อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เตือนอันตรายด้วงน้ำมัน รับประทานแค่ 3 ตัวพิษร้ายแรงถึงกับเสียชีวิตได้ ขณะเดียวกันพิษด้วงก้นกระดกขับสารพิษ เป็นอันตรายต่อผิวหนัง หากเข้าตามีอันตรายถึงตาบอด
นพ.ไพจิตร์ วราชิต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เตือนระวังอันตรายจากแมลงมีพิษโดยเฉพาะด้วงก้นกระดก และด้วงน้ำมัน ว่า ด้วงก้นกระดก หรือแมลงเฟรชชี่ มีลักษณะเป็นแมลงปีกแข็งขนาดเล็ก มีความยาวเพียง 4-7 มิลลิเมตรและมีลักษณะจำเพาะคือ ปีกคู่แรกแข็งและสั้น ปีกคู่สองมีขนาดใหญ่ ลำตัวมีขนาดเล็กเรียว ส่วนท้องยาวโผล่ออกมานอกปีก สังเกตเห็นได้ง่าย มีลักษณะสีสันต่างกัน ชนิดที่พบบ่อยในประเทศไทยนั้นมีสีส้ม ชาวบ้านเรียกว่า ด้วงปีกสั้น หรือด้วงก้นงอน
นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า สารพิษของแมลงชนิดนี้ เมื่อถูกผิวหนังจะทำให้เป็นผื่นคันหรือแผลพุพอง ผิวหนังไหม้แดง ปวดแสบปวดร้อน มีไข้ และถ้าถูกพิษบริเวณดวงตาอาจทำให้ตาบอดได้ โดยด้วงก้นกระดกมีแหล่งอาศัยอยู่ตามกองมูลสัตว์ ใต้พื้นดิน ในกองไม้ แต่จะชอบบินเข้ามาเล่นแสงไฟ ในบ้านเรือนที่เป็นพื้นที่ใกล้ชิดประชาชนซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนที่เผลอไปสัมผัสได้
ส่วนอันตรายของ ด้วงน้ำมัน มักเกิดจากมีผู้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นพวกแมลงกินได้จึงนำไปรับประทาน ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ถ้ารับประทานมากกว่า 3 ตัวขึ้นไป ผู้ป่วยที่บริโภคด้วงน้ำมันเข้าไปนั้นจะมีอาการคออักเสบ กลืนอาหารลำบาก ปวดท้อง คลื่นไส้ อุจจาระร่วง อาเจียนเป็นเลือด ความดันโลหิตลดลง ปัสสาวะเป็นเลือด สลบ และเสียชีวิตจากภาวะหายใจล้มเหลว ด้วงน้ำมันถ้าถูกรบกวนหรือถูกต้องตัวจะขับของเหลวสีเหลืองอ่อนที่มีสารพิษ cantharidin ออกจากข้อต่อของส่วนขา ซึ่งถ้าพิษถูกผิวหนังก็จะเป็นตุ่มพุพองอักเสบ” นพ.ไพจิตร์ กล่าว
นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า โดยปกติแมลงทั้งสองชนิดนี้จะไม่กัดคน แต่ถ้าบังเอิญถูกแมลงไต่ตามร่างกายแล้วไปตบตีหรือทำให้ลำตัวแตกหักพิษในตัวแมลงจะถูกขับออกมาเป็นลักษณะของเหลวแล้วซึมเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดอาการแพ้ดังกล่าว หากร่างกายสัมผัสถูกพิษให้รีบล้างน้ำสะอาด หรือเช็ดด้วยแอมโมเนียทันที นอกจากนี้ ควรลดความสว่างของแสงไฟในเวลากลางคืน หรือปิดมุ้งลวดป้องกันแมลงให้มิดชิด เนื่องจากด้วงก้นกระดกมักเข้ามาเล่นแสงไฟในตอนกลางคืน
นพ.ไพจิตร์ วราชิต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เตือนระวังอันตรายจากแมลงมีพิษโดยเฉพาะด้วงก้นกระดก และด้วงน้ำมัน ว่า ด้วงก้นกระดก หรือแมลงเฟรชชี่ มีลักษณะเป็นแมลงปีกแข็งขนาดเล็ก มีความยาวเพียง 4-7 มิลลิเมตรและมีลักษณะจำเพาะคือ ปีกคู่แรกแข็งและสั้น ปีกคู่สองมีขนาดใหญ่ ลำตัวมีขนาดเล็กเรียว ส่วนท้องยาวโผล่ออกมานอกปีก สังเกตเห็นได้ง่าย มีลักษณะสีสันต่างกัน ชนิดที่พบบ่อยในประเทศไทยนั้นมีสีส้ม ชาวบ้านเรียกว่า ด้วงปีกสั้น หรือด้วงก้นงอน
นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า สารพิษของแมลงชนิดนี้ เมื่อถูกผิวหนังจะทำให้เป็นผื่นคันหรือแผลพุพอง ผิวหนังไหม้แดง ปวดแสบปวดร้อน มีไข้ และถ้าถูกพิษบริเวณดวงตาอาจทำให้ตาบอดได้ โดยด้วงก้นกระดกมีแหล่งอาศัยอยู่ตามกองมูลสัตว์ ใต้พื้นดิน ในกองไม้ แต่จะชอบบินเข้ามาเล่นแสงไฟ ในบ้านเรือนที่เป็นพื้นที่ใกล้ชิดประชาชนซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนที่เผลอไปสัมผัสได้
ส่วนอันตรายของ ด้วงน้ำมัน มักเกิดจากมีผู้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นพวกแมลงกินได้จึงนำไปรับประทาน ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ถ้ารับประทานมากกว่า 3 ตัวขึ้นไป ผู้ป่วยที่บริโภคด้วงน้ำมันเข้าไปนั้นจะมีอาการคออักเสบ กลืนอาหารลำบาก ปวดท้อง คลื่นไส้ อุจจาระร่วง อาเจียนเป็นเลือด ความดันโลหิตลดลง ปัสสาวะเป็นเลือด สลบ และเสียชีวิตจากภาวะหายใจล้มเหลว ด้วงน้ำมันถ้าถูกรบกวนหรือถูกต้องตัวจะขับของเหลวสีเหลืองอ่อนที่มีสารพิษ cantharidin ออกจากข้อต่อของส่วนขา ซึ่งถ้าพิษถูกผิวหนังก็จะเป็นตุ่มพุพองอักเสบ” นพ.ไพจิตร์ กล่าว
นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า โดยปกติแมลงทั้งสองชนิดนี้จะไม่กัดคน แต่ถ้าบังเอิญถูกแมลงไต่ตามร่างกายแล้วไปตบตีหรือทำให้ลำตัวแตกหักพิษในตัวแมลงจะถูกขับออกมาเป็นลักษณะของเหลวแล้วซึมเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดอาการแพ้ดังกล่าว หากร่างกายสัมผัสถูกพิษให้รีบล้างน้ำสะอาด หรือเช็ดด้วยแอมโมเนียทันที นอกจากนี้ ควรลดความสว่างของแสงไฟในเวลากลางคืน หรือปิดมุ้งลวดป้องกันแมลงให้มิดชิด เนื่องจากด้วงก้นกระดกมักเข้ามาเล่นแสงไฟในตอนกลางคืน