ในอดีตที่ผ่านมา ความทรงจำของเกษตรกรไทยเกี่ยวกับการกำจัด “แมลงศัตรูพืช” มักจะพุ่งเป้าไปที่การใช้ “สารเคมี” และ “ยาฆ่าแมลง” อย่างเป็นสรณะ ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบตามมากับสภาพแวดล้อมและย้อนกลับไปทำร้ายมนุษย์ผู้ใช้เองในท้ายที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังได้มีการนำ “ชีววิธี” มาใช้ในการปราบแมลงศัตรูพืชมากขึ้น โดยเลียนแบบและศึกษาจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในธรรมชาติผ่านการใช้ “ตัวเบียน” มาใช้เป็น “แมลงนักล่า” แทน
ที่น่าสนใจก็คือ ณ ขณะนี้ความต้องการในการใช้ตัวเบียนในการปราบแมลงศัตรูพืชนั้นมีเพิ่มมากขึ้นจนถึงขนาดต้องว่าจ้างบริษัทเอกชนเข้ามาช่วยในการผลิตเลยทีเดียว
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ การใช้ “แตนเบียน” ในการต่อสู้กับ “แมลงดำหนาม” ที่ทำลายปาล์มน้ำมันและมะพร้าวอย่างหนักในพื้นที่ภาคใต้
ดร.เฉลิม สินธุเสก ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร เล่าให้ฟังว่า หลายปีที่ผ่านมารัฐบาลสนับสนุนให้ชาวบ้านแถบภาคใต้หันมาปลูกปาล์มน้ำมันกันมากขึ้น เพื่อมุ่งหวังมาทดแทนพลังงานน้ำมันที่นับวันจะมีราคาสูงลิบลิว และกลายเป็นช่องทางในการทำมาหากินที่สำคัญอีกช่องทางหนึ่งของชาวบ้าน
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์และความฝันก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เนื่องเพราะการนำเข้าปาล์มน้ำมันของเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ หรือเช็คสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้ชาวบ้านในแถบจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ประจวบฯ ชุมพร และอีกหลายจังหวัด ได้รับความเดือดร้อนจากแมลงดำหนามซึ่งติดมากับปาล์มน้ำมันขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว กัดกินยอดมะพร้าวและทำลายกล้าปาล์มน้ำมัน สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างกว่า 3 แสนไร่
“เกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย มาขอความช่วยเหลือให้ช่วยหาวิธีกำจัดแมลงดำหนาม โดยชาวบ้านจะให้ใช้สารเคมีเพื่อกำจัดแมงดำหนาม ผมและนักวิชาการ อีกหลายท่านไม่เห็นด้วย เพราะว่าการใช้ยาฆ่าแมลงจะมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในท้องถิ่น เพราะยอดมะพร้าวอยู่สูงและกินพื้นที่หลายแสนไร่ หากพ่นสารเคมีจะฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ คาดว่าผลลัพธ์ที่ได้จะน้อยกว่าผลเสีย คือไม่อยากเห็นชาวบ้านเจ็บป่วยเพราะพิษสารเคมีที่สะสมตกค้างอยู่ในร่างกาย จุดนี่เอง กรมวิชาการเกษตรหันมาใช้ทางเลือก สิ่งมีชีวิตควบคุมสิ่งมีชีวิต เพื่อลดการใช้สารเคมี วิธีการสร้างความสมดุลตามธรรมชาติไม่ใช่เรื่องใหม่ ซึ่งทำกันมาตั้งแต่เมื่อครั้งสมัยที่ยังไม่มีสารเคมีใช้ซะอีก”
ดร.เฉลิมอธิบายเพิ่มเติมว่า จากการสำรวจพบศัตรูธรรมชาติที่สามารถทำลายแมลงดำหนามหลายชนิดด้วยกัน ได้แก่ มด แมลงหางหนีบ แตนเบียนไข่ และเชื้อราเขียว แต่ศัตรูธรรมชาติเหล่านี้ยังมีปริมาณและประสิทธิภาพไม่มากเพียงพอที่จะให้ผลในการควบคุม ดังนั้น กรมวิชาการเกษตร จึงได้นำเข้าแตนเบียนจากประเทศเวียดนาม โดยความร่วมมือจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) นำเข้ามาในลักษณะเป็นซากหนอนตายที่มีดักแด้แตนเบียนอยู่ภายใน เรียกกว่า “มัมมี่” จากนั้นก็นำมาทำการเพาะเลี้ยงในห้องทดลอง แล้วจึงนำไปทำลายแมลงดำหนาม
ทั้งนี้ การนำ “ชีววิธี” มาใช้ในระบบเกษตรกรรม ถือเป็นแนวทางที่ทั่วโลกยอมรับ เนื่องจากการใช้ธรรมชาติควบคุมความสมดุล ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และในระยะยาวยังช่วยลดต้นทุนการผลิตด้วย
สำหรับ“แตนเบียน” ที่ใช้ควบคุมปริมาณ “แมลงดำหนาม” เป็นแมลงขนาดเล็กที่ทำลายตัวหนอนของแมลงดำหนาม ตัวเต็มมีลำตัวยาวประมาณ 0.5-0.7 มม. ปล้องหนวดยาวเรียวเล็กลงไปตามหลายหนวด เพศเมียขนาดใหญ่กว่าเพศผู้เล็กน้อย กระเปาะท้องยาว ปลายท้องมีอวัยวะวางไข่ ลักษณะคล้ายเข็มเล็กๆ ยาวเรียวซ่อนอยู่ที่ใต้ท้อง ส่วนเพศผู้มีเปาะท้องยาวเรียวกว่า ปลายท้องค่อนข้างเรียวแหลม
แตนเบียน ทำลายหนอนแมลงดำหนามได้ทุกระยะ เริ่มจากแตนเบียนเพศเมียที่ผสมพันธุ์แล้ว จะใช้อวัยวะวางไข่แทงเข้าไปในลำตัวของหนอนแมลงดำหนาม เมื่อหนอนของแตนเบียนฟักออกจากไข่จะดูดกินของเหลวเจริญเติบโต และเข้าดักแด้ภายในลำตัวของหนอนแมลงดำหนาม หนอนแมลงดำหนามจะเคลื่อนไหวช้า กินอาหารน้อยลงและตายไปในที่สุด
ภายหลังจากถูกเบียน 5-7 วัน หนอนที่ถูกเบียนตายแล้วลำตัวจะมีสีดำและแข็ง เรียกว่า “มัมมี่” แตนเบียนเมื่อออกจากดักแด้แล้วจะกัดผนัง “มัมมี่” เป็นรู และคลานออกมาจับคู่ผสมพันธุ์ทันทีที่ออกมามัมมี่ ภายหลังผสมพันธุ์ 1-2 ชั่วโมง สามารถเข้าเบียนหนอนแมลงดำหนามได้ทันที ตัวเต็มวัยของแตนเบียนมีอายุ 4-7 วัน เมื่อให้น้ำผึ้งเป็นอาหาร ระยะการเจริญเติบโตตั้งแต่ระยะไข่ถึงตัวเต็มวัยประมาณ 17-20 วัน
ส่วนวิธีการปล่อยแตนเบียนให้มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงดำหนาม ต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น อุปกรณ์ ซึ่งจะต้องป้องกันฝนและมด ที่สำคัญควรเลือกที่มีราคาและหาง่าย จุดที่แขวนอุปกรณ์ให้แขวนไว้กับต้นมะพร้าวที่ระดับความสูง 15 เมตร หรือเป็นจุดที่หนอนแมลงดำหนามระบาด สังเกตจากยอดมะพร้าวที่ถูกทำลาย ส่วนอัตราการปล่อย ที่ได้ผลคือปล่อย 5-10 มัมมี่ หรือประมาณ 250-500 ตัวต่อจุดห่างกันประมาณ 200 เมตร
ดร.เฉลิมให้ข้อมูลด้วยว่า แม้กรมวิชาการเกษตรจะเร่งขยายพันธุ์แตนเบียน เพื่อควบคุมแมลงดำหนาม แต่กำลังการผลิตไม่เพียงพอต่อการระบาดของแมลงดำหนาม จึงขอความร่วมมือไปยังองค์การบริหารตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เพื่อให้ชาวบ้านที่ช่วยกันขยายพันธุ์แตนเบียน พร้อมทั้งว่าจ้างบริษัท อีกอส อีโคซิสเต็ม จำกัด ให้ผลิตแตนเบียนจำนวน 1 ล้านมัมมี่ (1มัมมี่ มีแตนเบียนประมาณ 50-70 ตัว) ในวงเงินจัดจ้างมูลค่า 38 ล้านบาท
ทั้งนี้ ทางบริษัทได้ตั้งฐานการผลิตที่ ต.ช้างแรก อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกมะพร้าวสำคัญของพื้นที่ภาคใต้
“ในพื้นที่ที่เราปล่อยแตนเบียนเข้าไปควบคุมแมลงดำหนาม เริ่มค่อยๆ ฟื้น โดยสังเกตจากยอดมะพร้าวเริ่มเป็นสีเขียว ทางมะพร้าวตรงกลางยังเป็นสีน้ำตาล และแม้ว่ามะพร้าวส่วนหนึ่งจะพื้นแต่ยังมีต้นมะพร้าวอีกจำนวนมากถูกทำลาย จึงอยากให้คนในพื้นที่มาช่วยกันขยายพันธุ์แตนเบียน เพื่อควบคุมแมลงดำหนามก่อนที่พวกมันจะขยายพันธุ์แล้วไปทำลายต้นมะพร้าวและปาล์มน้ำมันในพื้นที่ใกล้เคียง”ดร.เฉลิมสรุปทิ้งท้าย