โครงการขายฝันของรัฐบาล “ทักษิณ” ที่ไล่หาคะแนนเสียงจากประชาชนรากหญ้าด้วยนโยบายประชานิยมหลากหลายโครงการ ระยะแรกเริ่มตั้งท่าว่าจะไปได้ดีหลายโครงการ แต่ครั้นนานวันเข้า โครงการที่ผุดขึ้นมาในช่วงรัฐบาลขาขึ้นเพื่อตักตวงเอาคะแนนนิยม ก็เริ่มจะปรากฏปัญหาให้เห็น

“1 อำเภอ 1 โรงเรียนในฝัน” เป็นโครงการหนึ่งที่ดำริขึ้นในรัฐบาลทักษิณ เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2546 โดยคัดเลือกโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาหรือประถมศึกษาอำเภอละ 1 โรงเรียน ให้ชุมชนเข้ามามีส่วนคัดเลือกโรงเรียนเข้าสู่โครงการด้วย ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากโรงเรียนเป็นหลัก และจะต้องเป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนเข้าเรียนไม่น้อยเกินไป ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ได้คัดเลือกโรงเรียนจาก 795 อำเภอ 81 กิ่งอำเภอ และ 45 เขตในกรุงเทพมหานคร รวมทั้งสิ้น 921 โรงเรียน ด้วยระยะเวลาดำเนินการวางไว้ 3 ปี
สำหรับโรงเรียนที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าโครงการโรงเรียนในฝัน จะได้รับงบประมาณสำหรับดำเนินการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการเรียนการสอนในชั้นเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเอาสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในการศึกษาให้มากยิ่งขึ้น
ทว่า 3 ปีที่ผ่านมา โครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนในฝัน กลับกลายเป็นฝันร้ายสำหรับผู้บริหารโรงเรียน เมื่อต้องแบกรับภาระหนี้สิน ที่เกิดจากการพัฒนาโรงเรียนให้เป็นไปตามที่ ศธ.ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวได้กลายเป็นชนวนเหตุให้ผู้บริหารสถานศึกษาในโครงการฯ แห่งหนึ่ง ตัดสินใจลาโลกเพื่อหนีปัญหาหนี้สินของโรงเรียนมาแล้ว

ฝันร้ายของผู้บริหารหนี้บานเบอะ
โสภณ รัตนา ผู้อำนวยการโรงเรียนพยุห์วิทยา จ. ศรีสะเกษ หนึ่งในผู้บริหารโรงเรียนในฝัน กล่าวถึงการดำเนินโครงการโรงเรียนในฝันว่า หลักการของโรงเรียนในฝันถือเป็นโครงการที่ดี ที่ต้องการพัฒนาสถานศึกษาให้มีคุณภาพมาตรฐาน แต่ปัญหาที่พบคือรัฐบาลไม่ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณแก่โรงเรียนในฝันมากพอ ขณะที่ตั้งมาตรฐานการพัฒนาโรงเรียนไว้สูง โดยเฉพาะการนำสื่อเทคโนโยลีสารสนเทศเข้ามาใช้ในการเรียนการสอน โดยให้โรงเรียนใช้วิธีระดมทรัพยากรจากชุมชนเป็นหลัก
“3 ปีที่ผ่านมาโรงเรียนในฝันแต่ละแห่งได้รับงบประมาณจากรัฐบาลไม่มาก ประมาณ 1 ล้านบาทสำหรับโรงเรียนขนาดกลาง โดยให้ผู้บริหารระดมทรัพยากรจากชุมชนแทนการรอรับงบประมาณจากภาครัฐ วัสดุอุปกรณ์การเรียนการสอนก็ให้การระดมทรัพยากรเช่นเดียวกัน แต่การให้เอกชนเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหรืออุปถัมภ์โรงเรียนเช่นนี้ จะไม่ใช่การสนับสนุนแบบต่อเนื่อง มักจะสนับสนุนแค่เพียงปีเดียวก็เลิกไป และที่เกิดปัญหามากคือโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ไม่มีเอกชนเข้าไปให้การสนับสนุน”
การแก้ปัญหาไม่มีภาคเอกชนเข้ามาให้การสนับสนุนทรัพยากรของผู้บริหารโรงเรียนฝันนั้น ผู้อำนวยการโรงเรียนพยุห์วิทยาเปิดเผยว่า ผู้บริหารสถานศึกษาหลายคนในโครงการโรงเรียนในฝัน ใช้วิธีการไปซื้อสินค้า เช่น คอมพิวเตอร์ วัสดุอุปกรณ์การเรียนการสอนด้วยระบบเงินเชื่อมาก่อน หลังจากนั้นก็จะระดมทุนด้วยการจัดทอดผ้าป่าการศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่มักจะได้เงินไม่เพียงพอกับหนี้สินที่ก่อไว้กับร้านค้า
“ขณะนี้มีโรงเรียนในฝันจำนวน 37 โรง ที่จะขอถ่ายโอนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) โดยสถานศึกษาเหล่านี้มีหนี้สินตั้งแต่ 8-12 ล้านบาท รวม 37 โรงมีหนี้สินทั้งหมด 132 ล้านบาท ซึ่งหนี้สินที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ เกิดจากการสร้างห้องปฏิบัติการต่างๆ เช่น ห้องเรียนอีเลิร์นนิ่ง ห้องคอมพิวเตอร์ ปรับปรุงห้องสมุด ขยายเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไป เพื่อให้ผ่านการประเมินตามเกณฑ์ของโรงเรียนในฝัน โดยทางโรงเรียนต้องกระเสือกกระสนหาเงินมาดำเนินการเองทั้งหมด ขณะที่งบประมาณจากรัฐก็จะได้รับการอุดหนุนตามรายหัวเด็กนักเรียนเท่านั้น”
ไม่เพียงแต่ประสบปัญหาเรื่องงบประมาณเท่านั้น หากแต่โรงเรียนในฝันหลายแห่งต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนครู โรงเรียนพยุห์วิทยา ก็เช่นเดียวกัน ครูผู้สอน 4 คนถูกดึงตัวไปช่วยราชการโดยไม่มีตำแหน่งทดแทนให้ ทำให้ต้องใช้ครูในสาขาวิชาอื่นๆ ไปทำการสอนแทน ซึ่งก็ไม่มีความเชี่ยวชาญเหมือนกับครูประจำวิชานั้นๆ และเป็นการเพิ่มภาระงานให้กับครูที่อยู่ในโรงเรียนด้วย
“สภาพปัญหาการขาดงบประมาณและขาดบุคลากรที่เกิดขึ้นกับโรงเรียนในฝันเช่นนี้ จะทำให้โครงการนี้อยู่ไม่นาน และจำนวนโรงเรียน 921 โรงที่อยู่ในโครงการทั้งหมด ก็มีจำนวนมากเกินไป ผมอยากให้มองเรื่องความยั่งยืนมากกว่าจำนวนโรงเรียน แม้ว่าเราจะมีโรงเรียนในฝันจำนวนน้อย แต่ทำแล้วสัมฤทธิผลก็สามารถใช้โรงเรียนเหล่านั้นเป็นต้นแบบได้ และรัฐบาลต้องยอมทุ่มงบประมาณเพื่อสร้างโรงเรียนในฝันจริงๆ จะหวังงบฯ จากภาคเอกชนไม่ได้ จะให้ทอดผ้าป่าทุกปี ได้ปีละ 2-3 แสนบาท เมื่อไหร่จะใช้หนี้หมด ผมเชื่อว่ายังมีโรงเรียนในฝันอีกหลายแห่งที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน”
อย่างไรก็ตาม ผอ.โรงเรียนพยุห์วิทยา ยอมรับว่าการลงทุนที่ทุ่มให้แก่โรงเรียนในฝันส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กในโรงเรียนดีขึ้น และทำให้เด็กใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการศึกษาเป็น รวมถึงผู้ปกครองต่างพึงพอใจกับการจัดการศึกษาของโรงเรียนด้วย

ผลสัมฤทธิ์การเรียนต่ำต้องรับแขก
อำนวย พลมณี ผู้อำนวยการโรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร จ.ชัยภูมิ โรงเรียนในฝัน และอยู่ในโครงการเร่งสู่ฝัน ระบุว่า ได้ลงทุนพัฒนาโรงเรียนไป 12 ล้านบาท เนื่องจากทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ได้จัดให้โรงเรียนในฝันบางแห่งเป็นโรงเรียนเร่งสู่ฝันทั้งหมด 3 รุ่น เมื่อรุ่นที่ 1 ผ่านการประเมินไปแล้ว ก็ให้รุ่นที่ 2 รุ่นที่ 3 พัฒนาโรงเรียนโดยใช้รูปแบบเดียวกับโรงเรียนเร่งสู่ฝันรุ่นแรก
“ เราทำตามโรงเรียนต้นแบบ ขณะเดียวกัน สพฐ.ก็บอกว่า หากโรงเรียนผ่านเกณฑ์การประเมินไปแล้วจะได้รับงบประมาณ 5 ล้านบาท เราก็พยายามทำให้ผ่านเกณฑ์แต่ปรากฏว่าไม่มีงบฯ ลงมาเลย เงินอุดหนุนรายหัวที่ได้รับมาก็ต้องเอาไปใช้หนี้ อัตราครูก็ขาดแคลน เราก็ต้องใช้วิธีเก็บเงินเพิ่มจากผู้ปกครองเพื่อจ้างครูอัตราจ้าง แล้วทำหนังสือชี้แจงให้ทราบ หากไม่ทำเช่นนี้อัตราครูของเราก็ไม่เพียงพอ”
สำหรับโรงเรียนจัตุรัสวิทยาคารนั้น แม้ว่าจะผ่านเกณฑ์การประเมินในกลุ่มโรงเรียนเร่งสู่ฝันไปแล้ว แต่จากการเปิดเผยของผู้บริหารสถานศึกษา กลับพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนออกมาต่ำลงกว่าเดิม
“เพราะเราไม่มีเวลาไปเน้นเรื่องคุณภาพการศึกษาของเด็กอย่างแท้จริง มัวแต่เร่งลงทุนสร้างห้องปฏิบัติการ เร่งทำแฟ้มผลงาน เพื่อให้ผ่านเกณฑ์การประเมิน และเมื่อผ่านการประเมินไปแล้วก็ต้องคอยรับแขก เพราะมีคณะเข้ามาดูงานตลอด เด็กๆ ก็ต้องคอยมาตอบคำถาม ทำให้เรียนได้ไม่เต็มที่”
ผู้อำนวยการโรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร กล่าวอีกว่า เมื่อทางโรงเรียนยังมีหนี้สินผูกพันเช่นนี้ งบประมา ณที่ได้รับซึ่งน้อยอยู่แล้วส่วนหนึ่งก็ต้องนำไปใช้หนี้ เพราะฉะนั้นในช่วงเวลาหลังจากนี้หากไม่มีเอกชนเข้ามาสนับสนุนงบประมาณ โรงเรียนในฝันหลายแห่งก็ต้องชะงักการพัฒนาลงเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ก่อน ซึ่งรัฐบาลควรจะมองถึงความยั่งยืนของการพัฒนาการศึกษามากกว่าจำนวนโรงเรียนในฝันที่ผ่านการประเมิน
ยืนยันมั่นใจฝันไม่สลาย
ด้าน ปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งรับผิดชอบดูแลโครงการโรงเรียนในฝัน เปิดเผยว่า โครงการโรงเรียนในฝันที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2546 ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะสามารถทำในสิ่งที่ ศธ.พยายามจะทำมาโดยตลอดแต่ไม่สำเร็จได้เป็นอย่างดี นั่นคือการสร้างความร่วมมือระหว่างชุมชนกับสถานศึกษา เพราะที่ผ่านมาการจัดการศึกษาเป็นหน้าที่ของโรงเรียนแต่ฝ่ายเดียว โดยชุมชนไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วม แต่เมื่อมีโครงการโรงเรียนฝัน สมาคมศิษย์เก่า สมาคมผู้ปกครองและครู องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนต่างเข้ามาสนับสนุนด้านการศึกษาและระดมสมองร่วมกัน
“เราสามารถเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนของครูที่ใช้แต่ตำราเรียนเพียงอย่างเดียว มาใช้สื่อเทคโนโยลีสารสนเทศได้ ครูสามารถสร้างหลักสูตรของตัวเองได้เอง ใช้สื่อจากอินเทอร์เน็ต ภาพยนตร์ ที่สำคัญเราสามารถสร้างบรรยากาศในโรงเรียนให้เป็นบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวและมีกิจกรรมเสริมนอกหลักสูตร สิ่งเหล่านี้ถือเป็นความสำเร็จที่โรงเรียนในฝันทำได้ในระบบการศึกษาที่พยายามทำกันมาตลอดแต่ไม่เคยสำเร็จ”

แม้ว่าโครงการโรงเรียนในฝันจะประสบความสำเร็จ แต่ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ก็ยอมรับว่า โรงเรียนในฝันยังประสบปัญหาเรื่องงบประมาณอย่างที่ผู้บริหารสถานศึกษาหลายๆ แห่งระบุจริง ซึ่งคณะกรรมการบริหารโครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนในฝัน ได้พยายามแก้ปัญหาโดยหาผู้สนับสนุนงบประมาณให้สำหรับโรงเรียนที่มีปัญหา
“ยอมรับว่าโรงเรียนในฝันหลายแห่งเป็นหนี้ เพราะไปซื้ออุปกรณ์เทคโนโลยีจากร้านค้าด้วยระบบเงินเชื่อ และงบประมาณที่ได้รับจากรัฐก็ไม่เพียงพอ แต่ทุกโรงเรียนสามารถใช้หนี้ได้หมดในปีต่อมา มีเพียงประมาณ 10 กว่าโรง ที่มีหนี้สินจำนวนมาก เพราะโรงเรียนเหล่านี้ไปลงทุนกับอาคาร ถนน และสิ่งก่อสร้างซึ่งเราไม่ได้ต้องการให้ลงทุนกับเรื่องเหล่านั้น เราต้องการให้ลงทุนกับการพัฒนาการเรียนการสอนของนักเรียน แต่เมื่อทำไปแล้วก็พยายามจะช่วยเหลือให้มากที่สุด และได้กำชับไปว่าโรงเรียนอื่นๆ ต้องไม่ไปก่อสร้างอะไรแบบนี้ เพราะหากจะก่อสร้างต้องไปใช้งบฯ กลางของกระทรวงศึกษาฯ เป็นคนละส่วนกับโรงเรียนในฝัน”
นอกเหนือจากปัญหาเรื่องงบประมาณแล้ว โรงเรียนในฝันยังมีปัญหาเรื่องขาดแคลนครูซึ่ง นายปิยะบุตร เปิดเผยว่า เป็นปัญหาภาพรวมของการศึกษาไทยทั้งระบบ สำหรับโรงเรียนในฝันใช้วิธีจ้างครูทดแทน ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นอุปสรรคสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้โครงการโรงเรียนในฝันไม่ราบรื่นเท่าที่ควร
“ตอนนี้โรงเรียนในฝันผ่านการประเมินไปแล้วประมาณ 500 กว่าโรง ที่เหลืออีกประมาณ 300 กว่าโรงที่ยังไม่ผ่านการประเมินนั้น ส่วนใหญ่อยู่ในเขตพื้นที่การศึกษา 3-6 ซึ่งเป็นพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร ซึ่งคณะกรรมการบริหารฯ ได้พยายามเจรจาขอทุนสนับสนุนจากภาคเอกชน โดยหลายแห่งยินดีให้การสนับสนุน เช่นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็รับปากที่จะให้ทุนสนับสนุนมาแล้ว แต่เชื่อมั่นว่าโรงเรียนที่ตกค้างอยู่จะผ่านการประเมินได้อย่างแน่นอนในที่สุด”
ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ย้ำอีกว่า เมื่อพิจารณาคะแนนการสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือโอเน็ตแล้วพบว่า นักเรียนจากโรงเรียนในฝันหลายแห่งสามารถทำคะแนนได้ดีเป็นที่น่าพอใจ ขณะเดียวกันโรงเรียนซึ่งไม่เคยมีนักเรียนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้มาก่อน ก็มีเด็กสามารถผ่านเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาได้เมื่อเข้าสู่โครงการโรงเรียนในฝัน
“โรงเรียนในฝันจะยั่งยืนไหม คงต้องเป็นหน้าที่ของผู้บริหารสถานศึกษา และข้าราชการประจำ เพราะพวกผมมาแล้วก็ไป แต่พวกเขายังอยู่ตรงนี้ตลอด ที่สุดแล้วโรงเรียนเหล่านี้ต้องสามารถบริหารงานได้โดยตนเอง ยืนยันว่าโรงเรียนในฝันรุ่นที่ 2 ยังคงดำเนินการต่อไปอย่างแน่นอน โดยขณะนี้ได้เริ่มคัดเลือกโรงเรียนเพื่อเข้าโครงการโรงเรียนในฝันรุ่นที่ 2 แล้ว”ผู้ช่วย รมว.ศธ.กล่าวทิ้งท้าย
“1 อำเภอ 1 โรงเรียนในฝัน” เป็นโครงการหนึ่งที่ดำริขึ้นในรัฐบาลทักษิณ เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2546 โดยคัดเลือกโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาหรือประถมศึกษาอำเภอละ 1 โรงเรียน ให้ชุมชนเข้ามามีส่วนคัดเลือกโรงเรียนเข้าสู่โครงการด้วย ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากโรงเรียนเป็นหลัก และจะต้องเป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนเข้าเรียนไม่น้อยเกินไป ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ได้คัดเลือกโรงเรียนจาก 795 อำเภอ 81 กิ่งอำเภอ และ 45 เขตในกรุงเทพมหานคร รวมทั้งสิ้น 921 โรงเรียน ด้วยระยะเวลาดำเนินการวางไว้ 3 ปี
สำหรับโรงเรียนที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าโครงการโรงเรียนในฝัน จะได้รับงบประมาณสำหรับดำเนินการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการเรียนการสอนในชั้นเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเอาสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในการศึกษาให้มากยิ่งขึ้น
ทว่า 3 ปีที่ผ่านมา โครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนในฝัน กลับกลายเป็นฝันร้ายสำหรับผู้บริหารโรงเรียน เมื่อต้องแบกรับภาระหนี้สิน ที่เกิดจากการพัฒนาโรงเรียนให้เป็นไปตามที่ ศธ.ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวได้กลายเป็นชนวนเหตุให้ผู้บริหารสถานศึกษาในโครงการฯ แห่งหนึ่ง ตัดสินใจลาโลกเพื่อหนีปัญหาหนี้สินของโรงเรียนมาแล้ว
ฝันร้ายของผู้บริหารหนี้บานเบอะ
โสภณ รัตนา ผู้อำนวยการโรงเรียนพยุห์วิทยา จ. ศรีสะเกษ หนึ่งในผู้บริหารโรงเรียนในฝัน กล่าวถึงการดำเนินโครงการโรงเรียนในฝันว่า หลักการของโรงเรียนในฝันถือเป็นโครงการที่ดี ที่ต้องการพัฒนาสถานศึกษาให้มีคุณภาพมาตรฐาน แต่ปัญหาที่พบคือรัฐบาลไม่ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณแก่โรงเรียนในฝันมากพอ ขณะที่ตั้งมาตรฐานการพัฒนาโรงเรียนไว้สูง โดยเฉพาะการนำสื่อเทคโนโยลีสารสนเทศเข้ามาใช้ในการเรียนการสอน โดยให้โรงเรียนใช้วิธีระดมทรัพยากรจากชุมชนเป็นหลัก
“3 ปีที่ผ่านมาโรงเรียนในฝันแต่ละแห่งได้รับงบประมาณจากรัฐบาลไม่มาก ประมาณ 1 ล้านบาทสำหรับโรงเรียนขนาดกลาง โดยให้ผู้บริหารระดมทรัพยากรจากชุมชนแทนการรอรับงบประมาณจากภาครัฐ วัสดุอุปกรณ์การเรียนการสอนก็ให้การระดมทรัพยากรเช่นเดียวกัน แต่การให้เอกชนเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหรืออุปถัมภ์โรงเรียนเช่นนี้ จะไม่ใช่การสนับสนุนแบบต่อเนื่อง มักจะสนับสนุนแค่เพียงปีเดียวก็เลิกไป และที่เกิดปัญหามากคือโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ไม่มีเอกชนเข้าไปให้การสนับสนุน”
การแก้ปัญหาไม่มีภาคเอกชนเข้ามาให้การสนับสนุนทรัพยากรของผู้บริหารโรงเรียนฝันนั้น ผู้อำนวยการโรงเรียนพยุห์วิทยาเปิดเผยว่า ผู้บริหารสถานศึกษาหลายคนในโครงการโรงเรียนในฝัน ใช้วิธีการไปซื้อสินค้า เช่น คอมพิวเตอร์ วัสดุอุปกรณ์การเรียนการสอนด้วยระบบเงินเชื่อมาก่อน หลังจากนั้นก็จะระดมทุนด้วยการจัดทอดผ้าป่าการศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่มักจะได้เงินไม่เพียงพอกับหนี้สินที่ก่อไว้กับร้านค้า
“ขณะนี้มีโรงเรียนในฝันจำนวน 37 โรง ที่จะขอถ่ายโอนไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) โดยสถานศึกษาเหล่านี้มีหนี้สินตั้งแต่ 8-12 ล้านบาท รวม 37 โรงมีหนี้สินทั้งหมด 132 ล้านบาท ซึ่งหนี้สินที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ เกิดจากการสร้างห้องปฏิบัติการต่างๆ เช่น ห้องเรียนอีเลิร์นนิ่ง ห้องคอมพิวเตอร์ ปรับปรุงห้องสมุด ขยายเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าไป เพื่อให้ผ่านการประเมินตามเกณฑ์ของโรงเรียนในฝัน โดยทางโรงเรียนต้องกระเสือกกระสนหาเงินมาดำเนินการเองทั้งหมด ขณะที่งบประมาณจากรัฐก็จะได้รับการอุดหนุนตามรายหัวเด็กนักเรียนเท่านั้น”
ไม่เพียงแต่ประสบปัญหาเรื่องงบประมาณเท่านั้น หากแต่โรงเรียนในฝันหลายแห่งต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนครู โรงเรียนพยุห์วิทยา ก็เช่นเดียวกัน ครูผู้สอน 4 คนถูกดึงตัวไปช่วยราชการโดยไม่มีตำแหน่งทดแทนให้ ทำให้ต้องใช้ครูในสาขาวิชาอื่นๆ ไปทำการสอนแทน ซึ่งก็ไม่มีความเชี่ยวชาญเหมือนกับครูประจำวิชานั้นๆ และเป็นการเพิ่มภาระงานให้กับครูที่อยู่ในโรงเรียนด้วย
“สภาพปัญหาการขาดงบประมาณและขาดบุคลากรที่เกิดขึ้นกับโรงเรียนในฝันเช่นนี้ จะทำให้โครงการนี้อยู่ไม่นาน และจำนวนโรงเรียน 921 โรงที่อยู่ในโครงการทั้งหมด ก็มีจำนวนมากเกินไป ผมอยากให้มองเรื่องความยั่งยืนมากกว่าจำนวนโรงเรียน แม้ว่าเราจะมีโรงเรียนในฝันจำนวนน้อย แต่ทำแล้วสัมฤทธิผลก็สามารถใช้โรงเรียนเหล่านั้นเป็นต้นแบบได้ และรัฐบาลต้องยอมทุ่มงบประมาณเพื่อสร้างโรงเรียนในฝันจริงๆ จะหวังงบฯ จากภาคเอกชนไม่ได้ จะให้ทอดผ้าป่าทุกปี ได้ปีละ 2-3 แสนบาท เมื่อไหร่จะใช้หนี้หมด ผมเชื่อว่ายังมีโรงเรียนในฝันอีกหลายแห่งที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน”
อย่างไรก็ตาม ผอ.โรงเรียนพยุห์วิทยา ยอมรับว่าการลงทุนที่ทุ่มให้แก่โรงเรียนในฝันส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กในโรงเรียนดีขึ้น และทำให้เด็กใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการศึกษาเป็น รวมถึงผู้ปกครองต่างพึงพอใจกับการจัดการศึกษาของโรงเรียนด้วย
ผลสัมฤทธิ์การเรียนต่ำต้องรับแขก
อำนวย พลมณี ผู้อำนวยการโรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร จ.ชัยภูมิ โรงเรียนในฝัน และอยู่ในโครงการเร่งสู่ฝัน ระบุว่า ได้ลงทุนพัฒนาโรงเรียนไป 12 ล้านบาท เนื่องจากทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ได้จัดให้โรงเรียนในฝันบางแห่งเป็นโรงเรียนเร่งสู่ฝันทั้งหมด 3 รุ่น เมื่อรุ่นที่ 1 ผ่านการประเมินไปแล้ว ก็ให้รุ่นที่ 2 รุ่นที่ 3 พัฒนาโรงเรียนโดยใช้รูปแบบเดียวกับโรงเรียนเร่งสู่ฝันรุ่นแรก
“ เราทำตามโรงเรียนต้นแบบ ขณะเดียวกัน สพฐ.ก็บอกว่า หากโรงเรียนผ่านเกณฑ์การประเมินไปแล้วจะได้รับงบประมาณ 5 ล้านบาท เราก็พยายามทำให้ผ่านเกณฑ์แต่ปรากฏว่าไม่มีงบฯ ลงมาเลย เงินอุดหนุนรายหัวที่ได้รับมาก็ต้องเอาไปใช้หนี้ อัตราครูก็ขาดแคลน เราก็ต้องใช้วิธีเก็บเงินเพิ่มจากผู้ปกครองเพื่อจ้างครูอัตราจ้าง แล้วทำหนังสือชี้แจงให้ทราบ หากไม่ทำเช่นนี้อัตราครูของเราก็ไม่เพียงพอ”
สำหรับโรงเรียนจัตุรัสวิทยาคารนั้น แม้ว่าจะผ่านเกณฑ์การประเมินในกลุ่มโรงเรียนเร่งสู่ฝันไปแล้ว แต่จากการเปิดเผยของผู้บริหารสถานศึกษา กลับพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนออกมาต่ำลงกว่าเดิม
“เพราะเราไม่มีเวลาไปเน้นเรื่องคุณภาพการศึกษาของเด็กอย่างแท้จริง มัวแต่เร่งลงทุนสร้างห้องปฏิบัติการ เร่งทำแฟ้มผลงาน เพื่อให้ผ่านเกณฑ์การประเมิน และเมื่อผ่านการประเมินไปแล้วก็ต้องคอยรับแขก เพราะมีคณะเข้ามาดูงานตลอด เด็กๆ ก็ต้องคอยมาตอบคำถาม ทำให้เรียนได้ไม่เต็มที่”
ผู้อำนวยการโรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร กล่าวอีกว่า เมื่อทางโรงเรียนยังมีหนี้สินผูกพันเช่นนี้ งบประมา ณที่ได้รับซึ่งน้อยอยู่แล้วส่วนหนึ่งก็ต้องนำไปใช้หนี้ เพราะฉะนั้นในช่วงเวลาหลังจากนี้หากไม่มีเอกชนเข้ามาสนับสนุนงบประมาณ โรงเรียนในฝันหลายแห่งก็ต้องชะงักการพัฒนาลงเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ก่อน ซึ่งรัฐบาลควรจะมองถึงความยั่งยืนของการพัฒนาการศึกษามากกว่าจำนวนโรงเรียนในฝันที่ผ่านการประเมิน
ยืนยันมั่นใจฝันไม่สลาย
ด้าน ปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งรับผิดชอบดูแลโครงการโรงเรียนในฝัน เปิดเผยว่า โครงการโรงเรียนในฝันที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2546 ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะสามารถทำในสิ่งที่ ศธ.พยายามจะทำมาโดยตลอดแต่ไม่สำเร็จได้เป็นอย่างดี นั่นคือการสร้างความร่วมมือระหว่างชุมชนกับสถานศึกษา เพราะที่ผ่านมาการจัดการศึกษาเป็นหน้าที่ของโรงเรียนแต่ฝ่ายเดียว โดยชุมชนไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วม แต่เมื่อมีโครงการโรงเรียนฝัน สมาคมศิษย์เก่า สมาคมผู้ปกครองและครู องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนต่างเข้ามาสนับสนุนด้านการศึกษาและระดมสมองร่วมกัน
“เราสามารถเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนของครูที่ใช้แต่ตำราเรียนเพียงอย่างเดียว มาใช้สื่อเทคโนโยลีสารสนเทศได้ ครูสามารถสร้างหลักสูตรของตัวเองได้เอง ใช้สื่อจากอินเทอร์เน็ต ภาพยนตร์ ที่สำคัญเราสามารถสร้างบรรยากาศในโรงเรียนให้เป็นบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวและมีกิจกรรมเสริมนอกหลักสูตร สิ่งเหล่านี้ถือเป็นความสำเร็จที่โรงเรียนในฝันทำได้ในระบบการศึกษาที่พยายามทำกันมาตลอดแต่ไม่เคยสำเร็จ”
แม้ว่าโครงการโรงเรียนในฝันจะประสบความสำเร็จ แต่ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ก็ยอมรับว่า โรงเรียนในฝันยังประสบปัญหาเรื่องงบประมาณอย่างที่ผู้บริหารสถานศึกษาหลายๆ แห่งระบุจริง ซึ่งคณะกรรมการบริหารโครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนในฝัน ได้พยายามแก้ปัญหาโดยหาผู้สนับสนุนงบประมาณให้สำหรับโรงเรียนที่มีปัญหา
“ยอมรับว่าโรงเรียนในฝันหลายแห่งเป็นหนี้ เพราะไปซื้ออุปกรณ์เทคโนโลยีจากร้านค้าด้วยระบบเงินเชื่อ และงบประมาณที่ได้รับจากรัฐก็ไม่เพียงพอ แต่ทุกโรงเรียนสามารถใช้หนี้ได้หมดในปีต่อมา มีเพียงประมาณ 10 กว่าโรง ที่มีหนี้สินจำนวนมาก เพราะโรงเรียนเหล่านี้ไปลงทุนกับอาคาร ถนน และสิ่งก่อสร้างซึ่งเราไม่ได้ต้องการให้ลงทุนกับเรื่องเหล่านั้น เราต้องการให้ลงทุนกับการพัฒนาการเรียนการสอนของนักเรียน แต่เมื่อทำไปแล้วก็พยายามจะช่วยเหลือให้มากที่สุด และได้กำชับไปว่าโรงเรียนอื่นๆ ต้องไม่ไปก่อสร้างอะไรแบบนี้ เพราะหากจะก่อสร้างต้องไปใช้งบฯ กลางของกระทรวงศึกษาฯ เป็นคนละส่วนกับโรงเรียนในฝัน”
นอกเหนือจากปัญหาเรื่องงบประมาณแล้ว โรงเรียนในฝันยังมีปัญหาเรื่องขาดแคลนครูซึ่ง นายปิยะบุตร เปิดเผยว่า เป็นปัญหาภาพรวมของการศึกษาไทยทั้งระบบ สำหรับโรงเรียนในฝันใช้วิธีจ้างครูทดแทน ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นอุปสรรคสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้โครงการโรงเรียนในฝันไม่ราบรื่นเท่าที่ควร
“ตอนนี้โรงเรียนในฝันผ่านการประเมินไปแล้วประมาณ 500 กว่าโรง ที่เหลืออีกประมาณ 300 กว่าโรงที่ยังไม่ผ่านการประเมินนั้น ส่วนใหญ่อยู่ในเขตพื้นที่การศึกษา 3-6 ซึ่งเป็นพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร ซึ่งคณะกรรมการบริหารฯ ได้พยายามเจรจาขอทุนสนับสนุนจากภาคเอกชน โดยหลายแห่งยินดีให้การสนับสนุน เช่นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็รับปากที่จะให้ทุนสนับสนุนมาแล้ว แต่เชื่อมั่นว่าโรงเรียนที่ตกค้างอยู่จะผ่านการประเมินได้อย่างแน่นอนในที่สุด”
ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ย้ำอีกว่า เมื่อพิจารณาคะแนนการสอบแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานหรือโอเน็ตแล้วพบว่า นักเรียนจากโรงเรียนในฝันหลายแห่งสามารถทำคะแนนได้ดีเป็นที่น่าพอใจ ขณะเดียวกันโรงเรียนซึ่งไม่เคยมีนักเรียนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้มาก่อน ก็มีเด็กสามารถผ่านเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาได้เมื่อเข้าสู่โครงการโรงเรียนในฝัน
“โรงเรียนในฝันจะยั่งยืนไหม คงต้องเป็นหน้าที่ของผู้บริหารสถานศึกษา และข้าราชการประจำ เพราะพวกผมมาแล้วก็ไป แต่พวกเขายังอยู่ตรงนี้ตลอด ที่สุดแล้วโรงเรียนเหล่านี้ต้องสามารถบริหารงานได้โดยตนเอง ยืนยันว่าโรงเรียนในฝันรุ่นที่ 2 ยังคงดำเนินการต่อไปอย่างแน่นอน โดยขณะนี้ได้เริ่มคัดเลือกโรงเรียนเพื่อเข้าโครงการโรงเรียนในฝันรุ่นที่ 2 แล้ว”ผู้ช่วย รมว.ศธ.กล่าวทิ้งท้าย