศึกษาทัศน์ โรงเรียนไกลกังวล ว่า...

“ผมทราบก่อนล่วงหน้าเพียงวันเดียวเท่านั้นครับ คุณครูมาบอกให้พวกเราเตรียมตัว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้คณะผู้จัดทำรายการศึกษาทัศน์ ทั้งผู้ถ่ายทำและคณะนักเรียนตามเสด็จ ไปยังโครงการอ่างเก็บน้ำเขาเต่า”

“ความรู้สึกของผมตอนนั้นทำอะไรไม่ถูกเลยครับ ได้แต่เตรียมตัวให้เรียบร้อยที่สุด ตัดผมใหม่ หาชุดนักเรียนใหม่ที่สุด เตรียมเรื่องคำราชาศัพท์แล้วก็พยายามทำร่างกายให้พร้อมเพื่อที่จะรับการสอนจากพระองค์มากที่สุด”

เอ็มเล่าว่า เวลาพระองค์ท่านทรงสอนก็ทรงใช้คำง่ายๆ ทรงกวักพระหัตถ์เรียกให้นักเรียนเข้ามาใกล้ๆ เหมือนพวกเราเป็นนักเรียนไปทัศนศึกษาแล้วพระองค์ทรงเป็นครูคอยอธิบาย ทรงรับสั่งถึงลักษณะดินและน้ำของบริเวณบ้านเขาเต่า ซึ่งอดีตเคยเป็นพื้นที่ที่มีปัญหามาก ปลูกอะไรไม่ขึ้นเลยแม้แต่หญ้า นอกจากนี้ยังทรงมีจิตวิญญาณของความเป็นครูด้วย ทรงสอนแบบไม่พักเลย

“ผมคิดว่าพระองค์ทรงเหนื่อยมาก เพราะเห็นพระเสโทหลั่งเต็มหลัง ผมไม่นึกมาก่อนว่าพระเจ้าแผ่นดินจะมาทรงยืนเคียงกับนักเรียน”

หลังจากนั้นไม่ถึงเดือนคือวันที่ 30 ต.ค.2544 เอ็มและเพื่อนนักเรียนโครงการศึกษาทัศน์ก็ได้รับพระเมตตาอีกครั้ง โดยโปรดเกล้าฯ ให้ตามเสด็จ อาคารทรงงานปฏิบัติการฝนหลวง

“ครั้งที่สอง ในหลวงทรงขับรถพระที่นั่งมาด้วยพระองค์เอง ครั้งนี้ผมเตรียมตัวมากขึ้น ไปเรียนเคมีกับอาจารย์ที่โรงเรียนเพิ่มเติม เผื่อเวลาที่พระองค์ประทานพระราชอรรถาธิบายเรื่องเกี่ยวกับสารเคมี เราจะได้เข้าใจมากขึ้น แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็ไม่ได้ใช้หรอกครับ เพราะพระองค์ทรงสอนแบบง่ายๆ ด้วยการทดลองให้เห็น”

ขณะนี้เอ็มเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และได้รับทุนพระราชทานให้ศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่ม.อัสสัมชัญบริหารธุรกิจ

“ผมคิดอยู่เสมอว่าได้เรียนแล้วจะตอบแทนพระเจ้าอยู่หัวอย่างไร ไม่ใช่ในแง่ตัวเงิน แต่คือการทำประโยชน์ให้สังคม ผมตั้งใจเรียนต่อด้านบริหารธุรกิจ พอจบแล้วผมอยากทำงานในโครงการหลวงเพื่อนำความรู้ที่ได้รับมาพัฒนางานต่อไป นี่เป็นความฝันของผมและเป็นสิ่งกระตุ้นที่ทำให้ผมตั้งใจเรียน”

ด้าน ‘อ๊อฟ’ หทัยชนก ซึ่งปัจจุบันเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ และเป็นพิธีกรประจำรายการ CAMPUS CHANNEL เล่าว่า ตนเองเป็นเด็กต่างจังหวัดและเริ่มอ่านสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนตั้งแต่ยังเป็นเด็กเพราะคุณแม่ทำงานเป็นบรรณารักษ์จึงแนะนำให้อ่าน ซึ่งในตอนแรกก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนจัดทำขึ้น แต่พอทราบว่าทั้งหมดเป็นโครงการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเล็งเห็นประโยชน์ของการศึกษาและมุ่งหวังให้เด็กต่างจังหวัดได้รับโอกาสด้านนี้เท่าเทียมกับเด็กในเมืองก็ยิ่งทำให้รู้สึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน

จากนั้นมาอ๊อฟจึงได้ติดตามพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาโดยตลอด รวมทั้งตระหนักอยู่เสมอว่าอยากทำความดีตอบแทนพระองค์ ซึ่งด้วยความที่มีความถนัดทางด้านการเป็นนักพูดจึงได้เข้าร่วมแข่งขันประกวดสุนทรพจน์ในหัวข้อเย็นศิระเพราะพระบริบาลที่จัดขึ้นโดยสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบอกเล่าในสิ่งที่ติดตามในพระปรีชาสามารถของพระองค์มาโดยตลอดเหมือนเป็นการสรรเสริญพระบารมีจนกระทั่งได้รับรางวัลชมเชยระดับประเทศมาได้

“อยากฝากไปถึงเยาวชนไทยทุกคนด้วยว่าขอให้ตระหนักว่าเราเป็นเยาวชนและเป็นคนของในหลวงและเชื่อว่าสิ่งที่พระองค์ท่านทำล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์และทำเพื่อประเทศชาติทั้งนั้น ดังนั้นสิ่งที่เราจะตอบแทนพระองค์ท่านได้นั้น คือ การทำความดี รวมทั้งนำคำสอนของท่านมาเป็นแบบอย่างของชีวิต ซึ่งสิ่งที่อ๊อฟเห็นว่าเป็นคำสอนที่นำมาใช้บ่อยที่สุดนั้น คือ ความอดทน ไม่ว่าพื้นที่ในประเทศไทยจะไกลหรือยากลำบากเพียงใดแต่เพื่อได้ช่วยประชาชนท่านไม่เคยย่อท้อเลย แล้วตัวเราเองหน้าที่ของเราตอนนี้มีเพียงแค่เรียนหนังสือเราก็น่าจะทำให้ดีที่สุด”

ขณะที่‘ยุ้ย’ ณพอาภา ซึ่งปัจจุบันเป็นนิสิตชั้นปีที่ 4 กำลังศึกษาอยู่ที่ คณะมนุษยศาสตร์ ภาควิชาศิลปนิเทศ สาขาวิชาเอก ดนตรีตะวันตก เอกขับร้อง (VOICE)ม.เกษตรศาสตร์ เล่าด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มว่าเธอเป็นคนหนึ่งที่ถือได้ว่าเคยรับรู้ถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมเรียนที่โรงเรียนจิตลดา อีกทั้งในส่วนของครอบครัวตั้งแต่คุณตาของเธอนั่นคือแก้วขวัญ วัชโรทัย ก็เป็นผู้ที่รับใช้พระองค์อย่างใกล้ชิด เปรียบเสมือนตอนนี้สมาชิกทั้งหมดในครอบครัวถือเป็นข้ารับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ โดยส่วนตัวก็เคยเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถึง 3 ครั้ง ทั้งเป็นการเข้าเฝ้าฯเป็นการส่วนพระองค์เนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิดคุณตาและเข้าเฝ้าฯในวันสำเร็จการศึกษาซึ่งนักเรียนโรงเรียนจิตลดาทุกคนต้องทำเพื่อเป็นการถวายบังคมทูลลา

“จนถึงปัจจุบันนี้ยุ้ยได้นำคำสอนรวมทั้งพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านมาปรับใช้กับชีวิตประจำวัน อย่างเช่นในหนังสือ ๙ ย่างตามรอยเท้าพ่อและจริงๆในชีวิตของเธอมีครบทุก 9 ไม่ว่าจะเป็นความกตัญญู ความซื่อสัตย์ แต่ที่นำมาคำนึงถึงมากที่สุดนั่นคือความพากเพียรซึ่งเป็นคำสอนที่เมื่อทุกคนลองนำมาปฏิบัติแล้วจะเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความสำเร็จทุกสิ่งอันเรียบง่ายคือเป็นพื้นฐานของคำสอนทุกอย่าง ที่สำคัญคือยุ้ยเชื่อแน่ว่าคนไทยทุกคนล้วนอยากทำอะไรเพื่อเป็นการตอบแทนพระองค์ท่านกันทั้งนั้น”

สำหรับเยาวชนที่สนใจสามารถขอรับหนังสือ “๙ ย่างตามรอยเท้าพ่อ” ได้ฟรี ที่งานวันเสาร์เยาวชนสร้างสรรค์ตามรอยเท้าพ่อ หรือ Smart Sat ในวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2549 เวลา 15.00 - 18.00 น. ณ บริเวณเต้นท์ประชาสัมพันธ์ ลานนันทนาการ อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ และสำหรับเยาวชนที่อยู่ต่างจังหวัดสามารถขอรับหนังสือได้โดยส่งจดหมายพร้อมทั้งจ่าหน้าซองถึงตัวเองและติดแสตมป์ 15 บาท ส่งมาที่สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ เลขที่ 75/1 ถนนพระราม 6 เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โดยวงเล็บมุมซองว่า “ขอรับหนังสือ ๙ ย่างตามรอยเท้าพ่อ” หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2354-8305-7
หนังสือ ๙ ย่างตามรอยเท้าพ่อ
หทัยชนก สมมิตร


กำลังโหลดความคิดเห็น