สมาคมความดันโลหิตสูงฯ เผยผลสำรวจหมอ 17 ประเทศ กว่าครึ่งหนึ่งประเมินจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการควบคุมความดันโลหิตสูงตามระดับเป้าหมายเหมาะสมไว้มากเกินความจริง ระบุผู้ป่วยไทยแค่ร้อยละ 16 ที่ได้รับการควบคุมตามเป้าหมาย แนะหมั่นตรวจวัด ออกกำลังกาย คลายเครียด เลิกบุหรี่ เพื่อลดความเสี่ยง ขณะที่ กทม.เปิดให้บริการตรวจความดันโลหิตฟรีทุกเสาร์-อาทิตย์ ที่สวนสาธารณะของ กทม.ทุกแห่ง
เวลา 06.00 น. วันนี้ (13 พ.ค.) สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร (กทม.) ร่วมจัดกิจกรรมเดินเพื่อสุขภาพและรณรงค์เนื่องในวันความดันโลหิตสูงโลก 13 พฤษภาคม ที่สวนลุมพินี โดย พญ.หญิงน้อย อุบลเดชประชารักษ์ นายกสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในโอกาสนี้สมาพันธ์ความดันโลหิตสูงโลกได้ประกาศผลการสำรวจระดับนานาชาติชื่อ “Close the Gap Survey” ในโครงการ “i-Control to Goal” ซึ่งเน้นการรณรงค์ลดช่องว่างให้ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงสามารถควบคุมความดันโลหิตให้เป็นไปตามเป้าหมายของระดับความดันโลหิตที่เหมาะสมคือต่ำกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตรปรอท ผลสำรวจดังกล่าวพบว่ากว่าร้อยละ 50 ของแพทย์ 1,259 คนใน 17 ประเทศ เชื่อว่าผู้ป่วยร้อยละ 70 ได้รับการควบคุมความดันโลหิตตามเป้าหมาย แต่ในความเป็นจริงมีเพียงร้อยละ 30 ในยุโรป และร้อยละ 50 ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น อีกทั้งแพทย์ร้อยละ 41 ไม่ได้ตั้งเป้าหมายจะรักษาผู้ป่วยให้มีความดันโลหิตกลับสู่ระดับเหมาะสม
สำหรับสถิติการควบคุมความดันโลหิตในประเทศไทย พญ.หญิงน้อย กล่าวว่า มีผู้ป่วยความดันโลหิตสูงร้อยละ 20 หรือ 6 ล้านคน และมีเพียงร้อยละ 16 ที่ได้รับการควบคุมให้อยู่ในระดับ 140/90 มม.ปรอท ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยและน่าตกใจมาก สาเหตุมีหลายประการ เช่น เป็นโรคที่ไม่มีอาการในระยะแรก ผู้ป่วยจึงคงพฤติกรรมเสี่ยงให้อาการสะสมขึ้นเรื่อย ๆ และกระทบต่ออวัยวะต่าง ๆ ในที่สุด โดยรักษาได้ยากแล้ว นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการอาศัยอยู่สภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงด้วย
“โรคความดันโลหิตสูง เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น เกิดจากทั้งการถ่ายทอดทางพันธุกรรม และพฤติกรรมเสี่ยง เช่น มีอายุเกิน 65 ปี สูบบุหรี่ น้ำหนักเกิน ไม่ค่อยออกกำลังกาย เป็นต้น แต่ทั้งจะตรวจรู้ได้เร็วที่สุดก็เมื่ออายุ 40 ปีแล้ว และเมื่อเป็นแล้วก็จะต้องรับประทานยา รวมทั้งทำการควบคุมไปตลอดชีวิต ซึ่งเมื่อตรวจพบก็ต้องรีบปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดความดันโลหิตเป้าหมายที่เหมาะสมที่จะทำการควบคุมให้ได้ต่อไป” พญ.หญิงน้อย กล่าวและว่าโรคความดันโลหิตสูงสามารถป้องกันหรือควบคุมความดันโลหิตได้โดยการหมั่นตรวจวัดสังเกตระดับความดันโลหิต ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำตนให้กระฉับกระเฉง เลิกสูบบุหรี่ รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ลดน้ำหนัก พักผ่อนคลายเครียด โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคนี้แล้วจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์และรับประทานยาอย่างเคร่งครัดต่อเนื่อง ไม่ควรตัดสินใจหยุดยาด้วยตนเอง
ด้านคุณหญิงณฐนนท ทวีสิน ปลัด กทม. เปิดเผยว่า นับจากนี้สวนสาธารณะของ กทม.ทั้ง 12 แห่ง เช่น สวนลุมพินี สวนจตุจักร สวนวชิรเบญจทัศน์ เป็นต้น จะมีแพทย์พยาบาลคอยให้บริการทางสุขภาพ รวมทั้งการตรวจวัดความดัน โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เป็นประจำทุกวันเสาร์และอาทิตย์ รวมทั้งจะปรับเพิ่มต้นไม้ร่มเงาในสวนสาธารณะเพื่อให้คนกรุงเทพมาออกกำลังกายและเอาใจใส่สุขภาพมากขึ้น
เวลา 06.00 น. วันนี้ (13 พ.ค.) สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร (กทม.) ร่วมจัดกิจกรรมเดินเพื่อสุขภาพและรณรงค์เนื่องในวันความดันโลหิตสูงโลก 13 พฤษภาคม ที่สวนลุมพินี โดย พญ.หญิงน้อย อุบลเดชประชารักษ์ นายกสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในโอกาสนี้สมาพันธ์ความดันโลหิตสูงโลกได้ประกาศผลการสำรวจระดับนานาชาติชื่อ “Close the Gap Survey” ในโครงการ “i-Control to Goal” ซึ่งเน้นการรณรงค์ลดช่องว่างให้ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงสามารถควบคุมความดันโลหิตให้เป็นไปตามเป้าหมายของระดับความดันโลหิตที่เหมาะสมคือต่ำกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตรปรอท ผลสำรวจดังกล่าวพบว่ากว่าร้อยละ 50 ของแพทย์ 1,259 คนใน 17 ประเทศ เชื่อว่าผู้ป่วยร้อยละ 70 ได้รับการควบคุมความดันโลหิตตามเป้าหมาย แต่ในความเป็นจริงมีเพียงร้อยละ 30 ในยุโรป และร้อยละ 50 ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น อีกทั้งแพทย์ร้อยละ 41 ไม่ได้ตั้งเป้าหมายจะรักษาผู้ป่วยให้มีความดันโลหิตกลับสู่ระดับเหมาะสม
สำหรับสถิติการควบคุมความดันโลหิตในประเทศไทย พญ.หญิงน้อย กล่าวว่า มีผู้ป่วยความดันโลหิตสูงร้อยละ 20 หรือ 6 ล้านคน และมีเพียงร้อยละ 16 ที่ได้รับการควบคุมให้อยู่ในระดับ 140/90 มม.ปรอท ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยและน่าตกใจมาก สาเหตุมีหลายประการ เช่น เป็นโรคที่ไม่มีอาการในระยะแรก ผู้ป่วยจึงคงพฤติกรรมเสี่ยงให้อาการสะสมขึ้นเรื่อย ๆ และกระทบต่ออวัยวะต่าง ๆ ในที่สุด โดยรักษาได้ยากแล้ว นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการอาศัยอยู่สภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงด้วย
“โรคความดันโลหิตสูง เป็นสาเหตุของโรคหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น เกิดจากทั้งการถ่ายทอดทางพันธุกรรม และพฤติกรรมเสี่ยง เช่น มีอายุเกิน 65 ปี สูบบุหรี่ น้ำหนักเกิน ไม่ค่อยออกกำลังกาย เป็นต้น แต่ทั้งจะตรวจรู้ได้เร็วที่สุดก็เมื่ออายุ 40 ปีแล้ว และเมื่อเป็นแล้วก็จะต้องรับประทานยา รวมทั้งทำการควบคุมไปตลอดชีวิต ซึ่งเมื่อตรวจพบก็ต้องรีบปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดความดันโลหิตเป้าหมายที่เหมาะสมที่จะทำการควบคุมให้ได้ต่อไป” พญ.หญิงน้อย กล่าวและว่าโรคความดันโลหิตสูงสามารถป้องกันหรือควบคุมความดันโลหิตได้โดยการหมั่นตรวจวัดสังเกตระดับความดันโลหิต ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำตนให้กระฉับกระเฉง เลิกสูบบุหรี่ รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ลดน้ำหนัก พักผ่อนคลายเครียด โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคนี้แล้วจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์และรับประทานยาอย่างเคร่งครัดต่อเนื่อง ไม่ควรตัดสินใจหยุดยาด้วยตนเอง
ด้านคุณหญิงณฐนนท ทวีสิน ปลัด กทม. เปิดเผยว่า นับจากนี้สวนสาธารณะของ กทม.ทั้ง 12 แห่ง เช่น สวนลุมพินี สวนจตุจักร สวนวชิรเบญจทัศน์ เป็นต้น จะมีแพทย์พยาบาลคอยให้บริการทางสุขภาพ รวมทั้งการตรวจวัดความดัน โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เป็นประจำทุกวันเสาร์และอาทิตย์ รวมทั้งจะปรับเพิ่มต้นไม้ร่มเงาในสวนสาธารณะเพื่อให้คนกรุงเทพมาออกกำลังกายและเอาใจใส่สุขภาพมากขึ้น