สรุปเกณฑ์รับเด็กนักเรียน ม.1 ปีการศึกษา 2550 โรงเรียนดังใช้สัดส่วน 50:50 ให้เด็กพื้นที่บริการจับฉลาก 50% อีก 50% ให้สอบคัดเลือก ส่วนเด็กความสามารถพิเศษให้อยู่ใน 50% ที่สอบคัดเลือก สำหรับโรงเรียนทั่วไปห้ามสอบเข้า คุมจำนวนเด็กต่อห้อง 40 คน หากรับเพิ่มเป็น 45 คณะกรรมการสถานศึกษาพิจารณา หากถึง 50 คน สพฐ.ต้องชี้ขาด ด้าน ผอ.โรงเรียนเทพศิรินทร์ เห็นด้วยหากจะยกเลิกการรับเด็กเงื่อนไขพิเศษร้อยละ 10 โดยมั่นใจไม่มีกระทบกับโรงเรียนยอดนิยม และยังช่วยลดแรงกดดันในการฝากเด็กเข้าเรียนของผู้มีอิทธิพล

คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวภายหลังหารือกับผู้อำนวยการโรงเรียนยอดนิยมในกรุงเทพมหานคร ถึงหลักเกณฑ์การรับนักเรียนชั้น ม.1 ปีการศึกษา 2550 ว่า สำหรับโรงเรียนทั่วไปห้ามไม่ให้มีการสอบ ให้รับเด็กทุกคนเข้าเรียน หากจำนวนเด็กสมัครเข้าเรียนเกินให้ใช้วิธีจับสลาก ส่วนโรงเรียนยอดนิยม จำนวน 430 โรง ได้ข้อสรุปว่าจะแบ่งการรับเป็น 2 ส่วน คือ ให้จับสลากในเขตพื้นที่บริการ 50% ส่วนอีก 50% ให้ใช้วิธีการสอบคัดเลือก ส่วนสถานศึกษาที่ประสงค์จะคัดเลือกเด็กความสามารถพิเศษจากสัดส่วนเดิมที่ให้สถานศึกษารับได้ 5% ให้รับเด็กส่วนนี้รวมอยู่ใน 50% ที่ให้สอบคัดเลือก ทำให้ลักษณะการสอบจะมี 2 ลักษณะ คือ สอบประเมินความพร้อม และความถนัดทั่วไป กับสอบคัดเลือกเด็กที่มีความสามารถพิเศษ อย่างไรก็ตามบางโรงเรียนอาจจะนำไปรวมสอบทั้งหมดก็ได้
คุณหญิงกษมา กล่าวด้วยว่า ส่วนการรับนักเรียนเงื่อนไขพิเศษ ซึ่ง ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ ให้แยกจากการรับนักเรียนปกติ หากโรงเรียนใดจำเป็นต้องรับเด็กเงื่อนไขพิเศษ เช่น ข้อตกลงของการบริจาคที่ดินตั้งโรงเรียน หรือเป็นผู้มีอุปการคุณที่ดูแลต่อเนื่องมานาน รวมถึงบางพื้นที่ที่ข้าราชการภาคใต้ต้องย้ายลูกไปเรียนที่อื่น ให้คณะกรรมการสถานศึกษาตั้งเป็นคณะกรรมการรับนักเรียน โดยมีตัวแทนจากฝ่ายต่างๆ มากำหนดเป็นหลักเกณฑ์ แล้วให้เพิ่มจำนวนรับนักเรียนในห้อง โดย 5 คนแรก ให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการสถานศึกษา ถ้ามากกว่า 5 คน ให้เป็นอำนาจของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) โดยโรงเรียนจะรับนักเรียนได้เพียงห้องเรียนละ 40 คน หากจะรับเพิ่มอีก 5 คน เป็น 45 คน ต้องผ่านคณะกรรมการสถานศึกษา และถ้าจะรับเป็น 50 คน ต้องให้เป็นอำนาจของ สพท.และหากจะรับเกินต้องขออนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
“เรากำหนดให้ห้องเรียนปกติรับเด็กไม่เกิน 40 คน ยกเว้นการรับเพิ่มพิเศษ แต่ต้องเป็นการกำหนดจากคณะกรรมการสถานศึกษาไม่ใช่เป็นการรับบริจาคเพื่อแลกกับการเข้าเรียน หากจะช่วยเหลือก็ต้องเป็นการช่วยเหลือที่มีต่อเนื่องมาช้านาน หรือเป็นคนที่มีข้อตกลงการจัดตั้งโรงเรียน หรือเป็นเด็กที่ต้องได้รับการดูแลเป็นกรณีพิเศษ แต่ยืนยันว่า 40 คนแรกเป็นไปตามหลักการ” เลขาธิการ กพฐ.กล่าว
คุณหญิงกษมา กล่าวอีกว่า สำหรับบางพื้นที่ยังมีนักเรียนเกินอยู่จำนวนมาก ผู้อำนวยการโรงเรียนกังวล ว่า จำนวนนักเรียนต่อห้องจะเกิน 50 คน ผู้อำนวยการโรงเรียนจะไปหารือกับทางกรุงเทพมหานคร (กทม.) ตามที่เคยหารือกันไว้ว่าจะเกลี่ยเด็กไปเรียนโรงเรียนขยายโอกาสของ กทม.หรือต้องนำเด็กเกลี่ยในโรงเรียนที่มีอยู่ ซึ่งเป็นความจำเป็นต้องรองรับเด็กไม่ใช่เพิ่มจำนวนรับเด็ก เพราะเป็นผลมาจากการบริจาคเงิน
นายประกาศิต ยังคง ผู้อำนวยการโรงเรียนเทพศิรินทร์ กล่าวว่า หากแนวโน้มนโยบายการรับนักเรียนของโรงเรียนยอดนิยม ออกมาชัดเจนว่า ให้สอบคัดเลือกร้อยละ 50 และจับสลากในพื้นที่บริการร้อยละ 50 ก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ดี ไม่น่าจะส่งผลกระทบในทางเสียหายกับโรงเรียนชื่อดัง สำหรับโควตาเด็กฝากและเด็กผู้มีความสามารถพิเศษที่หายไปร้อยละ 10 นั้น หากโรงเรียนจำเป็นต้องรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะด้านจริงๆ ก็สามารถบริหารจัดการได้ไม่ยาก เช่น ในส่วนของโรงเรียนเทพศิรินทร์เอง จะต้องรับโควตาเด็กที่มีความสามารถพิเศษด้านฟุตบอล และดนตรี รวมปีละ 20 คน ในปี 2550 ถ้ากระทรวงศึกษาธิการ ไม่ให้มีโควตานี้ โรงเรียนก็จะใช้วิธีคัดเลือกเด็กที่มีความสามารถพิเศษกลุ่มนี้เอาไว้ก่อน จากนั้นก็ส่งเข้าระบบสอบคัดเลือกแข่งขันเข้าเรียนร่วมกับเด็กอื่นๆ หรือให้จับสลากเข้าเรียนในโควตาเด็กบ้านใกล้โรงเรียน แต่หากไม่ผ่านการคัดเลือกทั้งสองวิธี โรงเรียนก็จะส่งเหตุผลความจำเป็นขอรับเด็กกลุ่มนี้เข้าเรียนเพิ่มเป็นกรณีพิเศษกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
นายประกาศิต กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีเด็กฝากของผู้มีอุปการคุณ หากกระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายชัดเจนว่าไม่ให้รับ โรงเรียนก็จะใช้นโยบายนี้อ้างต่อผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย เพื่อลดแรงกดดันที่โรงเรียนต้องเผชิญกับการฝากเด็กเข้าเรียนด้วย
คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) กล่าวภายหลังหารือกับผู้อำนวยการโรงเรียนยอดนิยมในกรุงเทพมหานคร ถึงหลักเกณฑ์การรับนักเรียนชั้น ม.1 ปีการศึกษา 2550 ว่า สำหรับโรงเรียนทั่วไปห้ามไม่ให้มีการสอบ ให้รับเด็กทุกคนเข้าเรียน หากจำนวนเด็กสมัครเข้าเรียนเกินให้ใช้วิธีจับสลาก ส่วนโรงเรียนยอดนิยม จำนวน 430 โรง ได้ข้อสรุปว่าจะแบ่งการรับเป็น 2 ส่วน คือ ให้จับสลากในเขตพื้นที่บริการ 50% ส่วนอีก 50% ให้ใช้วิธีการสอบคัดเลือก ส่วนสถานศึกษาที่ประสงค์จะคัดเลือกเด็กความสามารถพิเศษจากสัดส่วนเดิมที่ให้สถานศึกษารับได้ 5% ให้รับเด็กส่วนนี้รวมอยู่ใน 50% ที่ให้สอบคัดเลือก ทำให้ลักษณะการสอบจะมี 2 ลักษณะ คือ สอบประเมินความพร้อม และความถนัดทั่วไป กับสอบคัดเลือกเด็กที่มีความสามารถพิเศษ อย่างไรก็ตามบางโรงเรียนอาจจะนำไปรวมสอบทั้งหมดก็ได้
คุณหญิงกษมา กล่าวด้วยว่า ส่วนการรับนักเรียนเงื่อนไขพิเศษ ซึ่ง ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ ให้แยกจากการรับนักเรียนปกติ หากโรงเรียนใดจำเป็นต้องรับเด็กเงื่อนไขพิเศษ เช่น ข้อตกลงของการบริจาคที่ดินตั้งโรงเรียน หรือเป็นผู้มีอุปการคุณที่ดูแลต่อเนื่องมานาน รวมถึงบางพื้นที่ที่ข้าราชการภาคใต้ต้องย้ายลูกไปเรียนที่อื่น ให้คณะกรรมการสถานศึกษาตั้งเป็นคณะกรรมการรับนักเรียน โดยมีตัวแทนจากฝ่ายต่างๆ มากำหนดเป็นหลักเกณฑ์ แล้วให้เพิ่มจำนวนรับนักเรียนในห้อง โดย 5 คนแรก ให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการสถานศึกษา ถ้ามากกว่า 5 คน ให้เป็นอำนาจของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) โดยโรงเรียนจะรับนักเรียนได้เพียงห้องเรียนละ 40 คน หากจะรับเพิ่มอีก 5 คน เป็น 45 คน ต้องผ่านคณะกรรมการสถานศึกษา และถ้าจะรับเป็น 50 คน ต้องให้เป็นอำนาจของ สพท.และหากจะรับเกินต้องขออนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
“เรากำหนดให้ห้องเรียนปกติรับเด็กไม่เกิน 40 คน ยกเว้นการรับเพิ่มพิเศษ แต่ต้องเป็นการกำหนดจากคณะกรรมการสถานศึกษาไม่ใช่เป็นการรับบริจาคเพื่อแลกกับการเข้าเรียน หากจะช่วยเหลือก็ต้องเป็นการช่วยเหลือที่มีต่อเนื่องมาช้านาน หรือเป็นคนที่มีข้อตกลงการจัดตั้งโรงเรียน หรือเป็นเด็กที่ต้องได้รับการดูแลเป็นกรณีพิเศษ แต่ยืนยันว่า 40 คนแรกเป็นไปตามหลักการ” เลขาธิการ กพฐ.กล่าว
คุณหญิงกษมา กล่าวอีกว่า สำหรับบางพื้นที่ยังมีนักเรียนเกินอยู่จำนวนมาก ผู้อำนวยการโรงเรียนกังวล ว่า จำนวนนักเรียนต่อห้องจะเกิน 50 คน ผู้อำนวยการโรงเรียนจะไปหารือกับทางกรุงเทพมหานคร (กทม.) ตามที่เคยหารือกันไว้ว่าจะเกลี่ยเด็กไปเรียนโรงเรียนขยายโอกาสของ กทม.หรือต้องนำเด็กเกลี่ยในโรงเรียนที่มีอยู่ ซึ่งเป็นความจำเป็นต้องรองรับเด็กไม่ใช่เพิ่มจำนวนรับเด็ก เพราะเป็นผลมาจากการบริจาคเงิน
นายประกาศิต ยังคง ผู้อำนวยการโรงเรียนเทพศิรินทร์ กล่าวว่า หากแนวโน้มนโยบายการรับนักเรียนของโรงเรียนยอดนิยม ออกมาชัดเจนว่า ให้สอบคัดเลือกร้อยละ 50 และจับสลากในพื้นที่บริการร้อยละ 50 ก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ดี ไม่น่าจะส่งผลกระทบในทางเสียหายกับโรงเรียนชื่อดัง สำหรับโควตาเด็กฝากและเด็กผู้มีความสามารถพิเศษที่หายไปร้อยละ 10 นั้น หากโรงเรียนจำเป็นต้องรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะด้านจริงๆ ก็สามารถบริหารจัดการได้ไม่ยาก เช่น ในส่วนของโรงเรียนเทพศิรินทร์เอง จะต้องรับโควตาเด็กที่มีความสามารถพิเศษด้านฟุตบอล และดนตรี รวมปีละ 20 คน ในปี 2550 ถ้ากระทรวงศึกษาธิการ ไม่ให้มีโควตานี้ โรงเรียนก็จะใช้วิธีคัดเลือกเด็กที่มีความสามารถพิเศษกลุ่มนี้เอาไว้ก่อน จากนั้นก็ส่งเข้าระบบสอบคัดเลือกแข่งขันเข้าเรียนร่วมกับเด็กอื่นๆ หรือให้จับสลากเข้าเรียนในโควตาเด็กบ้านใกล้โรงเรียน แต่หากไม่ผ่านการคัดเลือกทั้งสองวิธี โรงเรียนก็จะส่งเหตุผลความจำเป็นขอรับเด็กกลุ่มนี้เข้าเรียนเพิ่มเป็นกรณีพิเศษกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
นายประกาศิต กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีเด็กฝากของผู้มีอุปการคุณ หากกระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายชัดเจนว่าไม่ให้รับ โรงเรียนก็จะใช้นโยบายนี้อ้างต่อผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย เพื่อลดแรงกดดันที่โรงเรียนต้องเผชิญกับการฝากเด็กเข้าเรียนด้วย