xs
xsm
sm
md
lg

“โป๊” โลกาภิวัตน์ เกินพิกัดวิปริต!!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปฏิเสธไม่ได้ว่า "เรื่องเพศ" เป็นเรื่องหนึ่งเรื่องที่อยู่คู่กับมนุษย์มาทุกยุคสมัย ไม่ว่าจะชาติใด ภาษาไหน นอกเหนือจากปัจจัยความต้องการพื้นฐานอย่างเรื่องของการกิน นอน และการขับถ่าย สิ่งที่ขาดเสียไม่ได้ในการสืบเผ่าพันธุ์เพื่อให้ดำรงอยู่ก็คือ "เซ็กซ์" ซึ่งสังคมไทยเองก็ไม่อยู่นอกเหนือกฎความต้องการทางธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตในข้อนี้

แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ว่าการปราบปรามสื่อลามกของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเป็นไปอย่างเข้มข้นจนบรรดาคอ "หนังสือปกขาว" ทั้งหลายแทบ "หืดจับ" กว่าจะหาซื้อได้แต่ละเล่ม หากแต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่านั้นคือ "หนังสือเปลือย" ยุคใหม่ๆ นั้น กลับมีเนื้อหากระตุ้นอารมณ์เพศแบบวิปริตจนยากบรรยาย และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ เด็กและเยาวชน ตลอดจนผู้ที่เสพสื่อเหล่านั้น กำลังจะชาชินกับความวิปริตจนแทบเห็นมันเป็นเรื่องที่เคยที่ธรรมดาสามัญไปเสียแล้ว

เจาะเวลาหาอดีตกับ “ปกขาว” สมัยก่อน

สมัยก่อน ย้อนหลังไปประมาณ 30 ปี คำว่า “หนังสือโป๊” ถูกเรียกขานด้วยคำว่า “ปกขาว” ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันในหมู่คอนักอ่านแนวสยิวทั้งหลายว่า นี่ล่ะ! หนังสือเพื่อกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ ... ทำไมถึงต้องเป็น “ปกขาว” ...ว่ากันว่าที่มาของการเรียกหนังสือโป๊ว่า “ปกขาว” นี้เริ่มจากหนังสือโป๊เปลือยยุคแรกๆ ด้านในเล่มจะเป็นการตีพิมพ์ภาพโป๊เปลือยของสตรีที่ไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ปกปิดกาย โดยหน้าปกหนังสือเหล่านั้นจะเป็นสีขาวล้วน ทำให้หนังสือประเภทปลุกใจเสือป่าถูกเรียกตามลักษณะหน้าตารูปเล่มว่า “ปกขาว” มาแต่บัดนั้น

ยุคต่อมา เทคโนโลยีการจัดพิมพ์หนังสือเริ่มดีขึ้น รูปแบบของหนังสือกระตุ้นอารมณ์เพศก็ถูกปรับเปลี่ยนให้สวิงสวายมากกว่าเดิม มีการใส่สีลงไปในรูปโป๊เปลือยขาวดำอันแสนจะจืดชืดให้ดูมีชีวิตชีวาและเหมือนจริงมากขึ้น มีการเพิ่มเติมเนื้อหาลงไปจากที่มีภาพอย่างเดียว ก็เริ่มจะมีเรื่องสั้น นวนิยาย และประสบการณ์ทางเพศจากผู้อ่านทางบ้าน ตีพิมพ์ลงไปเพื่อเพิ่มสีสันให้แก่หนังสือโป๊ในยุคนั้น

จากปากคำของหนุ่มใหญ่หลายๆ คนที่มีประสบการณ์อ่านหนังสือโป๊มาอย่างโชกโชนจนไม่อาจเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนามของตนเองได้นั้น พอจะประมวลได้ว่า หนังสือปลุกใจเสือป่าในยุค 10 – 15 ปีที่ผ่านมามีอยู่สองกลุ่มใหญ่ๆ คือกลุ่มตลาดบน เช่น “หนุ่ม-สาว” หรือ “แมน” เป็นต้น หนังสือโป๊จำพวกนี้เน้นหนักไปในเรื่องของการขายภาพ มากกว่าจะขายเรื่องสั้นประสบการณ์เสียวซึ่งไม่ค่อยจะมีในหนังสือประเภทนี้ ในส่วนของตลาดล่างจะเน้นหนักไปในเรื่องของเรื่องในเล่มมากกว่าภาพ ซึ่งใช้ต้นทุนในการพิมพ์ถูกกว่า และขายในราคาที่ถูกกว่า ตลาดล่างแบบนี้ได้แก่หนังสือ “เฟี้ยว” และ “ระทึก” เป็นต้น

แต่ระหว่างช่องว่างของตลาดบนและตลาดล่างของหนังสือโป๊ยุคนั้น ก็ได้มีหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง ซึ่งนำข้อเด่นของหนังสือโป๊ตลาดบน หนังสือเสียวตลาดล่าง มาจัดส่วนผสมแบ่งเท่าๆ กันได้อย่างลงตัว และสุดท้ายจึงกลายเป็น “นวลนาง” อมตะหนังสือสยิวยอดนิยมตลอดกาลของคนไทยที่มียอดขายสูงที่สุด
 
จาก “นวลนาง” ถึง “ไทยเพลย์บอย”

ทำไม “นวลนาง” ถึงเป็นที่นิยม? ... บรรดาคอหนังสือปลุกใจเสือป่าต่างลงความเห็นว่า ส่วนผสมที่กำลังพอเหมาะแบ่งครึ่งระหว่างภาพโป๊ของนางแบบกับเรื่องสั้นประสบการณ์เสียว ถือว่าตรงกับความต้องการของตลาดนักอ่านมากที่สุด
แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีหนังสือออกมาอีกเล่มหนึ่ง โดยเล่มนี้เลือกที่จะขายน่าตื่นตาตื่นใจในความแปลกใหม่ที่ฉีกแนวโป๊คลาสสิคอย่าง “นวลนาง” และเน้นความหวือหวาแกมวิปริตได้มากกว่าเล่มไหนๆ

“ไทยเพลย์บอย” กำเนิดหลัง “นวลนาง” ไม่นาน แต่กลับตีตลาดได้เป็นอันดับสองรองจากนวลนางเลยทีเดียว ภายใต้การนำของคอลัมนิสต์แนวสยิวผู้ฉาวโฉ่อย่าง “อาว์กังฟู” ด้วยเพราะการพยายามฉีกแนวทางเสียวแบบวิปริตออกไปมากกว่าการลงภาพเปลือยของนางแบบสวยๆ และการลงประสบการณ์เสียวแต่เพียงอย่างเดียว โดย “ไทยเพลย์บอย” เลือกที่จะหากินกับสัญชาตญาณความดิบห่ามของมนุษย์ ...และนั่นถือเป็นต้นธารความสยิวที่ถือว่า “นอกรีต” ในยุคนั้น ...นั่นคือ “สวิงกิ้ง”

“ถ้าจะเปรียบ...นวลนางก็เหมือนการเที่ยวผู้หญิงในเลานจ์ ส่วนไทยเพลย์บอยให้อารมณ์เหมือนเที่ยวซ่อง” ... นี่คือคำจำกัดความความต่างของหนังสือโป๊สองเล่มนี้จากปากคำของเซียนหนังสือโป๊ตัวยงผู้ขอปกปิดนามจริง โดยได้อธิบายถึงหนังสือที่ปิดตัวเองไปแล้วทั้งสองเล่มนี้ว่า นวลนางจะให้อารมณ์เบากว่า ในขณะที่ไทยเพลย์บอยดิบ เถื่อน และค่อนข้างวิปริตกว่า เพราะนอกเหนือจากภาพโป๊ของนางแบบแล้ว ไทยเพลย์บอยรับตีพิมพ์ภาพเปลือยที่ส่งมาจากทางบ้าน ประสบการณ์ที่ทางบ้านส่งมา และรวมถึงรับนัดจัดคู่ให้ผู้ที่มีรสนิยมการมีเพศสัมพันธ์แบบแลกคู่ ไม่ว่าจะเป็นหญิงเดี่ยว ชายเดี่ยว หรือคู่สามีภรรยาที่นิยมความหฤหรรษ์แบบหวาดเสียวแกมพิสดารแบบนี้ด้วย แต่เมื่อวันที่ 20 พ.ค.2538 “อาว์กังฟู” หรือนายชูชาติ ธนมงคลชัย ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกจับคาสำนักสวิงกิ้งชนิดคาหนังคาเขา โดยถูกดำเนินคดีในข้อหาเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตและเป็นธุระจัดหาเพื่อให้ผู้อื่นร่วมประเวณีและถูกตัดสินจำคุก เมื่อออกมาจากคุกเจ้าตัวจึงขอปิดตำนาน “อาว์กังฟู” ไปโดยปริยาย 

หนังสือปิดตัว แต่ความวิปริตเกาะกินใจคน

แม้ว่าต่อมาภายหลัง การเข้มงวดกวดจับของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ค่อยๆ ทำให้หนังสือโป๊ต่างๆ ค่อยๆ หยุดผลิตไปทีละเล่ม สองเล่ม เพราะมีตัวอย่างการกวาดล้างให้เห็นกันอยู่เนืองๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ก็คือรูปแบบเพศสัมพันธ์แบบพิสดารเกินขอบเขตของความสัมพันธ์ทางเพศแบบปกติ ที่เข้ามาหาใกล้ชิดจนหลายๆ คนคิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาสามัญ เรื่องสวิงกิ้งที่เคยถูกมองว่านอกรีต บัดนี้กลายเป็นเครื่องชูรส เป็นการเติมความสนุกในเพศรสของคู่รักไปเสียแล้ว

นอกจากนี้เทคโนโลยีอันล้ำยุคที่ทันสมัยเสียจนย่อโลกทั้งใบไว้ได้ในเครือข่ายไซเบอร์สเปซ ทำให้เวบไซต์โป๊เปลือยสุดสยิวทั้งหลายต่างก็แย่งกันผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดหน้าฝน วัยที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่นับว่าเป็นกลุ่มใหญ่หนีไม่พ้นวัยรุ่น รูปแบบความสยิวในอินเทอร์เน็ตไม่ต่างจากในหนังสือนัก มีรูปโป๊ มีประสบการณ์เสียว อาจจะเพิ่มมาคือภาพเคลื่อนไหว และโปรแกรมแชตเพื่อการสื่อสารพูดคุย แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือความเข้มข้นของเนื้อหา และความวิปริตของการแต่งเติมเสริมจินตนาการเข้าไป ที่ดูเหมือนจะมีมากและพิสดารขึ้นเรื่อยๆ

“มือปราบสื่อสยิว” อย่าง พ.ต.อ.วิสุทธิ์ วานิชบุตร รองผบก.ปดส. เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้คร่ำหวอดอยู่กับการปราบปรามสื่อลามกในรูปแบบต่างๆ เปิดเผยว่า ด้วยจินตนาการแบบเกินขอบเขตของการประพันธ์บทเสียวในเรื่องสั้นกระตุ้นกามารมณ์และการรับอารยธรรมจากต่างประเทศ ส่งผลให้รูปแบบของเซ็กซ์ โดยเฉพาะเซ็กซ์ในวัยรุ่นเริ่มเปลี่ยนไป ปัจจุบันการสวิงกิ้งซึ่งเมื่อสักยี่สิบปีที่แล้วถือเป็นเรื่องผิดบาปน่าละอายกลับกลายเป็นเรื่องปกติสามัญของคู่รักหลายคู่ รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์แบบวิปริต เช่นการมีเพศสัมพันธ์กับเด็กเล็ก

“เมื่อก่อนผมจับซีดีโป๊ ก็ว่ามีเพศสัมพันธ์กับเด็กอายุ 12 นี่วิปริตแล้ว สมัยนี้ที่จับได้ 6 ขวบก็มี ต่ำกว่า 12 นี่เกลื่อน อายุเฉลี่ยเด็กในหนังโป๊จะน้อยลงเรื่อยๆ แล้วส่วนใหญ่เท่าที่ดู เป็นการสมยอมกว่าครึ่งด้วย”

นอกจากนี้ ความวิปริตในยุคปัจจุบันของคนไทย ยิ่งถูกตอกย้ำให้เห็นกันอยู่เป็นประจำแทบทุกวัน เช่นในเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ในครอบครัว จากเมื่อก่อนจะเห็นเพียงพ่อเลี้ยง- ลูกเลี้ยง ในปัจจุบันเรื่องพ่อแท้ๆ ข่มขืนลูกในไส้ก็มีให้เห็นอยู่เป็นประจำ อันเนื่องมาจากสื่อลามกเหล่านั้นนั่นเอง

พ.ต.อ.วิสุทธิ์ยังเผยข้อมูลชวนช็อกเพิ่มเติมอีกว่า ความวิปริตของผู้เสพสื่อลามกไทยยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะทุกวันนี้เทรนด์แห่งความวิปริตพิสดารได้เปลี่ยนจากการมีเซ็กซ์กับมนุษย์ปกติ ไปเป็นการมีเซ็กซ์กับสัตว์!!! ไม่ว่าจะเป็นกับม้า หรืออย่างที่เพิ่งจะเป็นข่าวไปเร็วๆ นี้คือกับสุนัข เป็นต้น

“มันเป็นเรื่องของการสวนทางระหว่างความเจริญทางวัตถุ กับศีลธรรม มโนธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมของคนเรา ที่สิ่งที่ดีงามมันเดินไม่ทันกระแสโลกาภิวัตน์ เดี๋ยวนี้การแลกคู่ การสวิงกิ้งในหมู่นักศึกษาเกือบจะเป็นของปกติ บางสังคมหากไม่ทำถือว่าเชย มันเป็นค่านิยมที่ผิด ที่เราเลียนแบบมาจากสื่อลามกทั้งของไทยเองและของต่างประเทศ ยิ่งสื่อลามกมีความวิปริตเท่าไหร่ เมื่อเด็กเห็น ความชาชินก็จะเกิดขึ้นจนกลายเป็นเรื่องวิปริตเหล่านั้น เป็นเรื่องสามัญประจำวัน ” รองผบก.ปดส.ทิ้งท้าย



กำลังโหลดความคิดเห็น