xs
xsm
sm
md
lg

หนูไม่ร้องไห้...เมื่อไปโรงเรียน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เปิดเทอมใหม่ นอกจากพ่อแม่ผู้ปกครองต้องวุ่นวายกับการเตรียมข้าวของให้ลูกๆ สำหรับการเปิดเรียนแล้ว พ่อแม่บางรายอาจจะต้องปวดหัวกับการรับมืออาการโยเย งอแงของ “เจ้าตัวเล็ก”ที่เพิ่งเข้าโรงเรียนเป็นครั้งแรกอีกด้วย ซึ่งไม่เพียงแต่ผู้เป็นพ่อแม่จะมีความเครียดเท่านั้น ความเครียดยังไปเกิดกับเจ้าตัวเล็กที่ต้องไปโรงเรียนด้วย

รศ.ดร.กุลยา ตันติยาผาชีวะ หัวหน้าภาควิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ(มศว) ให้คำแนะนำสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องดูแลเจ้าตัวน้อยที่ต้องเข้าเรียนเป็นครั้งแรกว่า ความเครียดที่เกิดขึ้นกับเด็กที่เข้าเรียนในชั้นอนุบาลเป็นครั้งแรก เกิดขึ้นจากความรู้สึกที่ต้องไปอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย ต้องปรับตัวกับสิ่งแปลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนใหม่ คุณครูที่ไม่เคยรู้จัก และสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ

สำหรับเด็กที่จะเกิดความเครียดจากการเข้าเรียนครั้งแรกนั้น จะเป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงดูจากทางบ้านแบบตามใจประคบประหงมมากเกินไป เด็กไม่เคยต้องตื่นแต่เช้า มีคนอุ้มชูค้ำจุนอยู่ตลอดเวลาจนไม่สามารถดูแลตัวเองได้ นอกจากนี้ความเครียดในการไปโรงเรียนยังมีสาเหตุมาจากผู้ใหญ่ด้วย โดยผู้ใหญ่อาจจะไปขู่เด็กไว้ก่อนว่าจะเจออะไรในโรงเรียนบ้าง และประการสุดท้ายที่เป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ส่งผลให้เด็กเครียด คือพ่อแม่เป็นห่วงลูกมากเกินไป จนกลายเป็นความวิตกกังวล ซึ่งความกังวลเหล่านี้จะถ่ายทอดไปสู่ลูก เป็นสาเหตุแห่งความเครียดของเจ้าตัวน้อย

เด็กกลุ่มนี้ก่อนจะไปโรงเรียนจะไม่มีปัญหา วันก่อนไปโรงเรียนอาจจะยังเอาชุดนักเรียนมาสวมเล่น ถึงวันไปโรงเรียนจริงๆ ก็ยังเป็นปกติ แต่เมื่อไหร่ที่ถึงโรงเรียน ต้องลงจากรถ ต้องจากพ่อแม่ เด็กจะมีอาการทันที จะเริ่มร้องไห้ตั้งแต่ถึงหน้าโรงเรียน บางคนร้องไม่นานก็เงียบ ปกติเด็กจะร้องไห้ไม่ยอมไปโรงเรียนไม่เกิน 1 เดือน หากร้องไห้เกิน 1 เดือน ถือว่าผิดปกติพ่อแม่ควรพาลูกไปพบจิตแพทย์เพื่อช่วยให้เด็กคลายเครียดลง

รศ.ดร.กุลยา กล่าวอีกว่า เด็กบางคนไม่ได้ร้องไห้ โยเย แสดงออกถึงความเครียดที่ตนเองมีอย่างชัดเจน แต่จะเก็บความเครียดเอาไว้ พ่อแม่จะสังเกตได้ชัดเจนในเทอมที่ 2 หากเด็กยังโยกโย้ที่จะไปโรงเรียน เช่น อ้างว่าไม่สบาย ขอให้อุ้มพาไปอาบน้ำหน่อย หรือมีข้ออ้างต่างๆ นานาที่จะไม่ไปโรงเรียน พ่อแม่ต้องหาสาเหตุของอาการเครียดเหล่านั้น ซึ่งความวิตกกังวลของเด็กแต่ละคนมากบ้าง น้อยบ้างขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของแต่ละครอบครัว

ส่วนเด็กที่ไม่ร้องไห้งอแงเมื่อต้องไปโรงเรียน ส่วนใหญ่พ่อแม่ดีใจที่ลูกได้เข้าโรงเรียน มีการพูดคุยกับลูกอย่างสนุกสนานถึงกิจกรรมในโรงเรียน ทำให้เด็กอยากไปโรงเรียน

หัวหน้าภาควิชาการศึกษาปฐมวัย แนะนำถึงวิธีแก้ปัญหาและรับมือกับความเครียดที่จะเกิดขึ้นกับเด็กว่า ก่อนโรงเรียนเปิด พ่อแม่อาจจะพาลูกไปเที่ยวโรงเรียนก่อน ซึ่งโรงเรียนบางแห่งเปิดให้ “ซ้อมไปโรงเรียน” โดยให้พ่อแม่ไปอยู่ด้วยก่อน แต่แม้จะมีการซ้อม แต่เมื่อถึงเวลาต้องอยู่ที่โรงเรียนคนเดียวจริงๆ เด็กก็ยังร้องไห้ เพราะพ่อแม่ยังไปแอบเดินวนๆ ดูลูก ซึ่งไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อซ้อมไปโรงเรียน หรือไปโรงเรียนแล้ว พ่อแม่ควรกลับมาพูดคุยกันถึงกิจกรรมที่โรงเรียน ด้วยความสนุกสนาน และพ่อกับแม่ก็ต้องทำใจด้วยว่า ถึงเวลาที่ลูกต้องอยู่คนเดียว หน้าที่ที่สำคัญที่ต้องทำคือ ช่วยให้เขาสามารถดูแลตัวเองได้”

รศ.ดร.กุลยา กล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับพ่อแม่ที่ไม่ได้พาลูกไปโรงเรียนก่อนที่จะเปิดเทอม ให้พูดคุยกับลูกถึงความสนุกสนานในโรงเรียน ซึ่งเรื่องที่เล่าให้ลูกฟังต้องเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้นเกินจริงเพราะจะทำให้เด็กคาดหวังว่าจะได้จากโรงเรียน

“พ่อแม่อาจจะเอาประสบการณ์ของตนเองในการเข้าโรงเรียนใหม่ๆ มาเล่าให้ลูกฟัง ไม่เฉพาะเรื่องที่สนุกสนาน แต่ควรจะเป็นเรื่องที่เกิดความผิดพลาดขึ้นด้วย เช่น เล่าให้ฟังว่า สมัยที่แม่เข้าเรียนอนุบาลนะ ตอนเช้าๆ เข้าแถวเคารพธงชาติ แม่ยังร้องเพลงชาติไม่ได้ ร้องผิดร้องถูกกับเพื่อนๆ ก็หัดร้องไปจนกระทั่งร้องได้ เพื่อให้ลูกได้รับรู้ว่า เมื่อไปโรงเรียนอาจจะมีเรื่องที่เขายังทำไม่เป็น หรือยังทำไม่ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องผิด และปลูกฝังให้เขามีความพยายามในการเรียนรู้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญที่พ่อแม่จะต้องช่วยลูก”

สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง ในการช่วยให้เด็กปรับตัวได้ง่ายขึ้นในช่วงแรกๆ คือ “รักษาสัญญา” เพราะเมื่อเด็กไปโรงเรียนใหม่ๆ แล้วเกิดความเครียด เขาจะรอเวลาให้พ่อแม่มารับ ซึ่งหากพ่อแม่บอกกับเขาว่าจะมารับกี่โมงต้องตรงเวลา หากมารับไม่ตรงเวลาล่าช้าออกไป จะทำให้เด็กร้องไห้หนักขึ้นเป็น 3 เท่า เพราะเขาเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจ และรู้สึกว่าพ่อแม่โกหกเขา ซึ่งในระหว่างวันที่เด็กอยู่กับคุณครูที่โรงเรียน พ่อแม่ก็อย่าวิตกกังวลมากเกินไป เพราะคุณครูก็มีวิธีการที่จะทำให้เด็กผ่อนคลาย ลดความเครียดลงได้ เช่น ให้ทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ พาร้องเพลง ห้ามมาวนเวียนให้ลูกเห็นอย่างเด็ดขาด

“สิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาดคือ บอกกับลูกว่า ดูสิเพื่อนคนนั้นยังไม่ร้องไห้เลย ทำไมลูกถึงร้องไห้ การทำเช่นนี้จะทำให้เด็กเกิดอาการน้อยใจ และคับแค้นใจกับเพื่อนคนดังกล่าวว่าทำไมถึงไม่ร้องไห้ สร้างความขุ่นเคืองให้กับเด็กและเกิดการเปรียบเทียบ ควรปลอบใจลูกและส่งให้กับคุณครู สัญญาว่าจะมารับในตอนเย็นและมาให้ตรงเวลา ในเวลาไม่นานเด็กจะปรับตัวได้เอง แต่หากใน 1 เดือนเด็กยังร้องไห้ไม่เลิก ก็ควรพบแพทย์แสดงว่าเด็กมีอาการเครียดผิดปกติ”

นอกจากดูแลเจ้าตัวน้อยไม่ให้ร้องไห้เมื่อไปโรงเรียนแล้ว พ่อแม่ก็ต้องดูแลตัวเองไม่ให้ร้องไห้เมื่อลูกไปโรงเรียนด้วยเช่นกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น