“อยากให้ลูกพูดภาษาอังกฤษเก่งๆ แต่ไม่รู้จะเริ่มให้เรียนอายุเท่าใดดี?”, “ตอนนี้ลูกเรียนอนุบาล เขาชอบพูดภาษาอังกฤษมาก จะส่งให้เรียนโรงเรียนนานาชาติเลยดีไหม?” หรือกระทั่ง “ครูอนุบาลพูดภาษาอังกฤษเพี้ยน ไม่อยากให้เขาติดสำเนียง จะให้เริ่มเรียนตอนอยู่ชั้นประถมจะทันไหม?”

ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงรบกวนจิตใจพ่อแม่ผู้ปรารถนาจะเห็นเจ้าตัวน้อยสื่อสารภาษาอังกฤษคล่องดั่งเจ้าของภาษาเท่านั้น หากทว่ายังมีนัยสำคัญเชิงนโยบายในการวางหลักสูตรการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาที่สองของนานาประเทศ รวมถึงเมืองไทยที่นับวันภาษาอังกฤษจะทวีความสำคัญมากขึ้นในชีวิตประจำวัน ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กๆ วัยไม่กี่ขวบ
ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของ ‘การเริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง’ ทางบริติช เคานซิล ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการจึงจัดประชุมเชิงนโยบายเพื่อร่างยุทธศาสตร์การศึกษาภาษาอังกฤษของไทยให้ตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงทิศทางการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในนานาประเทศ โดยรศ.ศรีภูมิ อัครมาศ ผู้เชี่ยวชาญการผลิตสื่อและฝึกอบรมบุคลากรด้านการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ได้ไขข้อข้องใจของผู้ปกครองและคุณครูจำนวนไม่น้อยว่า ช่วงวัยเหมาะสมจะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษควรอยู่ระหว่าง 2-11 ขวบ เนื่องจากการวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับพัฒนาการทางสมองพบว่าสมองของเด็กๆ วัยนี้จะรับข้อมูลที่ใส่เข้าไปได้ไวมากที่สุด
ก่อนวัยเข้าเรียนอนุบาล ทักษะความสามารถทางภาษาแม่ในเด็กแต่ละคนจะต่างกัน อันเนื่องมาจากสมองของพวกเขาจะได้รับการกระตุ้นจากการรับข้อมูลและปฏิสัมพันธ์ภายในครอบครัว เช่น การพูดคุยหรือเล่านิทานของพ่อแม่ ครั้นถึงวัยเข้าโรงเรียน พัฒนาการทางการเรียนภาษาแม่ของเด็กๆ เหล่านี้จะแตกต่างกันตามไปด้วย
“ทักษะการสื่อสารในภาษาแม่จะเป็นปัจจัยอันสำคัญยิ่งในการสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ภาษาอื่นๆ ตามมา จากเดิมที่เราเชื่อกันมานานว่าการเรียนสองภาษาในเวลาเดียวกันจะทำลายพัฒนาการของเด็ก แต่การวิจัยล่าสุดกลับแสดงให้เห็นว่าการเรียนสองภาษาพร้อมกันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อพวกเขา” รศ.ศรีภูมิเผย พลางอธิบายว่าเด็กที่เรียนสองภาษาจะมีทักษะความสามารถในการสร้างแนวคิด การให้เหตุผลเชิงเปรียบเทียบ การจินตนาการออกมาเป็นภาพ และความคิดสร้างสรรค์
“การเรียนภาษาของเด็กจึงต้องให้ความสำคัญกับภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาแม่ควบคู่กับภาษาอังกฤษ ยิ่งเรียนในช่วงวัยน้อยๆ ยิ่งได้ผลดีกว่า อย่างไรก็ตาม ช่วงอายุเริ่มเรียนภาษาอังกฤษไม่สำคัญเท่ากับการได้เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องเหมาะสม เพราะแม้ว่าจะเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่วัยอนุบาลไม่กี่ขวบ หากครูไร้ความรู้ สอนไม่สนุก ทำให้เด็กเบื่อ ก็ได้ผลน้อยกว่าเด็กที่เรียนภาษาอังกฤษตอนโตแล้ว แต่ได้ครูมีความสามารถ สอนสนุก เด็กมีแรงจูงใจที่จะเรียนรู้ ก็จะเก่งได้ในที่สุด”

กระนั้น มาตรฐานครูภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็น Native หรือ Non Native Speaker ในรั้วโรงเรียนยังเป็นคำถามค้างคาใจผู้ปกครองจำนวนมาก ยิ่งผนวกรวมความอ่อนด้อยของการปฏิรูปการศึกษาแบบเด็กเป็นศูนย์กลาง ยิ่งฉายชัดศักยภาพการเรียนภาษาอังกฤษของเด็กๆ ว่าต้องได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วน ดังที่รศ.ศรีภูมิเน้นว่า แม้ปัจจุบันแนวทางการเรียนการสอนภาษาอังกฤษจะมุ่งทักษะการสื่อสารเป็นสำคัญ หากทว่าจำนวนเด็กที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารได้ในชีวิตประจำวันจริงๆ กลับยังน้อยมาก
อันเนื่องด้วยอุปสรรคด้านศักยภาพและแนวทางการจัดการเรียนการสอนของครูภาษาอังกฤษที่ยังอ่อนด้อยและไม่ถูกต้อง ครูหลายคนกางหนังสือสอน ซ้ำร้ายยังสอนเฉพาะในส่วนที่ตัวเองรู้เรื่อง ขณะที่ส่วนที่ไม่รู้เรื่องก็ไม่ยอมสอน ทั้งๆ ที่เด็กจำเป็นต้องเรียนรู้ สอดคล้องกับสถิติที่พบว่ากว่าร้อยละ 80 ของครูภาษาอังกฤษในระดับประถมศึกษาไม่ได้จบเอกภาษาอังกฤษ และร้อยละ 51.91 ยอมรับว่าตัวเองมีความรู้ภาษาอังกฤษแค่ระดับเริ่มต้นเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นเทคนิคการสอนที่พวกเขาใช้มักจะไม่จุดประกายให้เด็กๆ หันมาสนใจเรียนภาษาอังกฤษ
“วิธีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กในฐานะภาษาที่สองไม่ควรต่างจากภาษาไทยมากนัก และต้องไม่เหมือนผู้ใหญ่ ต้องสนุก เน้นกิจกรรม สร้างแรงจูงใจให้เขารักที่จะเรียนรู้ เพราะถ้าเขามีทักษะด้านภาษาอังกฤษที่ดีตั้งแต่เด็ก ผล GPA หรือ GAT ในอนาคตก็จะสูงต่างจากเด็กทั่วไปในปัจจุบัน”
ด้วยปีการศึกษา 2547 พบว่าคะแนนเฉลี่ยวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนทุกระดับชั้นเมื่อเทียบกับวิชาอื่นๆ ‘ต่ำที่สุด’ โดยนักเรียนชั้นประถมศึกษา 6 ได้ร้อยละ 37.34 ขณะที่นักเรียนมัธยมศึกษา 3 และ 6 ได้คะแนนร้อยละ 32.38 และ 32.45 ตามลำดับ รวมทั้งการประเมินล่าสุดยังพบว่านักเรียนเพียง 10.43% เท่านั้นที่มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ครู 32.54% ใช้แนวทางการเรียนการสอนแบบเด็กเป็นศูนย์กลาง เฉกเช่นเดียวกับผู้บริหารแค่ 37.72% เท่านั้นที่ใช้แนวทางเดียวกันนี้บริหารโรงเรียน
อย่างไรก็ตาม การเปิดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กที่ขยายตัวมากขึ้นในโรงเรียนทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็น EP ที่จะสอนภาษาอังกฤษไม่น้อยกว่า 15 ชั่วโมง/สัปดาห์ หรือ Mini EP ที่สอนภาษาอังกฤษระหว่าง 8-14ชั่วโมง/สัปดาห์ อาจคลี่คลายความกังวลใจของพ่อแม่ผู้ปกครองที่ไม่อยากส่งลูกหลานไปเรียนภาษาอังกฤษตามสถาบันภาษาต่างๆ ที่ผุดราวกับดอกเห็ดหน้าฝนในขณะนี้ เพราะยิ่งหากเขาเด็กมากด้วยแล้ว ยิ่งน่าเป็นห่วงว่านอกจากเขาจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษผิดเพี้ยนจากครูในสถาบันภาษาที่ไม่ได้คุณภาพแล้ว ยังอาจจะซึมซับวัฒนธรรมไม่ดี จนเพิกเฉยคุณค่าความเป็นไทยที่งดงามลงไปในท้ายที่สุด

"การเรียนการสอนภาษาอังกฤษจึงต้องสอดแทรกความเป็นไทยลงไปในลักษณะการบูรณาการเนื้อหาเข้ากับภาษา เด็กจะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันได้จริงโดยไม่หลงลืมขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมดีงามของไทย” รศ.ศรีภูมิย้ำ พลางมองทิ้งท้ายว่าความคาดหวังที่จะเห็นเด็กนักเรียนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการเรียนภาษาอังกฤษ และไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 มีทักษะความสามารถในการใช้ภาษานี้ อย่างน้อยรัฐบาลต้องเพิ่มจำนวนโรงเรียนต้นแบบและโรงเรียนสองภาษา จัดหาตำราเรียนและระบบ E-Learning พร้อมกับมอบทุนการศึกษาภาษาอังกฤษแก่นักเรียนอย่างต่อเนื่อง
‘เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษไว ประสบความสำเร็จไปกว่าครึ่ง’ จึงเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินเลย ด้วยก้าวที่มั่นคงบนถนนสายภาษาอังกฤษ ยามผสานความเป็นไทยในหัวใจที่เอื้ออาทรต่อผู้อื่น ท้ายสุดย่อมนำชัยชนะทางการเรียน และการเจรจาต่อรองทางธุรกิจที่สัมฤทธิผลมาให้ไม่ยาก
ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงรบกวนจิตใจพ่อแม่ผู้ปรารถนาจะเห็นเจ้าตัวน้อยสื่อสารภาษาอังกฤษคล่องดั่งเจ้าของภาษาเท่านั้น หากทว่ายังมีนัยสำคัญเชิงนโยบายในการวางหลักสูตรการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาที่สองของนานาประเทศ รวมถึงเมืองไทยที่นับวันภาษาอังกฤษจะทวีความสำคัญมากขึ้นในชีวิตประจำวัน ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กๆ วัยไม่กี่ขวบ
ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของ ‘การเริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง’ ทางบริติช เคานซิล ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการจึงจัดประชุมเชิงนโยบายเพื่อร่างยุทธศาสตร์การศึกษาภาษาอังกฤษของไทยให้ตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงทิศทางการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในนานาประเทศ โดยรศ.ศรีภูมิ อัครมาศ ผู้เชี่ยวชาญการผลิตสื่อและฝึกอบรมบุคลากรด้านการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ได้ไขข้อข้องใจของผู้ปกครองและคุณครูจำนวนไม่น้อยว่า ช่วงวัยเหมาะสมจะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษควรอยู่ระหว่าง 2-11 ขวบ เนื่องจากการวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับพัฒนาการทางสมองพบว่าสมองของเด็กๆ วัยนี้จะรับข้อมูลที่ใส่เข้าไปได้ไวมากที่สุด
ก่อนวัยเข้าเรียนอนุบาล ทักษะความสามารถทางภาษาแม่ในเด็กแต่ละคนจะต่างกัน อันเนื่องมาจากสมองของพวกเขาจะได้รับการกระตุ้นจากการรับข้อมูลและปฏิสัมพันธ์ภายในครอบครัว เช่น การพูดคุยหรือเล่านิทานของพ่อแม่ ครั้นถึงวัยเข้าโรงเรียน พัฒนาการทางการเรียนภาษาแม่ของเด็กๆ เหล่านี้จะแตกต่างกันตามไปด้วย
“ทักษะการสื่อสารในภาษาแม่จะเป็นปัจจัยอันสำคัญยิ่งในการสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ภาษาอื่นๆ ตามมา จากเดิมที่เราเชื่อกันมานานว่าการเรียนสองภาษาในเวลาเดียวกันจะทำลายพัฒนาการของเด็ก แต่การวิจัยล่าสุดกลับแสดงให้เห็นว่าการเรียนสองภาษาพร้อมกันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อพวกเขา” รศ.ศรีภูมิเผย พลางอธิบายว่าเด็กที่เรียนสองภาษาจะมีทักษะความสามารถในการสร้างแนวคิด การให้เหตุผลเชิงเปรียบเทียบ การจินตนาการออกมาเป็นภาพ และความคิดสร้างสรรค์
“การเรียนภาษาของเด็กจึงต้องให้ความสำคัญกับภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาแม่ควบคู่กับภาษาอังกฤษ ยิ่งเรียนในช่วงวัยน้อยๆ ยิ่งได้ผลดีกว่า อย่างไรก็ตาม ช่วงอายุเริ่มเรียนภาษาอังกฤษไม่สำคัญเท่ากับการได้เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องเหมาะสม เพราะแม้ว่าจะเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่วัยอนุบาลไม่กี่ขวบ หากครูไร้ความรู้ สอนไม่สนุก ทำให้เด็กเบื่อ ก็ได้ผลน้อยกว่าเด็กที่เรียนภาษาอังกฤษตอนโตแล้ว แต่ได้ครูมีความสามารถ สอนสนุก เด็กมีแรงจูงใจที่จะเรียนรู้ ก็จะเก่งได้ในที่สุด”
กระนั้น มาตรฐานครูภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็น Native หรือ Non Native Speaker ในรั้วโรงเรียนยังเป็นคำถามค้างคาใจผู้ปกครองจำนวนมาก ยิ่งผนวกรวมความอ่อนด้อยของการปฏิรูปการศึกษาแบบเด็กเป็นศูนย์กลาง ยิ่งฉายชัดศักยภาพการเรียนภาษาอังกฤษของเด็กๆ ว่าต้องได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วน ดังที่รศ.ศรีภูมิเน้นว่า แม้ปัจจุบันแนวทางการเรียนการสอนภาษาอังกฤษจะมุ่งทักษะการสื่อสารเป็นสำคัญ หากทว่าจำนวนเด็กที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารได้ในชีวิตประจำวันจริงๆ กลับยังน้อยมาก
อันเนื่องด้วยอุปสรรคด้านศักยภาพและแนวทางการจัดการเรียนการสอนของครูภาษาอังกฤษที่ยังอ่อนด้อยและไม่ถูกต้อง ครูหลายคนกางหนังสือสอน ซ้ำร้ายยังสอนเฉพาะในส่วนที่ตัวเองรู้เรื่อง ขณะที่ส่วนที่ไม่รู้เรื่องก็ไม่ยอมสอน ทั้งๆ ที่เด็กจำเป็นต้องเรียนรู้ สอดคล้องกับสถิติที่พบว่ากว่าร้อยละ 80 ของครูภาษาอังกฤษในระดับประถมศึกษาไม่ได้จบเอกภาษาอังกฤษ และร้อยละ 51.91 ยอมรับว่าตัวเองมีความรู้ภาษาอังกฤษแค่ระดับเริ่มต้นเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นเทคนิคการสอนที่พวกเขาใช้มักจะไม่จุดประกายให้เด็กๆ หันมาสนใจเรียนภาษาอังกฤษ
“วิธีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กในฐานะภาษาที่สองไม่ควรต่างจากภาษาไทยมากนัก และต้องไม่เหมือนผู้ใหญ่ ต้องสนุก เน้นกิจกรรม สร้างแรงจูงใจให้เขารักที่จะเรียนรู้ เพราะถ้าเขามีทักษะด้านภาษาอังกฤษที่ดีตั้งแต่เด็ก ผล GPA หรือ GAT ในอนาคตก็จะสูงต่างจากเด็กทั่วไปในปัจจุบัน”
ด้วยปีการศึกษา 2547 พบว่าคะแนนเฉลี่ยวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนทุกระดับชั้นเมื่อเทียบกับวิชาอื่นๆ ‘ต่ำที่สุด’ โดยนักเรียนชั้นประถมศึกษา 6 ได้ร้อยละ 37.34 ขณะที่นักเรียนมัธยมศึกษา 3 และ 6 ได้คะแนนร้อยละ 32.38 และ 32.45 ตามลำดับ รวมทั้งการประเมินล่าสุดยังพบว่านักเรียนเพียง 10.43% เท่านั้นที่มีทักษะการคิดวิเคราะห์ ครู 32.54% ใช้แนวทางการเรียนการสอนแบบเด็กเป็นศูนย์กลาง เฉกเช่นเดียวกับผู้บริหารแค่ 37.72% เท่านั้นที่ใช้แนวทางเดียวกันนี้บริหารโรงเรียน
อย่างไรก็ตาม การเปิดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กที่ขยายตัวมากขึ้นในโรงเรียนทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็น EP ที่จะสอนภาษาอังกฤษไม่น้อยกว่า 15 ชั่วโมง/สัปดาห์ หรือ Mini EP ที่สอนภาษาอังกฤษระหว่าง 8-14ชั่วโมง/สัปดาห์ อาจคลี่คลายความกังวลใจของพ่อแม่ผู้ปกครองที่ไม่อยากส่งลูกหลานไปเรียนภาษาอังกฤษตามสถาบันภาษาต่างๆ ที่ผุดราวกับดอกเห็ดหน้าฝนในขณะนี้ เพราะยิ่งหากเขาเด็กมากด้วยแล้ว ยิ่งน่าเป็นห่วงว่านอกจากเขาจะเรียนรู้ภาษาอังกฤษผิดเพี้ยนจากครูในสถาบันภาษาที่ไม่ได้คุณภาพแล้ว ยังอาจจะซึมซับวัฒนธรรมไม่ดี จนเพิกเฉยคุณค่าความเป็นไทยที่งดงามลงไปในท้ายที่สุด
"การเรียนการสอนภาษาอังกฤษจึงต้องสอดแทรกความเป็นไทยลงไปในลักษณะการบูรณาการเนื้อหาเข้ากับภาษา เด็กจะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันได้จริงโดยไม่หลงลืมขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมดีงามของไทย” รศ.ศรีภูมิย้ำ พลางมองทิ้งท้ายว่าความคาดหวังที่จะเห็นเด็กนักเรียนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการเรียนภาษาอังกฤษ และไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 มีทักษะความสามารถในการใช้ภาษานี้ อย่างน้อยรัฐบาลต้องเพิ่มจำนวนโรงเรียนต้นแบบและโรงเรียนสองภาษา จัดหาตำราเรียนและระบบ E-Learning พร้อมกับมอบทุนการศึกษาภาษาอังกฤษแก่นักเรียนอย่างต่อเนื่อง
‘เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษไว ประสบความสำเร็จไปกว่าครึ่ง’ จึงเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินเลย ด้วยก้าวที่มั่นคงบนถนนสายภาษาอังกฤษ ยามผสานความเป็นไทยในหัวใจที่เอื้ออาทรต่อผู้อื่น ท้ายสุดย่อมนำชัยชนะทางการเรียน และการเจรจาต่อรองทางธุรกิจที่สัมฤทธิผลมาให้ไม่ยาก