xs
xsm
sm
md
lg

ลุ้น “ฟอกไต” สิทธิประโยชน์ใหม่จาก 30 บาท

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพการเดินเข้าออกโรงพยาบาลทุกๆ 2-3 วัน ต่อสัปดาห์นั้น เป็นภาพที่เห็นจนเจนตาของครอบครัวที่มีผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง ที่มีความจำเป็นที่ต้องเข้ารับการฟอกเลือด เพื่อขจัดของเสียที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดออกไปได้

ด้วยสาเหตุความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับไต ซึ่งมักเกิดขึ้นจากภาวะแทรกซ้อนของโรคต่างๆ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน นิ่วในไต กรวยไตอักเสบ ภาวะเจ็บป่วยเหล่านี้ทำให้ไตไม่สามารถทำงานได้เช่นเดิม ของเสียต่างๆ ในร่างกายและในเลือดจะไม่สามารถขับออกมาได้ ร่างกายจะอยู่ในสภาพเป็นพิษอันเนื่องมาจากการคั่งของเลือดเสียเกิดอาการตัวบวม อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน และจะเสียชีวิตภายใน 2 วัน หากไม่มีการนำของเสียออกจากร่างกาย

ดังนั้น วิธีการที่จะช่วยยื้อชีวิตผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง คือ การนำของเสียออกจากร่างกายผู้ป่วยโดยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม หรือการล้างช่องท้องด้วยน้ำยาและการผ่าตัดเปลี่ยนไตใหม่

ทว่า การผ่าตัดเปลี่ยนไตนั้น ต้องอาศัยระยะเวลานาน กว่าจะได้ไตใหม่ที่เข้ากับผู้ป่วยได้ ผู้ป่วยไตวายเรือรังทุกคนจึงต้องเข้ารับการฟอกเลือดหรือล้างช่องท้อง เพื่อให้ร่างกายอยู่ได้ต่อไป

อย่างไรก็ดี แม้การเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ จะเป็นเรื่องที่คุ้นเคยสำหรับครอบครัวของผู้ป่วย แต่สิ่งที่ไม่อาจทำใจให้คุ้นชินได้เลย คือ ค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการเข้ารับบริการแต่ละครั้ง โดยการฟอกเลือดแต่ละครั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 1,500-2,000 บาท ร่วมกับค่าใช้จ่ายสำหรับฉีดยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงอีกจำนวนหนึ่งและเมื่อต้องทำเป็นประจำทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งแล้ว จึงนับว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ยิ่งกับครอบครัวที่มีฐานะทางการเงินไม่ดีนัก อาจถึงกับต้องสิ้นเนื้อประดาตัวกับการนำเงินมาเพื่อรักษาคนในครอบครัว

ปัจจุบัน รัฐมีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการให้บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง สำหรับผู้ที่ใช้สิทธิสวัสดิการข้าราชการ และผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม แต่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จึงได้มีการสนับสนุนให้ นพ.วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขระหว่างประเทศและคณะ ทำการวิจัยเพื่อหาแนวทางในการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการให้บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่เหมาะสมกับงบประมาณของโครงการ

นพ.วิโรจน์ กล่าวว่า จากการประมาณการพบว่า ในแต่ละปีมีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายเพิ่มขึ้นปีละ 6,500-19,000 คน ถ้าไม่ได้รับการรักษาด้วยการฟอกเลือด ผู้ป่วยจะเสียชีวิตภายใน 2-4 วัน แต่ถ้าได้รับการรักษาชีวิตก็จะยืนยาวไปหลายปี ดังนั้นถ้ามีบริการฟอกเลือดหรือล้างช่องท้องแก่ผู้ป่วยทุกคน จะทำให้จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 คน ภายใน 4 ปี และ 100,000 คน ภายใน 10 ปี โดยแต่ละคนจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 200,000-300,000 บาทต่อปี ซึ่งถ้ารัฐยินยอมให้มีการฟอกเลือดรวมอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ของโครงการ 30 บาท สำหรับผู้ป่วยทุกคนจะต้องใช้งบประมาณ 5,000 บาท และเพิ่มขึ้นเป็นหลายหมื่นล้านบาท หรือมากกว่าหนึ่งในสามของงบประมาณโครงการ ซึ่งไม่คุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์ แต่ด้วยคำนึงถึงมุมมองด้านจริยธรรมและความเป็นธรรมในสังคม คณะวิจัยจึงได้แบ่งทางเลือกในการตัดสินใจระดับของการสนับสนุน เพื่อให้เกิดความเหมาะสมมากที่สุด อันประกอบด้วย

1. ผู้ป่วยทุกคนได้รับสิทธิประโยชน์การฟอกเลือดหรือล้างช่องท้องไปตลอดชีวิต

2. ผู้ป่วยทุกคนได้รับสิทธิประโยชน์การฟอกเลือดหรือล้างช่องท้องไปจนถึงอายุ 60 ปี หลังจากนั้นต้องช่วยเหลือตนเอง

3. กรรมการระดับจังหวัดคัดเลือกผู้ป่วยเป็นบางคน ให้มีสิทธิเข้ารับบริการ ตามหลักเกณฑ์ที่เป็นธรรม

4. ผู้ป่วยที่สามารถเปลี่ยนไตใหม่ได้เท่านั้น จึงจะได้รับสิทธิประโยชน์การฟอกเลือดหรือล้างช่องท้องและได้รับสิทธิจนกว่าจะเปลี่ยนไตใหม่


คณะผู้วิจัยได้ทำการพิจารณาทางเลือกทั้งหมดแล้วมีความเห็นว่า ทางเลือกที่ 1 แม้จะเป็นทางเลือกที่ยุติธรรมที่สุด แต่ในความเป็นจริง รัฐไม่สามารถทุ่มเทงบประมาณไปได้ทั้งหมด ทางเลือกที่ 2 และ 3 นั้น เป็นการช่วยเหลือทุกคน แต่จะช่วยเหลือไม่ถึงที่สุด โดยจะเป็นการช่วยเหลือเพื่อให้ประทังชีวิตไปได้ก่อน อาจจะสัก 3-5 ปี และผู้มีอายุน้อยจะมีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์มากกว่า หรือ รัฐจะช่วยสนับสนุนจนผู้ป่วยมีอายุ 60 ปี หลังจากนั้นต้องช่วยเหลือตัวเอง หากใครไม่มีกำลังเงินพอ หลังจากที่รัฐลดความช่วยเหลือ ก็อาจจะเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งก็เท่ากับว่างบประมาณที่ทุ่มเทลงเป็นกรเสียเปล่า

และทางเลือกที่ 4 เป็นทางเลือกที่คณะผู้วิจัย และวิชาชีพแพทย์ส่วนใหญ่คิดว่า เหมาะสมที่สุด เพราะแม้จะเป็นการเลือกช่วยเฉพาะบางคน แต่คนที่ช่วยทุกคนจะมีชีวิตรอด จนกว่าจะมีไตใหม่ โดยเกณฑ์ของผู้ที่สามารถเปลี่ยนไตใหม่ได้ คือ ผู้ป่วยที่มีอายุไม่เกิน 60 ปี และร่างกายมีความพร้อมในการผ่าตัด และทางเลือกนี้จะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับสิทธิปะโยชน์ไปครึ่งหนึ่ง เนื่องจากผู้ป่วยที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป จะมีจำนวน 50% ของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด

นพ.วิโรจน์ กล่าวว่าว่า การพิจารณาครั้งนี้ แม้จะได้ทางเลือกที่คณะผู้วิจัยเห็นว่าเหมาะสมแล้ว แต่ก็ยังต้องดูความต้องการทัศนะ และความยอมรับของทุกภาคส่วนในสังคมไทยว่า เห็นด้วยกับทางเลือกใด โดยคณะวิจัยจะทำการประชาพิจารณ์ โดยวิธี deliberate polling โดยทำการศึกษาร่วมกับองค์การอนามัยโลก มหาวิทยาลัยฮาวาร์ดและมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด เพื่อทราบความคิดเห็นของประชาชนใน 4 ภูมิภาค ในช่วงปลายปี 2549 และต้นปี 2550 และคาดว่าจะได้ข้อสรุปในกลางปี 2550
กำลังโหลดความคิดเห็น