ในรายการ “นายกฯ ทักษิณคุยกับประชาชน” เมื่อวันที่ 12 ส.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงโครงการ “One laptop per child(OLPC)” หรือ 1 นักเรียน(ประถมศึกษา) 1 โน้ตบุ๊ก พร้อมทั้งประกาศว่า รัฐบาลเตรียมซื้อมาแจกให้กับเด็กๆ นั้น

จากการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า การประกาศของ พ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องทั้งหมดและอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ เนื่องจาก OLPC ยังไม่ได้รับการทดสอบเลยว่าเหมาะสมกับเด็กไทยหรือไม่
ดร.ชิต เหล่าวัฒนา อาจารย์และผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม “ฟีโบ้ (FIBO)” ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ให้ข้อมูลว่า โครงการ One laptop per child นี้ เป็นโครงการที่ถือกำเนิดมาจากแนวคิดของ ศ.นิโคลัส นิโกรปอนเต ผู้ก่อตั้ง MIT Media Lap (Media Laboratory, Massachusetts Institute of Technology) คิดโครงการขึ้นมาร่วมกับสหประชาชาติ เพื่อให้เด็กๆ ทั่วโลกได้มีคอมพิวเตอร์ราคาถูกใช้เพื่อพัฒนาการเรียนรู้
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่นำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการศึกษาและเรียนรู้ที่มีประโยชน์มากสำหรับเด็กๆ ทั่วโลกรวมทั้งเด็กไทยด้วย ซึ่งขณะนี้มีหลายประเทศที่สนใจเข้าร่วมโครงการแล้วอาทิ บราซิล ไนจีเรีย อาร์เจนตินา ลิเบีย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องพึงระวังเมื่อไทยจะเข้าร่วมโครงการก็คือต้องวางแผนให้รัดกุมและมีการจัดการระดับชาติอย่างมีประสิทธิผล เนื่องจากขณะนี้โครงการยังอยู่ในขั้นของการศึกษาว่าเหมาะสมกับเด็กไทยหรือไม่ จึงยังชี้ชัดๆไม่ได้ว่า จะดำเนินเช่นไรให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษาของเด็กไทยมากที่สุด
“ผมเองในฐานะผู้ประสานงานโครงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่าง MIT และประเทศไทย ได้ตั้งทีมขึ้นมาดำเนินการ 3 ทีมด้วยกันเพื่อทำการศึกษา 3 เรื่องคือ หนึ่ง-ทางด้านเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส สอง-รูปลักษณ์เพื่อความสะดวกในการใช้งานในสภาพแวดล้อมของการศึกษาแบบไทย และสาม- การพัฒนาสื่อการเรียนรู้และการประยุกต์ใช้โน้ตบุ๊กนี้เพื่อการเรียนรู้แบบ Project Based และ Constructionism ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีแสวงหาความรู้ของผู้เรียน ตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ 2542”
“ในเดือนกันยายนนี้ ผมจะส่งทีมงาน 5 คน จาก เนคเทค ซิป้า และกระทรวงศึกษา ไปที่ MIT Media Lap เพื่อศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด จะได้บอกทาง MIT และผู้ผลิตได้อย่างชัดเจนถึงความต้องการของเรา จนเราได้เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่เหมาะสมกับเด็กไทยและสภาวะธรรมชาติการศึกษาของไทย”

ดร.ชิตอธิบายเพิ่มเติมว่า ในเดือนตุลาคมนี้จะมีการทดสอบทางเทคนิค (ในห้องประลอง) บนเครื่องต้นแบบ 20-30 เครื่อง ที่ MIT จะส่งให้ ส่วนในเดือนพฤศจิกายนเครื่องจริงจะถูกผลิตออกมา และจะจัดส่งมาให้ทดลองอีก 500 เครื่องในสภาพแวดล้อมจริงของเด็กไทยในโรงเรียนชนบทห่างไกล
ดังนั้น จึงต้อรอผลการศึกษาอีกระยะหนึ่งจึงจะสรุปรายงานออกมาได้ว่าเหมาะสมที่จะนำมาใช้ในเมืองไทยหรือไม่? หรือจะต้องดัดแปลงอย่างไรบ้าง ซึ่งทาง MIT ก็ยินดีจะ แก้ไขดัดแปลงตามข้อเสนอแนะ
“รายงานศึกษาที่ผมกล่าวถึงนี้คงแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน หากเราพบว่ายังไม่เหมาะหรือเร็วเกินไปที่ประเทศไทยจะดำเนินการโครงการนี้ ผมก็จำเป็นต้องรายงานรัฐบาลไปตรงๆ แม้โดยส่วนตัวผมคิดว่าโครงการนี้มีศักยภาพสูง”
“เท่าที่ทราบกระทรวงศึกษาฯ เตรียมร่างแผนงบประมาณสำหรับ 2 ล้านเครื่อง ปีแรก 1 ล้านเครื่อง และปีที่ 2 อีก 1 ล้านเครื่อง ก็ต้องบอกว่าเป็นเงินมากพอสมควร ประเทศไทยมิได้เป็นประเทศร่ำรวย คนไทยจึงต้องร่วมมือกันคิด อดทนทำงานให้หนัก และต้องประหยัด เมื่อจำเป็นต้องดำเนินการโครงการนี้แล้ว ผมอยากเห็นความต่อเนื่อง มิใช่ทำไปแล้ว แกนนำพรรคการเมืองจัดตั้งรัฐบาลเปลี่ยน แล้วเลิกโครงการ จะน่าเสียดายมากเลยครับ อย่านำโครงการไปโยงกับการเมืองเลยเพราะเมื่อการเมืองมีปัญหาผู้เสียประโยชน์ก็คือเด็กๆ อนาคตของชาติไทยนั่นเอง”
ดร.ชิตบอกด้วยว่า ทางออกทางหนึ่งสำหรับเรื่องนี้ก็คือ รัฐบาลไม่ควรรีบร้อนดำเนินการโครงการนี้หากเรายังไม่พร้อม หากมีประเทศอื่นๆที่คิดว่าพร้อมแล้วก็ให้เขาได้ใช้ก่อน เมื่อมองให้เห็นข้อดีแล้วประเทศไทยจะได้เรียนรู้ด้วยว่า เมื่อเครื่องถูกนำมาใช้งานจริงพบปัญหาอย่างไรบ้าง
“โน้ตบุ๊กไม่เหมือนหลอดไฟฟ้าที่หมุนเข้าเบ้าแล้วเปิดสวิตช์ได้แสงสว่างทันที หากเราโยนโน้ตบุ๊กให้เด็กๆ ใช้แล้วคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดประโยชน์โดยอัตโนมัติ ทางกระทรวงจึงกำชับทางทีมศึกษาชุดนี้ว่าต้องศึกษาจริงจนรู้ให้ลึก ผสาน ความคิดอย่างเป็นระบบ จึงจะสามารถจบด้วยการบูรณาการโน้ตบุ๊กนี้เข้าสู่การศึกษาไทยได้จนเป็นผลสำเร็จ เราต้องมั่นใจว่าผู้ใช้คือเด็กไทยพร้อมที่จะเรียนรู้หรือไม่ รวมทั้งครูผู้สอนเองก็ต้องทำความเข้าใจด้วย ตลอดจนระบบสื่อสารและข้อมูลพื้นฐานเพื่อการเรียนรู้ต้องได้รับการพัฒนาควบคู่กันไป”
นอกจากนี้ ทางทีมงานยังศึกษาเพิ่มเติมเรื่องการผลิตโน้ตบุ๊คในประเทศเนื่องจากไทยมีอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ที่แข็งแกร่งอยู่ ไม่ใช่แค่ซื้อหรือนำเข้าเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องคิดถึงเรื่องการผลิตด้วย เพราะถ้าหากสรุปว่าสามารถใช้ได้ผลดี ก็สามารถผลิตเครื่องให้ครบตามจำนวนเด็กไทยที่มีอยู่ประมาณ 10 ล้านคน หรือแม้กระทั่งผลิตเพื่อส่งออกไปขายต่อให้กับประเทศเพื่อนบ้านได้

ด้านพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา กรรมการสภาการศึกษาและอีกหลากหลายสถานะ ในฐานะเป็นบุคคลที่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างถึง ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า OLPC มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กๆ โดยเฉพาะในชนบทได้ใช้เรียนรู้ในลักษณะของ E-Book คือสามารถใช้ทดแทนหนังสือเรียน ใช้ทำการบ้าน รวมทั้งสามารถใช้ในการค้นหาข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่างๆ ได้ทั่วโลก เนื่องจากสามารถเชื่อมต่อกับดาวเทียมผ่านทาง Server ซึ่งก็มีราคา 100 เหรียญเช่นกัน
นอกจากนี้ OLPC ยังเป็นโน้ตบุ๊กที่เหมาะกับเด็กๆ ในชนบทที่ห่างไกล เพราะใช้ระบบ Wireless ที่ใช้เชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ตโดยตัวเชื่อมสัญญาณจะฝังอยู่ในตัวเครื่อง อีกทั้งระบบดังกล่าวยังสามารถส่งสัญญาณไปได้ไกลถึง 600 เมตร ถึงตัวข้างเคียงได้ ซึ่งหากโน้ตบุ๊dตัวหนึ่งเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตอยู่ จะสามารถส่งสัญญาณไปยังตัวอื่นเป็นทอดๆ ได้ นอกจากนี้ยังมีชุดปั่นไฟด้วยมือสำหรับพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ด้วย
แต่ประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ การทำให้โน้ตบุ๊กมีราคาถูกจะต้องผลิตจำนวนมากๆ ประมาณ 4-5 หมื่นเครื่องต่อปี ดังนั้น MIT Media Lap จึงชักชวนประเทศไทยเข้ามาเป็นเครือข่ายในการผลิตใช้เอง โดยพร้อมที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ ซึ่งไทยเองก็พร้อมจะเข้าร่วมโครงการด้วยถ้าได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ใช้ได้จริงกับการเรียนรู้ของเด็กไทย ไม่ใช่เป็นการขายเครื่องหรือต้องซื้อเครื่องแต่ประการใด
ส่วนอีกหนึ่งความเห็นที่น่าสนใจมาจาก “ครูยุ่น” มนตรี สินทวิชัย รักษาการสมาชิกวุฒิสภาสมุทรสงคราม และเลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก ที่บอกว่า ที่ผ่านมาปัญหาการศึกษาของไทย คือ ไม่มีความเสมอภาคทางการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นฐานการศึกษา ทั้งโรงเรียน ห้องเรียน อุปกรณ์การเรียน ครู หลักสูตรการสอน ภาพรวมทั่วประเทศไม่มีความเท่าเทียมและความเสมอภาคทางการศึกษา
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือการแจกโน้ตบุ๊กให้เด็กๆ จะทำให้เกิดความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางการศึกษาได้อย่างไร ตราบใดที่พื้นฐานด้านการศึกษาทั่วประเทศแตกต่างกันมาก บางโรงเรียนไม่มีแม้แต่งบประมาณจะซ่อมอาคารเรียน จนต้องทอดผ้าป่าเพื่อหาเงินมาซ่อมอาคารเรียน ทำไมจึงไม่สร้างโสตทัศนศึกษาที่ทันสมัย ที่เป็นพื้นที่ส่วนรวมซึ่งเด็กทุกคนใช้ด้วยกันได้
จากการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า การประกาศของ พ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องทั้งหมดและอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ เนื่องจาก OLPC ยังไม่ได้รับการทดสอบเลยว่าเหมาะสมกับเด็กไทยหรือไม่
ดร.ชิต เหล่าวัฒนา อาจารย์และผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม “ฟีโบ้ (FIBO)” ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ให้ข้อมูลว่า โครงการ One laptop per child นี้ เป็นโครงการที่ถือกำเนิดมาจากแนวคิดของ ศ.นิโคลัส นิโกรปอนเต ผู้ก่อตั้ง MIT Media Lap (Media Laboratory, Massachusetts Institute of Technology) คิดโครงการขึ้นมาร่วมกับสหประชาชาติ เพื่อให้เด็กๆ ทั่วโลกได้มีคอมพิวเตอร์ราคาถูกใช้เพื่อพัฒนาการเรียนรู้
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่นำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการศึกษาและเรียนรู้ที่มีประโยชน์มากสำหรับเด็กๆ ทั่วโลกรวมทั้งเด็กไทยด้วย ซึ่งขณะนี้มีหลายประเทศที่สนใจเข้าร่วมโครงการแล้วอาทิ บราซิล ไนจีเรีย อาร์เจนตินา ลิเบีย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องพึงระวังเมื่อไทยจะเข้าร่วมโครงการก็คือต้องวางแผนให้รัดกุมและมีการจัดการระดับชาติอย่างมีประสิทธิผล เนื่องจากขณะนี้โครงการยังอยู่ในขั้นของการศึกษาว่าเหมาะสมกับเด็กไทยหรือไม่ จึงยังชี้ชัดๆไม่ได้ว่า จะดำเนินเช่นไรให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษาของเด็กไทยมากที่สุด
“ผมเองในฐานะผู้ประสานงานโครงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่าง MIT และประเทศไทย ได้ตั้งทีมขึ้นมาดำเนินการ 3 ทีมด้วยกันเพื่อทำการศึกษา 3 เรื่องคือ หนึ่ง-ทางด้านเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส สอง-รูปลักษณ์เพื่อความสะดวกในการใช้งานในสภาพแวดล้อมของการศึกษาแบบไทย และสาม- การพัฒนาสื่อการเรียนรู้และการประยุกต์ใช้โน้ตบุ๊กนี้เพื่อการเรียนรู้แบบ Project Based และ Constructionism ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีแสวงหาความรู้ของผู้เรียน ตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ 2542”
“ในเดือนกันยายนนี้ ผมจะส่งทีมงาน 5 คน จาก เนคเทค ซิป้า และกระทรวงศึกษา ไปที่ MIT Media Lap เพื่อศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด จะได้บอกทาง MIT และผู้ผลิตได้อย่างชัดเจนถึงความต้องการของเรา จนเราได้เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่เหมาะสมกับเด็กไทยและสภาวะธรรมชาติการศึกษาของไทย”
ดร.ชิตอธิบายเพิ่มเติมว่า ในเดือนตุลาคมนี้จะมีการทดสอบทางเทคนิค (ในห้องประลอง) บนเครื่องต้นแบบ 20-30 เครื่อง ที่ MIT จะส่งให้ ส่วนในเดือนพฤศจิกายนเครื่องจริงจะถูกผลิตออกมา และจะจัดส่งมาให้ทดลองอีก 500 เครื่องในสภาพแวดล้อมจริงของเด็กไทยในโรงเรียนชนบทห่างไกล
ดังนั้น จึงต้อรอผลการศึกษาอีกระยะหนึ่งจึงจะสรุปรายงานออกมาได้ว่าเหมาะสมที่จะนำมาใช้ในเมืองไทยหรือไม่? หรือจะต้องดัดแปลงอย่างไรบ้าง ซึ่งทาง MIT ก็ยินดีจะ แก้ไขดัดแปลงตามข้อเสนอแนะ
“รายงานศึกษาที่ผมกล่าวถึงนี้คงแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน หากเราพบว่ายังไม่เหมาะหรือเร็วเกินไปที่ประเทศไทยจะดำเนินการโครงการนี้ ผมก็จำเป็นต้องรายงานรัฐบาลไปตรงๆ แม้โดยส่วนตัวผมคิดว่าโครงการนี้มีศักยภาพสูง”
“เท่าที่ทราบกระทรวงศึกษาฯ เตรียมร่างแผนงบประมาณสำหรับ 2 ล้านเครื่อง ปีแรก 1 ล้านเครื่อง และปีที่ 2 อีก 1 ล้านเครื่อง ก็ต้องบอกว่าเป็นเงินมากพอสมควร ประเทศไทยมิได้เป็นประเทศร่ำรวย คนไทยจึงต้องร่วมมือกันคิด อดทนทำงานให้หนัก และต้องประหยัด เมื่อจำเป็นต้องดำเนินการโครงการนี้แล้ว ผมอยากเห็นความต่อเนื่อง มิใช่ทำไปแล้ว แกนนำพรรคการเมืองจัดตั้งรัฐบาลเปลี่ยน แล้วเลิกโครงการ จะน่าเสียดายมากเลยครับ อย่านำโครงการไปโยงกับการเมืองเลยเพราะเมื่อการเมืองมีปัญหาผู้เสียประโยชน์ก็คือเด็กๆ อนาคตของชาติไทยนั่นเอง”
ดร.ชิตบอกด้วยว่า ทางออกทางหนึ่งสำหรับเรื่องนี้ก็คือ รัฐบาลไม่ควรรีบร้อนดำเนินการโครงการนี้หากเรายังไม่พร้อม หากมีประเทศอื่นๆที่คิดว่าพร้อมแล้วก็ให้เขาได้ใช้ก่อน เมื่อมองให้เห็นข้อดีแล้วประเทศไทยจะได้เรียนรู้ด้วยว่า เมื่อเครื่องถูกนำมาใช้งานจริงพบปัญหาอย่างไรบ้าง
“โน้ตบุ๊กไม่เหมือนหลอดไฟฟ้าที่หมุนเข้าเบ้าแล้วเปิดสวิตช์ได้แสงสว่างทันที หากเราโยนโน้ตบุ๊กให้เด็กๆ ใช้แล้วคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดประโยชน์โดยอัตโนมัติ ทางกระทรวงจึงกำชับทางทีมศึกษาชุดนี้ว่าต้องศึกษาจริงจนรู้ให้ลึก ผสาน ความคิดอย่างเป็นระบบ จึงจะสามารถจบด้วยการบูรณาการโน้ตบุ๊กนี้เข้าสู่การศึกษาไทยได้จนเป็นผลสำเร็จ เราต้องมั่นใจว่าผู้ใช้คือเด็กไทยพร้อมที่จะเรียนรู้หรือไม่ รวมทั้งครูผู้สอนเองก็ต้องทำความเข้าใจด้วย ตลอดจนระบบสื่อสารและข้อมูลพื้นฐานเพื่อการเรียนรู้ต้องได้รับการพัฒนาควบคู่กันไป”
นอกจากนี้ ทางทีมงานยังศึกษาเพิ่มเติมเรื่องการผลิตโน้ตบุ๊คในประเทศเนื่องจากไทยมีอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ที่แข็งแกร่งอยู่ ไม่ใช่แค่ซื้อหรือนำเข้าเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องคิดถึงเรื่องการผลิตด้วย เพราะถ้าหากสรุปว่าสามารถใช้ได้ผลดี ก็สามารถผลิตเครื่องให้ครบตามจำนวนเด็กไทยที่มีอยู่ประมาณ 10 ล้านคน หรือแม้กระทั่งผลิตเพื่อส่งออกไปขายต่อให้กับประเทศเพื่อนบ้านได้
ด้านพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา กรรมการสภาการศึกษาและอีกหลากหลายสถานะ ในฐานะเป็นบุคคลที่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างถึง ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า OLPC มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กๆ โดยเฉพาะในชนบทได้ใช้เรียนรู้ในลักษณะของ E-Book คือสามารถใช้ทดแทนหนังสือเรียน ใช้ทำการบ้าน รวมทั้งสามารถใช้ในการค้นหาข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่างๆ ได้ทั่วโลก เนื่องจากสามารถเชื่อมต่อกับดาวเทียมผ่านทาง Server ซึ่งก็มีราคา 100 เหรียญเช่นกัน
นอกจากนี้ OLPC ยังเป็นโน้ตบุ๊กที่เหมาะกับเด็กๆ ในชนบทที่ห่างไกล เพราะใช้ระบบ Wireless ที่ใช้เชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ตโดยตัวเชื่อมสัญญาณจะฝังอยู่ในตัวเครื่อง อีกทั้งระบบดังกล่าวยังสามารถส่งสัญญาณไปได้ไกลถึง 600 เมตร ถึงตัวข้างเคียงได้ ซึ่งหากโน้ตบุ๊dตัวหนึ่งเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตอยู่ จะสามารถส่งสัญญาณไปยังตัวอื่นเป็นทอดๆ ได้ นอกจากนี้ยังมีชุดปั่นไฟด้วยมือสำหรับพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ด้วย
แต่ประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ การทำให้โน้ตบุ๊กมีราคาถูกจะต้องผลิตจำนวนมากๆ ประมาณ 4-5 หมื่นเครื่องต่อปี ดังนั้น MIT Media Lap จึงชักชวนประเทศไทยเข้ามาเป็นเครือข่ายในการผลิตใช้เอง โดยพร้อมที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ ซึ่งไทยเองก็พร้อมจะเข้าร่วมโครงการด้วยถ้าได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ใช้ได้จริงกับการเรียนรู้ของเด็กไทย ไม่ใช่เป็นการขายเครื่องหรือต้องซื้อเครื่องแต่ประการใด
ส่วนอีกหนึ่งความเห็นที่น่าสนใจมาจาก “ครูยุ่น” มนตรี สินทวิชัย รักษาการสมาชิกวุฒิสภาสมุทรสงคราม และเลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก ที่บอกว่า ที่ผ่านมาปัญหาการศึกษาของไทย คือ ไม่มีความเสมอภาคทางการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นฐานการศึกษา ทั้งโรงเรียน ห้องเรียน อุปกรณ์การเรียน ครู หลักสูตรการสอน ภาพรวมทั่วประเทศไม่มีความเท่าเทียมและความเสมอภาคทางการศึกษา
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือการแจกโน้ตบุ๊กให้เด็กๆ จะทำให้เกิดความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางการศึกษาได้อย่างไร ตราบใดที่พื้นฐานด้านการศึกษาทั่วประเทศแตกต่างกันมาก บางโรงเรียนไม่มีแม้แต่งบประมาณจะซ่อมอาคารเรียน จนต้องทอดผ้าป่าเพื่อหาเงินมาซ่อมอาคารเรียน ทำไมจึงไม่สร้างโสตทัศนศึกษาที่ทันสมัย ที่เป็นพื้นที่ส่วนรวมซึ่งเด็กทุกคนใช้ด้วยกันได้