xs
xsm
sm
md
lg

ใช้ยาอย่างไรให้ถูกวิธี/เภสัชกรมนตรี สุวณิชย์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์สายตรงสุขภาพกับศิริราช

โดย...เภสัชกรมนตรี สุวณิชย์
ฝ่ายเภสัชกรรม รพ.ศิริราช


ปัจจุบันแม้วิทยาการทางการแพทย์เจริญก้าวหน้าไปมากและมีจำนวนแพทย์เพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อถึงยามเจ็บป่วย นอกจากแพทย์แล้ว ยา เป็นปัจจัยสำคัญที่เราใช้กันอย่างกว้างขวางทั้งซื้อมากินเอง หรือไปพบแพทย์ แต่การใช้ยาทุกครั้ง ต้องใช้ให้ถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยและหายขาดจากโรค เรามีคำตอบรออยู่จากใครหลายคนที่ถามเข้ามา


* ข้อแนะนำในการใช้ยาที่ถูกต้อง

หน้าซองที่จ่ายให้ผู้ป่วยจะมีกำหนดไว้ เมื่อผู้ป่วยได้รับยาไป ควรอ่านวิธีใช้ที่หน้าซองหรือขวด

ให้เข้าใจก่อนกลับบ้าน หรือให้ผู้ป่วยถามเภสัชกร บุคลากรทางการแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่ห้องยาอ่านให้ฟังให้เข้าใจเสียก่อน เพราะหากกลับบ้านไปแล้ว อ่านไม่เข้าใจ ต้องกลับมาโรงพยาบาล หรือบางทีไปกินยาผิด ก็อาจเป็นอันตรายได้

* ยกตัวอย่างข้อความที่ผู้ป่วยมักใช้สับสนเสมอๆ

ที่พบเสมอ เช่น 1 เม็ด ก่อนนอน หมายความว่าใช้ก่อนนอนเท่านั้น หรือการกินยาแก้ปวด แก้ไข้ จะเขียนไว้หน้าซองว่า กินทุก 4 ชั่วโมง หลัง 4 ชั่วโมงแรกแล้ว ถึงกินซ้ำอีกครั้ง และกินเวลาปวดเท่านั้น เมื่อหายแล้วไม่ต้องกิน หรือว่าเวลามีไข้ถึงจะกิน

ถ้าเป็นยาปฏิชีวนะ จะต้องกินยาให้หมด ถ้าเขียนที่หน้าซองว่า 1 เม็ด 3 เวลา หลังอาหาร และ ก่อนนอน มี 20 เม็ด ก็ต้องกินตามหน้าซอง และกินติดต่อกันทุกวันจนครบ 20 เม็ด เพราะถ้าเรากินไม่หมด พอค่อยยังชั่วก็หยุดยา ไม่กินให้ครบตามจำนวนที่แพทย์สั่ง อาจทำให้เกิดการดื้อยาได้ในภายหลัง

* กรณีที่เป็นหวัด ได้กินยาปฏิชีวนะแล้วหาย พอเป็นหวัดอีกจะไปซื้อยาอย่างเดิมมากินได้หรือไม่

ไม่ควร เพราะเราไปซื้อมา อาจซื้อได้ไม่ครบตามจำนวน หรือไม่เพียงพอที่จะทำให้โรคหายขาด

* มียาบางอย่างเขียนว่า ให้ดื่มน้ำตามมาก ๆ เพราะเหตุใด

ยาที่ดื่มน้ำตามมาก ๆ คือ ยาประเภทซัลฟา โดยทั่วไปจะทำให้เกิดการตกตะกอนของยาในไต การดื่มน้ำตามมาก ๆ จะเป็นการช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้น ทำให้ไม่เกิดการตกตะกอนในไต

* ยาผงมีวิธีการใช้อย่างไร

ยาจะเป็นรูปแบบยาที่ใช้ทันทีไม่ได้ ซึ่งยาผงมักจะสลายตัวง่าย ดังนั้น จะนำมาละลายเมื่อต้องการใช้ ซึ่งถ้าเป็นยาฉีดจะเป็นหน้าที่ของพยาบาล แต่ถ้าเป็นยาผงชนิดกินจะต้องละลายน้ำก่อนกิน โดยใช้น้ำสะอาดเป็นตัวทำละลาย ถ้าได้ยา 2 ขวด ทางโรงพยาบาลอาจจะผสมน้ำให้ 1 ขวด แต่อีกขวดจะให้ผู้ป่วยหรือญาติผสมเองเมื่อขวดแรกหมด ไม่ควรผสมไว้ล่วงหน้า เพราะยาจะเสื่อมคุณภาพ

* การกินยาก่อน-หลังอาหาร

ถ้าเป็นยาที่กินก่อนอาหาร ควรกินก่อนอาหารครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง แต่จำพวกยาย่อยอาหาร เราต้องกินพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที หรือยาบางพวกที่รบกวนกระเพาะอาหาร ได้แก่ ยาแก้ปวดต่าง ๆ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ต้องกินช่วงท้องไม่ว่าง เช่น หลังอาหาร แต่บางครั้งผู้ป่วยกินอาหารไม่ได้ ก็ให้ดื่มน้ำตามมาก ๆ หรืออาจดื่มน้ำข้าวต้ม นมก่อนกินยาพวกนี้ เพื่อป้องกันการระคายเคืองที่กระเพาะอาหาร ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง การที่เราดื่มนม หรือน้ำข้าวต้ม จะช่วยลดอาการระคายเคืองของกระเพาะได้ (เฉพาะสำหรับยาที่กินกับนมได้)

* นอกจากยาแก้หวัด แก้แพ้ที่ทำให้ง่วง มียาใดที่ต้องระวังในการกินอีกหรือ ไม่

มียาจำพวกระงับประสาท หรือยานอนหลับ ซึ่งมีข้อควรระวังคือ ในบางครั้งผู้ป่วยกินยานี้ดึกเกินไป บางทีตื่นขึ้นมา ฤทธิ์ยายังไม่หมดทำให้เกิดอาการมึนงง อาจมีความง่วงเหลืออยู่ เวลาที่ขับรถหรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรจึงต้องระวัง มีข้อควรระวังอีกคือ ยาทุกชนิดไม่ควรกินพร้อมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จะไปเสริมฤทธิ์ของยาทำให้เป็นอันตรายได้

* การใช้ยาภายนอกมีข้อควรปฏิบัติอย่างไร

การใช้ยาภายนอก ประการแรกคือ ยาผิวหนัง อาจเป็นน้ำ ครีม ผง ขี้ผึ้ง ก่อนใช้ต้องให้บริเวณผิวหนังที่ใช้สะอาด แล้วจึงทาหรือโรยยาลงไป ขี้ผึ้งให้ทาบาง ๆ การที่ทาหนา ๆ ไม่ทำให้เกิดประโยชน์ เป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์

* การใช้ยาเหน็บ มีวิธีอย่างไร

ยาเหน็บ บ้านเราเป็นเมืองร้อน บางครั้งได้รับยาไปถึงบ้านมันเหลวก่อนที่จะนำ ไปเหน็บ เราต้องทำให้ยาแข็งก่อนที่จะใช้ อาจแช่ในตู้เย็น หรือกระติกน้ำแข็ง เวลาจะเหน็บต้องอยู่ในท่านอน ลอกกระดาษออกแล้วเหน็บให้ลึกที่สุด และมือที่เหน็บต้องสะอาดด้วย

* นอกจากนี้ยังมียาภายนอกอะไรบ้าง

มียาหยอดตา หยอดหู ข้อปฏิบัติในการใช้ก็ต้องล้างมือให้สะอาดก่อนจะหยอด ตา โดยเฉพาะยาหยอด ก่อนหยอด มือต้องสะอาดมาก ๆ ถ้าเป็นยาพวกขี้ผึ้งให้บีบยา ประมาณครึ่งเซ็นติเมตร คลึงเบา ๆ อย่าให้ปลายหลอดถูกกับตา เสร็จแล้วปิดจุกให้แน่น และถึงแม้จะปิดจุกแน่น อย่างไรก็ตาม ยาที่เปิดจุกแล้ว ไม่ควรใช้เกิน 1 เดือน และยาน้ำให้หยด 1-2 หยด ยาตาไม่ควรใช้ร่วมกับผู้อื่น ยาหยอดหู ก่อนใช้ให้ทำความสะอาดหู โดยใช้สำลีเช็ดบริเวณภายในหู อย่าให้ลึกจะไปโดนหูส่วนใน หยอดยา 4-5 หยด เอียงศีรษะทิ้งไว้ครู่หนึ่ง ตั้งศีรษะตรงเช็ดยาส่วนที่อาจจะไหลออกมาให้ สะอาด

* วิธีใช้ยาอมใต้ลิ้น

ยาอมใต้ลิ้น จะกินไม่ได้ สังเกตว่าเวลาอมยานี้ จะรู้สึกซ่า ถ้าไม่ซ่าแสดงว่ายาหมดฤทธิ์ การเก็บยาประเภทนี้ ต้องอยู่ในขวดสีน้ำตาล อย่าให้ถูกแสง ปิดจุกให้แน่นและเก็บไว้ในที่เย็น เพราะยานี้ส่วนใหญ่จะ เป็นยาเกี่ยวกับโรคหัวใจจึงควรระวังเป็นพิเศษ

* กรณีที่ลืมกินยาบางมื้อ จะไปเพิ่มจำนวนยาในมื้อต่อไปได้หรือ ไม่ หรือในกรณีที่หลับไปก่อนจะทำอย่างไร

ห้ามเพิ่มยาหรือกินซ้ำ เพราะอาจทำให้ได้รับยาเกินขนาด มากเกินไปเป็นอันตรายได้

* เด็กที่กินยายาก ถ้าพ่อแม่จะผสมยาในนมได้หรือไม่

ยาที่ผสมกับนมได้มีเพียงบางชนิด ที่ผสมไม่ได้ เช่น ยาที่เข้าหลักพวกบำรุงโลหิต ถ้าผสมนมจะไม่ได้ผล การที่จะเอายาไปผสมนม ยังมีข้อเสียว่าถ้าเด็กดื่มนมไม่หมด ก็จะได้รับยาไม่ครบตามขนาดที่ต้องการ ถ้าจะเอายาผสมนม ก็ต้องให้เด็กดื่มนมให้หมด แต่ทางที่ดีแล้วอย่าผสมดีกว่าการให้ยา ถ้าผู้ป่วยนอนหลับ ก็เลื่อนเวลาไปนิดหน่อยให้ผู้ป่วยตื่นก่อน แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการรุนแรงก็ต้องพยายามให้ผู้ป่วยกินยาตรงตามเวลา ไม่เช่นนั้นโรคจะไม่หาย

* จะรู้ได้อย่างไรว่ายาเสีย

ยาที่เปลี่ยนสี หรือรูปร่าง ไม่ควรกิน เพราะอาจเสื่อมคุณภาพ หรือมีสารแปลกปลอมเกิดขึ้น ซึ่งอาจเป็นพิษได้ ยาที่ตกตะกอน ตัวยาแข็งไม่กระจาย ก็ไม่ควรกิน เพราะจะทำให้ได้รับยาไม่ตรงตามขนาดที่ต้องการ ยาเม็ดหรือ แคปซูลที่เปลี่ยนสี เม็ดเคลือบแตก มีลายเกิดขึ้น ก็ไม่ควรใช้เช่นกัน นอกจากนี้ยังสังเกตอายุของยาได้จากฉลากด้วย ถ้าไม่มีอายุระบุไว้ ให้ดูวันผลิต ถ้าเกิน 5 ปี แล้วไม่ควรใช้




ข้อแนะนำการใช้ยา

1. ยาก่อนอาหาร กินก่อนอาหารครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ยกเว้นยาบางชนิดที่มีข้อแนะนำพิเศษ

2. ยาหลังอาหาร กินหลังอาหารสิบห้านาทีถึงครึ่งชั่วโมง

3. ยาหลังอาหารทันที ให้กินหลังอาหารทันที เช่น ยาลดการอักเสบปวดข้อหรือกล้ามเนื้อ

4. ยาพร้อมอาหาร กินพร้อมอาหาร ในมื้อนั้นๆ

5. ยาผงผสมน้ำกินฆ่าเชื้อสำหรับเด็ก หลังจากผสมน้ำแล้วไม่ควรใช้เกิน 7 วัน ขณะที่ไม่ใช้ยา ควรเก็บยาในตู้เย็นชั้นใต้ช่องแข็งลงมา ห้ามเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง

6. ยาหยอดตา หลังเปิดใช้แล้ว จะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 เดือน โดยทั่วไปจะเก็บในตู้เย็นชั้นใต้ช่องแข็งลงมา ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง

7. ยาป้ายตา หลังเปิดใช้แล้วจะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 เดือน ในอุณหภูมิห้องปกติ

8. ยาเก็บในตู้เย็น เก็บในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส หรือชั้นใต้ช่องแข็งลงมา ห้ามเก็บในช่องแช่แข็ง

9. การเก็บรักษายาทั่วไป ควรเก็บไว้ในที่แห้ง และพ้นจากแสงแดด

10. อาการแพ้ยา หากกินยาแล้ว มีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น มีผื่นคันตามตัว มีจ้ำที่ผิวหนัง หน้ามืด แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หรือใจสั่น ให้หยุดยา และมาปรึกษาแพทย์ทันที
มีปัญหาการใช้ยา ปรึกษาเภสัชกร รพ.ศิริราช ตลอด 24 ชั่วโมง โทร. 0 2419 7007

ต้องการแสดงความคิดเห็นหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่
www.sirirajonline.com




20 ปี พบหมอศิริราช

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ร่วมกับ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด จัดงาน “20 ปี พบหมอศิริราช ใส่ใจเต้านม ห่วงใยต่อมลูกหมาก” ฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และครบ 20 ปี รายการโทรทัศน์พบหมอศิริราช ชมนิทรรศการ บริการตรวจสุขภาพ เสวนาพิเศษ พร้อมสาธิตตรวจเต้านมด้วยตนเอง สาธิตอาหารต้านมะเร็ง ดนตรี พร้อมเกมส์และของรางวัลตลอดงานฟรี วันที่ 17 – 19 สิงหาคม 2549 ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 บิ๊กซี ราชดำริ ตั้งแต่เวลา 11.00 -20.30 น. นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยยากไร้ด้อยโอกาสได้รับการผ่าตัดฟรีที่รพ.ศิริราช ประกอบด้วย มะเร็งเต้านม 60 ราย และมะเร็งต่อมลูกหมาก 60 ราย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0 2419 7646-9

ค่ายเส้นทางสู่หมอศิริราช

สัมผัสชีวิตหมอศิริราชในค่ายเส้นทางสู่หมอศิริราช ’49 รับสมัครนักเรียน ม.ปลาย (สายวิทย์) วันนี้จนถึง 18 สิงหาคม 2549 ครั้งที่ 1 วันที่ 14-15 ตุลาคม 2549 ครั้งที่ 2 วันที่ 28-29 ตุลาคม 2549 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0 2419 6442-4 หรือทาง www.siriraj.net/ e-mail: simc_consult@hotmail.com
กำลังโหลดความคิดเห็น