นร.วัดราชาธิวาสสุดทน รวมตัวยื่นหนังสือร้องเรียนการกระทำของผอ. สงสัยนำเงินของโรงเรียนจำนวนหนึ่งไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง อีกทั้งยังมีพฤติกรรมกินเหล้าสูบบุหรี่ในโรงเรียน เผยมีครู 38 คนจาก 80 ขอย้ายออก ด้านเลขานุการ รมว.ศึกษาฯ ส่งเรื่องให้ สพฐ.ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง คาดได้ข้อสรุปสัปดาห์หน้า ขณะที่ผู้อำนวยการโรงเรียนโต้พัลวัล แจงเป็นเหตุเข้าใจผิด เตรียมประชุมทำความเข้าใจกับเด็กที่ไปร้องวันที่ 21 ส.ค.
ตั้งแต่เวลา 07.00 น.วันนี้ ( 18 ส.ค.) นักเรียนโรงเรียนวัดราชาธิวาส ประมาณ 30 คน นำโดยตัวแทนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และ 6 เดินทางไปที่กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนการกระทำของผู้อำนวยการ โรงเรียนวัดราชาธิวาส พร้อมมอบหลักฐานรายรับ-รายจ่าย ของโรงเรียนที่สงสัยว่ามีเงินจำนวนหนึ่งถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง พร้อมนำรายชื่อนักเรียนที่ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งปัจจุบันคือ นายเทพฤทธิ์ ศรีปัญญา โดยเข้ายื่นหนังสือต่อคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และยื่นหนังสือต่อ นายอุดม ไกรวัตนุสสรณ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
สำหรับเนื้อหาของหนังสือร้องเรียนระบุว่า นายเทพฤทธิ์ กระทำการไม่เหมาะสมในการเป็นผู้อำนวยการสถานศึกษา อาทิ สูบบุหรี่ และดื่มเหล้าในสถานที่ราชการ ทำให้ภาพลักษณ์ของโรงเรียนเสียหาย เมื่อนักเรียนได้รวบรวมรายชื่อและทำความเข้าใจกับผู้อำนวยการโรงเรียน ก็ถูกข่มขู่ จึงต้องเข้าร้องเรียนดังกล่าว
นายอุดม กล่าวภายหลังรับหนังสือร้องเรียนว่า ตามขั้นตอนเมื่อมีการร้องเรียนก็ต้องให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ที่ถูกร้องเรียนด้วย โดยตนจะส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ผู้อำนวยการโรงเรียนดังกล่าว โดยให้ดูพฤติกรรมสะสมในอดีตด้วย ภายในสัปดาห์หน้าน่าจะได้ข้อยุติ อย่างไรก็ตาม หากพบว่าผู้ร้อง หรือนักเรียนถูกข่มขู่ คุกคามจากผู้ถูกร้อง ในทางปฏิบัติก็จะเรียกให้มาช่วยราชการที่กระทรวง หรือพักราชการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปราโมทย์ แก้วสุข ผู้เชี่ยวชาญ สพฐ.เดินทางมาดูเหตุการณ์ครั้งนี้และรับฟังเรื่องราวจากนักเรียนพร้อมจัดรถตู้นำนักเรียนทั้งหมดส่งกลับที่โรงเรียนภายหลังยื่นหนังสือแล้ว
ส่วนบรรยากาศที่โรงเรียนวัดราชาธิวาส มีการจัดกิจกรรมสัปดาห์วิทยาศาสตร์ไทย โดยมีการนัดหมายให้ศิษย์เก่าของโรงเรียนเดินทางมาร่วมรับฟังข้อมูลจากศิษย์ปัจจุบันและร่วมเคลื่อนไหวต่อต้านพฤติกรรมของผู้อำนวยการโรงเรียนคนปัจจุบันด้วย
ทั้งนี้ ครูและนักเรียนให้ข้อมูลว่ามีความแคลงใจเรื่องการนำสนามมวยของโรงเรียนไปให้โรงเรียนแห่งหนึ่งที่ขอนแก่น และปัจจุบันครูในโรงเรียนจำนวน 38 คน จาก 80 คน ได้ยื่นเรื่องขอย้ายออกจากโรงเรียนไปประจำที่โรงเรียนอื่น โดยได้รับการอนุมัติแล้ว 35 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นครูเก่าแก่และเป็นครูในภาควิชาหลักของโรงเรียน ทำให้นักเรียนเสียขวัญ จึงต้องรวมตัวไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อกระทรวงศึกษาธิการดังกล่าว
ทางด้านผู้อำนวยการโรงเรียนวัดราชาธิวาส ชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความเข้าใจผิด เป็นเรื่องภายในโรงเรียน ปัญหาครูขอย้ายจำนวนมาก อาจมองดูไม่มีความสามัคคี แต่ตนยังไม่ได้อนุมัติและพยายามทำความเข้าใจกับครู รวมถึงพิจารณาเหตุผลการขอย้าย บางคนอ้างเหตุบ้านไกล และปัญหาสุขภาพ อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นักเรียนไปร้องเชื่อว่ามีมือที่สาม เป็นครูที่ไม่ถูกกับตน ไปยุนักเรียน และวันจันทร์ที่ 21 สิงหาคมนี้ ตนจะประชุมนักเรียนที่ไปร้องเรียนเพื่อทำความเข้าใจ
สำหรับเรื่องที่ถูกกล่าวหาสูบบุหรี่และและดื่มสุราในสถานที่ราชการ ขอยืนยัน ตนอายุ 58 ปีแล้วไม่ดื่มสุราแน่นอน แต่เรื่องบุหรี่ติดมานาน แต่ไม่เคยออกไปสูบให้นักเรียนเห็น ในส่วนของสนามมวยโรงเรียนมีหลักฐานการขออนุมัติปรับปรุงห้องยืดหยุ่นจากหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษาที่ระบุว่า สนามมวยกีดขวางการปรับปรุงดังกล่าว จึงตั้งกรรมการสอบถามความต้องการเรียนมวยสากล ผลปรากฏว่า ปัจจุบันการเรียนการสอนของโรงเรียนวัดราชาฯ มีนักเรียนหญิงเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนมากกว่านักเรียนชาย จากเดิมเป็นนักเรียนชายล้วน จึงไม่อยากสอนให้นักเรียนหญิงและครูที่สอนมวยสากลอายุมากแล้วจึงเปลี่ยนหลักสูตรให้ไปเรียนแบดมินตันแทน และนำสนามมวยไปบริจาคที่โรงเรียนบ้านวังชัย อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น หากนักเรียนแคลงใจ ตนจะหาคนมาบริจาคทำสนามมวยคืนให้
ขณะที่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีที่นักเรียนโรงเรียนวัดราชาธิวาส ยื่นหนังสือร้องเรียนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของผู้อำนวยการโรงเรียน ว่า เรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ รัฐมนตรีว่าการฯจะสั่งการเป็นรายโรงเรียนไม่ได้ เป็นเรื่องของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เขตพื้นที่นั้นจะต้องหาข้อมูลและสอบสวนข้อเท็จจริง เพราะว่า สพฐ.ได้จัดการแบ่งพื้นที่ในการดูแลรับผิดชอบแล้ว
ส่วน นายเฉลย พูนสวน รองเลขาธิการ สพฐ.กล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงานเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องปกติอาจจะเกิดจากช่องว่างของการทำความเข้าใจระหว่างผู้อำนวยการโรงเรียนกับนักเรียน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ ต้องขอดูข้อมูลก่อนว่าเด็กไม่พอใจเรื่องอะไร