xs
xsm
sm
md
lg

คนกับส้วม !!! ส้วมกับคน !!! / ลัดดา ตั้งสุภาชัย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คนเรานอกจากจะกินอิ่มหลับนอนแล้ว ที่ขาดไม่ได้อีกอย่างเห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องของ “การขับถ่าย” กิจวัตรซึ่งถือได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นและมีความสำคัญยิ่งยวดสำหรับทุกคน นอกจากนี้การขับถ่ายยังเป็นกิจกรรมมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับสภาวะอารมณ์ของมนุษย์ ในบางวันหากตัวเราเอง หรือเพื่อนฝูงที่สนิทสนมมักคุ้นเกิดมีอาการผิดปกติ ออกอาการหงุดหงิดหน้าบึ้งหน้างอ ไม่ร่าเริง ไม่ยอมพูดไม่ยอมจากับใคร เรามักจะได้ยินเสียงสัพยอกจากคนรอบข้างว่า “วันนี้.......ยังไม่ได้เข้าส้วมแน่ๆ”

คำว่า “ส้วม” หรือที่เรียกกันในภาษาสุภาพว่า” “สุขา” หรือ “ห้องน้ำ” เป็นคำไทยอีกคำหนึ่งที่มีผู้นำไปอุปมาอุปไมยกับเรื่องต่างๆ ไว้อย่างแยบคาย ตัวอย่างเช่นการอุปมาส้วมกับความประพฤติมนุษย์ซึ่งมีมาแต่อดีต ก็จัดเป็นโวหารเชิงเปรียบที่ให้ภาพชัดเจนเป็นรูปธรรม ก็นับเป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาไทยที่น่าทึ่ง

ในอดีต มีคำพูดเปรียบเปรยหญิงสาวกับส้วมไว้อย่างน่าสนใจว่า “มีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน” ซึ่งข้อความนี้ใช้กล่าวกระทบกระเทียบลูกสาวผู้มีความประพฤติไม่ดีไม่งาม ทำให้พ่อแม่ที่เลี้ยงดูเสียชื่อเสียงอับอายขายหน้าเพื่อนบ้าน ว่าเปรียบได้กับ “ส้วมแตก” ที่ส่งกลิ่นเหม็นฟุ้งกระจายไปทั่ว

หากจะนำคำเปรียบเปรยนี้มาใช้กับผู้คนในยุคนี้ การเปรียบส้วมกับหญิงสาวอาจเป็นการหลุดกระแสของความเป็นจริงที่สมบูรณ์ ทั้งนี้เพราะในปัจจุบัน วัยรุ่นทั้งหญิงและชายต่างก็ดำรงชีวิตอยู่ในวิถีของความเสี่ยงและขาดภูมิคุ้มกันโดยเสมอหน้า พวกเขามีความเป็นตัวตนค่อนข้างสูง ไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ ผู้ปกครอง

ทุกวันนี้วัยรุ่นไม่ว่าหญิงหรือชายต่างก็มีสิทธิสร้างความเดือดร้อนอับอายให้กับพ่อไม่ได้ไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน ไม่ว่าจะในส่วนของการใช้ส้วมจริง ๆ หรือ การประพฤติปฏิบัติตัวในด้านอื่น ๆ ที่อาจจะกลายเป็นเรื่อง “ส้วมแตก” ที่น่าอเนจอนาถ

ย้อนกลับไปสักห้าสิบปีที่แล้ว อาจกล่าวได้ว่าสังคมไทยโดยรวมจะรู้จักมักคุ้นก็แต่กับส้วมซึมหรือส้วมที่เรานั่งยองๆ ถ่ายทุกข์เป็นส่วนใหญ่ สำหรับส้วมนั่งโถหรือชักโครกจะรู้จักกันเฉพาะในแวดวงของคนมีสตางค์ และกลุ่มไฮโซนักเรียนนอกเท่านั้น

ปัจจุบันนี้พัฒนาการของส้วมได้เปลี่ยนไป หลัก ๆ ก็เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพ ลดอาการเหน็บชาขาเป็นตะคริว โถส้วมกลายเป็นสุขภัณฑ์ที่ประชาชนทั่วไปสามารถซื้อหามาใช้กันได้ทุกครัวเรือน การใช้ส้วมแบบชักโครกก็เปรียบประหนึ่งการเติมเต็มความสุขให้กับชีวิต

อย่างไรก็ตามไม่ว่าพัฒนาการของส้วมจะก้าวไปไกลเพียงใด ปัญหาการใช้ส้วมก็ยังมีให้พบเห็นมากมายชนิดที่ตายแล้วเกิดใหม่ก็ยังเล่าไม่จบไม่สิ้น ทั้งนี้เพราะพฤติกรรมการใช้ส้วมที่มักง่ายและเห็นแก่ตัวของคนในสังคมนั้นมีสารพัดแบบ ไม่ว่าจะเป็นการไม่รู้จักเข้าคิวในพื้นที่ที่กำหนด แต่กลับไปยืนออรอที่หน้าประตูส้วมซึ่งเป็นการสร้างความตะขิดตะขวงใจให้กับผู้ที่กำลังทำธุระอยู่ข้างใน การขึ้นไปนั่งยองๆ ฝากรอยประทับรองเท้าบนโถนั่ง การขูดขีด เขียนระบายข้อความเก็บกดส่วนตนที่บริเวณประตูส้วมหรือตามฝาผนังห้องส้วม การสูบบุหรี่พ่นควันเผื่อแผ่สารพิษให้ฟุ้งไปทั่วทั้งห้องส้วม การสนทนาและการนินทาว่ากล่าวผู้อื่นข้ามห้อง หรือการมักง่าย ละเลยไม่ยอมทำลายหลักฐานที่ตนก่อไว้ แต่กลับทิ้งให้อุจจาดตาผู้อื่นซึ่งก็มีให้พบเห็นกันอยู่บ่อยครั้ง เป็นต้น

เรื่องของการใช้ส้วมดูผิวเผินอาจจะเหมือนว่าไม่สำคัญเท่าไรนักในความคิดของใครบางคน แต่ก็อาจเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญใจยิ่งให้กับใครอีกหลายคนในสังคมที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน

หากลองนึกย้อนไปถึงชีวิตในวัยเด็ก หลายคนคงจะยังจำได้ว่า ทั้งพ่อแม่และครูอาจารย์ นอกจากจะปลูกฝังให้เราๆเป็นคนดีแล้ว ยังพยายามพรํ่าสอนเราถึงเรื่องการรักษาสุขอนามัย เช่น สอนให้รู้จัก อาบนํ้า ล้างหน้า แปรงฟันอย่างถูกวิธี สอนถึงการใช้ห้องนํ้า ห้องส้วมอย่างถูกสุขลักษณะ กล่าวคือ ต้องทำความสะอาดส้วมทุกครั้งทั้งก่อนและหลังใช้ นอกจากนี้ยังรวมถึงการทำความสะอาดอวัยวะที่เกี่ยวข้องภายหลังการขับถ่ายทุกครั้ง

สมัยนี้เด็ก ๆ ที่เติบโตมาจากครอบครัวที่มีพ่อแม่เป็นมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่จะไม่รู้จักมักคุ้นกับการ ใช้ส้วมซึมเพราะกลัวพลาดท่าขาตกคอห่าน และเด็กจำนวนไม่น้อยคงนึกไม่ออกอีกว่าเจ้าส้วมซึมนั้นมีหน้าตาเป็นเช่นไร จนกว่าจะถึงวัยเรียนรู้ ซึ่งเป็นวัยที่เด็กส่วนใหญ่จะถูกนำไปฝากไว้ที่ “โรงเรียน” สถาบันทางสังคมซึ่งพ่อแม่คาดหวังว่า จะเป็นที่ขัดเกลานิสัยและอบรมบ่มเพาะรากเหง้าทางวัฒนธรรมให้กับบุตรหลาน เพื่อชีวิตที่ดีเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ โดยมี“ ครู” ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลเด็กแทนพ่อแม่และผู้ปกครอง

ในระยะแรก เด็ก ๆ อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งใหม่ เสียงร้องไห้อย่างทุกข์ระทมใจจึงมีให้ได้ยินได้ฟังทุกเช้าที่โรงเรียน เป็นเหตุให้พ่อแม่ผู้ปกครองที่รักลูกจนเลยเถิดอดเป็นห่วงและสงสารลูกหลานที่ร้องไห้ กระจองอแงไม่ได้ บางรายถึงกับต้องหยุดงานไปนั่งเรียนเป็นเพื่อนเด็กๆ ซึ่งก็มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย

เมื่อเด็กเริ่มคุ้นเคยกับโรงเรียน ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ และเริ่มไว้ใจครูซึ่งทำหน้าที่เสมือนหนึ่งพ่อแม่และผู้ปกครอง พวกเขาจะเริ่มเชื่อฟังและเรียนรู้สิ่งต่างๆที่ครูปลูกฝังและถ่ายทอดให้ ทั้งในเรื่องของระเบียบ วินัย และหน้าที่ รวมถึงประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆที่แตกต่างไปจากที่บ้าน

จากที่ไม่รู้จักมักคุ้นกับรสชาติของอาหารที่เน้นคุณค่าทางโภชนาการครบหมู่ ก็เริ่มยอมรับ และรู้สึกคุ้นลิ้นคุ้นปาก จนเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร จากที่เคยตามใจปากก็เริ่มมีการเลือกที่จะยอมรับสารอาหารที่มีประโยชน์ มีคุณค่าต่อร่างกายตามที่ครูสอนสั่ง

ในเรื่องของการใช้ส้วม จากเดิมที่รู้จักเพียงชักโครก ใช้ส้วมซึมไม่เป็น ก็ได้เรียนรู้และปรับตัวจนคุ้นกับการใช้ส้วมซึมให้ถูกสุขลักษณะ รู้จักการเข้าคิว และมีมารยาทในการใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกับผู้อื่น

อย่างไรก็ตามแม้ว่าเด็ก ๆ จะได้รับการบอกกล่าวเล่าสอนถึงมารยาทต่าง ๆ รวมถึงการใช้ส้วม แต่ก็ใช่ว่าเด็กทุกคนจะเข้าใจ และยอมปฏิบัติตามหลักแห่งสุขอนามัยเหล่านี้ เด็กบางคนเมื่อยังเล็กก็สร้างความอิดหนาระอาให้กับพ่อแม่ ครูหรือเพื่อนร่วมห้องเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้ส้วมที่ไม่น่าพิสมัย

และเด็กจำนวนไม่น้อยแม้ว่าจะได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี แต่เมื่อเติบโตขึ้นมาแล้วก็ยังไม่คุ้นชินกับสุขนิสัยอันดีนี้ ซ้ำร้ายบางคนไม่เพียงไม่รู้จักใช้ส้วมให้ถูกสุขลักษณะ แถมยังทำตัวเป็นปัญหา “ส้วมแตก” สร้างความอับอายและก่อให้เกิดอาการปวดเศียรเวียนเกล้าในพ่อแม่ ผู้ปกครองและครูกันโดยถ้วนหน้า

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า ปัญหาคนกับส้วม ส้วมกับคน เป็นปัญหาดึกดำบรรพ์ ที่มีคนหลายฝ่ายเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายของต้นแบบซึ่งรวมถึงผู้ฝึกสอนในการใช้ส้วม หรือฝ่ายผู้ใช้ส้วมเอง ทุกฝ่ายล้วนแล้วแต่มีความสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น

หากเด็กมีต้นแบบที่ดี และเด็ก ๆ เองใส่ใจที่จะเรียนรู้เรื่องที่ผู้ใหญ่สอนสั่งอย่างจริงจัง ปัญหาการใช้ส้วม และปัญหาส้วมแตกก็จะไม่กลายพันธุ์เป็นปัญหาโลกแตกอีกต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น