ปัจจุบัน ปัญหาการแพร่ระบาดของสารระเหยได้ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นทุกวัน โดยในปี 2544-2546 จำนวนผู้เสพที่ถูกจับกุมได้มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึงปีละ 10% และแม้ว่าจำนวนผู้เสพที่ถูกจับกุมจะเริ่มลดลงในปี 2547 แต่ผลจากการจับกุมผู้เสพสารระเหย ก็ยังมีเป็นอันดับ 2 รองจากยาบ้า และสำหรับในปี 2548 มีผู้เสพสารระเหยที่ถูกจับกุม เพิ่มขึ้นถึง 25 %

ที่สำคัญในสถิติการจับกุมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าส่วนใหญ่พบว่าจะอยู่ในกลุ่มของเด็กและเยาวชน ที่มีอายุระหว่าง 15-18 ปี และจากข้อมูลของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน พบว่าในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดเกี่ยวกับคดียาเสพติดโดยในปี 2548 มีจำนวนมากถึง 2,479 คน หรือ 38% ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเด็กเร่ร่อน เด็กนักเรียน และเยาวชนทั่วไป
ทั้งนี้ สารระเหยที่เด็กนิยมเสพกันนั้นก็คือ กาว 3K กาวทารองเท้า น้ำยาล้างเล็บ แลกเกอร์ ทินเนอร์
ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ภัยของสารระเหยเหล่านี้รุนแรงมาก โดยทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผอ.สำนักสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงรอง สำนักงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) สรุปว่า เนื่องจากเป็นการเสพด้วยวิธีสูดดม จึงทำอันตรายต่อระบบหายใจ และเมื่อซึมผ่านจากปอดเข้าสู่กระแสเลือด ก็จะทำอันตรายต่อระบบไหลเวียนโลหิต และที่สำคัญผู้ที่เสพสารระเหยนั้น จะต้องใช้เวลาในการบำบัดนานกว่าผู้ที่เสพเฮโรอีนหรือยาบ้า เพราะเซลล์สมองถูกทำลายจนตายไปแล้ว
...อย่างไรก็ตาม แม้สารระเหยเหล่านี้จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพมาก แต่เมื่อดูจากตัวเลขคนติดแล้วก็ต้องบอกว่า น่าเป็นห่วงอย่างมาก และสิ่งที่น่าสนใจตามมาก็คือ พวกเขาก้าวเข้าไปสู่วังวนของสารเสพติดอย่างไร
หนึ่ง (นามสมมติ) อายุ 18 ปี เล่าให้ฟังว่า ติดสารระเหยตั้งแต่อายุ 15 ปี โดยเป็นผลมาจากการที่ตนเองทำงานในโรงงานผลิตสีพ่นกระป๋องรถยนต์ ซึ่งทุกวันของการทำงานก็จะต้องได้รับสารทินเนอร์ จนกลายเป็นว่าวันไหนที่ไม่ได้กลิ่นทินเนอร์ก็ไม่สามารถมีแรงทำงานได้ ซึ่งเป็นการติดสารระเหยโดยที่ไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้ตัวว่าติดสารระเหยจึงเข้ารับการบำบัด และถูกส่งให้ไปอยู่ที่บ้านกาญจนาภิเษกในที่สุด

หนึ่งบอกว่า การที่เด็กติดสารระเหยนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดมาจากครอบครัว แต่เป็นเพราะสารระเหยเป็นสารเสพติดที่หาซื้อง่าย และที่สำคัญพื้นที่การใช้กิจกรรมการแสดงออกของวัยรุ่นค่อนข้างที่จะมีจำกัด และขาดทักษะในเรื่องของการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ จึงส่งผลให้เยาวชนไม่สามารถมีพื้นที่ที่จะใช้ในการทำกิจกรรมได้อย่างเหมาะสม จึงทำให้เด็กหันไปรวมกลุ่มมั่วสุมเสพสารเสพติด จนกลายเป็นปัญหาสังคมที่ตามมา
“ผมอยากจะให้สังคมให้โอกาสกับผู้ที่หลงผิดไปติดสิ่งเสพติด เพราะคนที่เขาเคยทำผิดพลาดอาจจะเป็นเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่เมื่อเขาเหล่านั้นกลับใจ และเป็นคนดี สังคมก็ควรที่จะให้พื้นที่กับเขาได้มีโอกาสแสดงความสามารถ”
สอง (นามสมุติ) อายุ 17 ปี ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่หลงตกเป็นเหยื่อของสารระเหย โดยติดเพราะความเคยชินที่ประสบพบเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...
สองเล่าว่า ตอนแรกไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะดม แต่พอเห็นเพื่อนหรือคนที่อยู่ในชุมชนดมให้เห็นทุกวัน ก็เลยรู้สึกอยากจะลองเพราะอยากจะรู้ว่ามันเป็นอย่างไร โดยชนิดแรกที่ดมก็คือ กาว จากนั้นก็ขยับมาเป็นทินเนอร์ โดยเริ่มติดสารนี้ตั้งแต่อายุ 15 ปี
“ไม่ได้ไปซื้อเองหรอกครับ แต่วานให้พี่ที่อยู่ในกลุ่มไปซื้อให้”
“ผมเคยติดสารนี้มากจนถึงขั้นว่า ต้องทำทุกวิธีเพื่อที่จะหาเงินมาซื้อสารระเหยดม และพาตัวเองไปติดอยู่ในโคจรที่เลวร้าย ต้องวิ่งราวฉกชิงทรัพย์เพื่อที่จะเอาเงินมาซื้อสิ่งเหล่านี้ จนถูกตำรวจจับในคดี เกี่ยวกับทรัพย์ ทำให้ต้องสูญเสียโอกาสดี ๆในชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย”
นอกจากนี้ สองยังได้ฝากบอกกับเพื่อนๆ ที่เคยร่วมชะตากรรมเดียวกันให้เลิก เสพสิ่งของชั่วร้ายเหล่านั้น เพราะไม่ได้ส่งผลดีกับใครเลย นอกจากเราจะทำลายตัวเองแล้ว ยังทำร้ายจิตใจคนที่เขารัก และหวังในตัวเราอย่างพ่อกับแม่ของเราอีกด้วย
และปิดท้ายกันที่ เอ (นามสมมติ) วัย 18 ปี ตัวแทนเด็กที่เคยติดสารระเหยจากบ้านกาญจนาภิเษก
เอบอกว่า ติดสารระเหยตั้งแต่อายุ 10 ปี โดยการชักชวนของกลุ่มเพื่อน เงินที่หามาได้จากการล้างจานก็นำมาซื้อสารเสพติด โดยให้คนที่โตกว่าไปซื้อมาเสพ ผู้ใหญ่เตือนไม่เคยเชื่อรู้ตัวอีกทีก็ติดแล้ว ทั้งนี้ ตนเองติดสารระเหยมากว่า 4 ปี แล้วจึงเข้าๆ ออกๆ สถานพินิจเนื่องจากก่อคดีเกี่ยวกับทรัพย์ ซึ่งเมื่อกลับมาบ้านก็ไม่สามารถเลิกได้เพราะต้องมาเจอกับสภาพสิ่งแวดล้อมเดิมๆ

“ผมไม่โทษใคร เพราะมันอยู่ที่ตัวของเราเอง ถ้าเรามีใจที่เข้มแข็งไม่คิดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน เราก็จะไม่ติดมัน ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี ครอบครัวไม่อบอุ่นนั้นไม่ใช่ปัญหา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีทางที่แก้ไขได้ ขอเพียงแค่เรามีจิตใจที่เข้มแข็งปัญหาต่าง ๆก็จะผ่านไปด้วยดี”
เอยังฝากบอกอีกว่าอยากจะให้ทุกคนที่ติดสิ่งเลวร้ายนี้อยู่ให้เลิกเสพ เพราะถ้าขืนยังเสพต่อไปอาจจะทำให้สมองของเราเสื่อมได้
ด้านธนากร บุญชูวงศ์ เจ้าหน้าที่ประจำบ้านกาญจนาภิเษก ได้สรุปถึงสาเหตุที่เด็กถูกส่งให้มาอยู่ที่บ้านกาญจนาภิเษกว่า เด็กส่วนใหญ่จะมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ซึ่งสาเหตุหลักที่เด็กมีความผิดเกี่ยวกับคดีทางทรัพย์ก็คือ เด็กไม่มีเงินซื้อ จึงได้ก่อคดีอาญาโดยการวิ่งราวฉกชิงทรัพย์ เมื่อถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับก็ส่งให้มาอยู่ที่บ้านฯ ซึ่งขณะนี้ภายในบ้านมีเด็กและเยาวชนที่มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์อันเนื่องมาจากสารเสพติดจำนวน 156 คน
ทั้งนี้ เด็กและเยาวชนที่ถูกส่งมาที่บ้านจะได้รับการดูแลในเรื่องของความคิดเป็นหลัก เพราะเด็กที่หลงผิดไปติดสิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการขาดการคิดไตร่ตรองที่ดี เพราะฉะนั้นทุกวันจะให้พี่เลี้ยงที่ดูแลเด็ก สั่งการบ้านให้ทุกคนดูข่าวและนำข่าวที่ดูมาวิเคราะห์ว่าถ้าเหตุการณ์นี้เกิดกับเรา หรือญาติพี่น้องของเรา จะรู้สึกอย่างไร ซึ่งเป็นการให้เด็กได้หัดใช้ความคิด เพื่อให้เขาสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ตามปรกติ
...ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่า ปัญหาเรื่องของยาเสพติดกับเด็กและเยาวชนนับวันนับจะเป็นปัญหาที่นับวันจะมีความทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกวัน สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาแทนที่จะเป็นการโยนความผิดให้กันและกัน ทุกฝ่ายควรจะหันมาร่วมมือกันแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังเสียที่ เพี่อให้อนาคตของชาติเติบโตมาสร้างประโยชน์ให้กับสังคมต่อไป
ที่สำคัญในสถิติการจับกุมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าส่วนใหญ่พบว่าจะอยู่ในกลุ่มของเด็กและเยาวชน ที่มีอายุระหว่าง 15-18 ปี และจากข้อมูลของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน พบว่าในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดเกี่ยวกับคดียาเสพติดโดยในปี 2548 มีจำนวนมากถึง 2,479 คน หรือ 38% ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเด็กเร่ร่อน เด็กนักเรียน และเยาวชนทั่วไป
ทั้งนี้ สารระเหยที่เด็กนิยมเสพกันนั้นก็คือ กาว 3K กาวทารองเท้า น้ำยาล้างเล็บ แลกเกอร์ ทินเนอร์
ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ภัยของสารระเหยเหล่านี้รุนแรงมาก โดยทพ.ศิริเกียรติ เหลียงกอบกิจ ผอ.สำนักสนับสนุนการสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงรอง สำนักงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) สรุปว่า เนื่องจากเป็นการเสพด้วยวิธีสูดดม จึงทำอันตรายต่อระบบหายใจ และเมื่อซึมผ่านจากปอดเข้าสู่กระแสเลือด ก็จะทำอันตรายต่อระบบไหลเวียนโลหิต และที่สำคัญผู้ที่เสพสารระเหยนั้น จะต้องใช้เวลาในการบำบัดนานกว่าผู้ที่เสพเฮโรอีนหรือยาบ้า เพราะเซลล์สมองถูกทำลายจนตายไปแล้ว
...อย่างไรก็ตาม แม้สารระเหยเหล่านี้จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพมาก แต่เมื่อดูจากตัวเลขคนติดแล้วก็ต้องบอกว่า น่าเป็นห่วงอย่างมาก และสิ่งที่น่าสนใจตามมาก็คือ พวกเขาก้าวเข้าไปสู่วังวนของสารเสพติดอย่างไร
หนึ่ง (นามสมมติ) อายุ 18 ปี เล่าให้ฟังว่า ติดสารระเหยตั้งแต่อายุ 15 ปี โดยเป็นผลมาจากการที่ตนเองทำงานในโรงงานผลิตสีพ่นกระป๋องรถยนต์ ซึ่งทุกวันของการทำงานก็จะต้องได้รับสารทินเนอร์ จนกลายเป็นว่าวันไหนที่ไม่ได้กลิ่นทินเนอร์ก็ไม่สามารถมีแรงทำงานได้ ซึ่งเป็นการติดสารระเหยโดยที่ไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้ตัวว่าติดสารระเหยจึงเข้ารับการบำบัด และถูกส่งให้ไปอยู่ที่บ้านกาญจนาภิเษกในที่สุด
หนึ่งบอกว่า การที่เด็กติดสารระเหยนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดมาจากครอบครัว แต่เป็นเพราะสารระเหยเป็นสารเสพติดที่หาซื้อง่าย และที่สำคัญพื้นที่การใช้กิจกรรมการแสดงออกของวัยรุ่นค่อนข้างที่จะมีจำกัด และขาดทักษะในเรื่องของการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ จึงส่งผลให้เยาวชนไม่สามารถมีพื้นที่ที่จะใช้ในการทำกิจกรรมได้อย่างเหมาะสม จึงทำให้เด็กหันไปรวมกลุ่มมั่วสุมเสพสารเสพติด จนกลายเป็นปัญหาสังคมที่ตามมา
“ผมอยากจะให้สังคมให้โอกาสกับผู้ที่หลงผิดไปติดสิ่งเสพติด เพราะคนที่เขาเคยทำผิดพลาดอาจจะเป็นเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่เมื่อเขาเหล่านั้นกลับใจ และเป็นคนดี สังคมก็ควรที่จะให้พื้นที่กับเขาได้มีโอกาสแสดงความสามารถ”
สอง (นามสมุติ) อายุ 17 ปี ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่หลงตกเป็นเหยื่อของสารระเหย โดยติดเพราะความเคยชินที่ประสบพบเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน...
สองเล่าว่า ตอนแรกไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะดม แต่พอเห็นเพื่อนหรือคนที่อยู่ในชุมชนดมให้เห็นทุกวัน ก็เลยรู้สึกอยากจะลองเพราะอยากจะรู้ว่ามันเป็นอย่างไร โดยชนิดแรกที่ดมก็คือ กาว จากนั้นก็ขยับมาเป็นทินเนอร์ โดยเริ่มติดสารนี้ตั้งแต่อายุ 15 ปี
“ไม่ได้ไปซื้อเองหรอกครับ แต่วานให้พี่ที่อยู่ในกลุ่มไปซื้อให้”
“ผมเคยติดสารนี้มากจนถึงขั้นว่า ต้องทำทุกวิธีเพื่อที่จะหาเงินมาซื้อสารระเหยดม และพาตัวเองไปติดอยู่ในโคจรที่เลวร้าย ต้องวิ่งราวฉกชิงทรัพย์เพื่อที่จะเอาเงินมาซื้อสิ่งเหล่านี้ จนถูกตำรวจจับในคดี เกี่ยวกับทรัพย์ ทำให้ต้องสูญเสียโอกาสดี ๆในชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย”
นอกจากนี้ สองยังได้ฝากบอกกับเพื่อนๆ ที่เคยร่วมชะตากรรมเดียวกันให้เลิก เสพสิ่งของชั่วร้ายเหล่านั้น เพราะไม่ได้ส่งผลดีกับใครเลย นอกจากเราจะทำลายตัวเองแล้ว ยังทำร้ายจิตใจคนที่เขารัก และหวังในตัวเราอย่างพ่อกับแม่ของเราอีกด้วย
และปิดท้ายกันที่ เอ (นามสมมติ) วัย 18 ปี ตัวแทนเด็กที่เคยติดสารระเหยจากบ้านกาญจนาภิเษก
เอบอกว่า ติดสารระเหยตั้งแต่อายุ 10 ปี โดยการชักชวนของกลุ่มเพื่อน เงินที่หามาได้จากการล้างจานก็นำมาซื้อสารเสพติด โดยให้คนที่โตกว่าไปซื้อมาเสพ ผู้ใหญ่เตือนไม่เคยเชื่อรู้ตัวอีกทีก็ติดแล้ว ทั้งนี้ ตนเองติดสารระเหยมากว่า 4 ปี แล้วจึงเข้าๆ ออกๆ สถานพินิจเนื่องจากก่อคดีเกี่ยวกับทรัพย์ ซึ่งเมื่อกลับมาบ้านก็ไม่สามารถเลิกได้เพราะต้องมาเจอกับสภาพสิ่งแวดล้อมเดิมๆ
“ผมไม่โทษใคร เพราะมันอยู่ที่ตัวของเราเอง ถ้าเรามีใจที่เข้มแข็งไม่คิดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน เราก็จะไม่ติดมัน ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี ครอบครัวไม่อบอุ่นนั้นไม่ใช่ปัญหา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีทางที่แก้ไขได้ ขอเพียงแค่เรามีจิตใจที่เข้มแข็งปัญหาต่าง ๆก็จะผ่านไปด้วยดี”
เอยังฝากบอกอีกว่าอยากจะให้ทุกคนที่ติดสิ่งเลวร้ายนี้อยู่ให้เลิกเสพ เพราะถ้าขืนยังเสพต่อไปอาจจะทำให้สมองของเราเสื่อมได้
ด้านธนากร บุญชูวงศ์ เจ้าหน้าที่ประจำบ้านกาญจนาภิเษก ได้สรุปถึงสาเหตุที่เด็กถูกส่งให้มาอยู่ที่บ้านกาญจนาภิเษกว่า เด็กส่วนใหญ่จะมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ซึ่งสาเหตุหลักที่เด็กมีความผิดเกี่ยวกับคดีทางทรัพย์ก็คือ เด็กไม่มีเงินซื้อ จึงได้ก่อคดีอาญาโดยการวิ่งราวฉกชิงทรัพย์ เมื่อถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับก็ส่งให้มาอยู่ที่บ้านฯ ซึ่งขณะนี้ภายในบ้านมีเด็กและเยาวชนที่มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์อันเนื่องมาจากสารเสพติดจำนวน 156 คน
ทั้งนี้ เด็กและเยาวชนที่ถูกส่งมาที่บ้านจะได้รับการดูแลในเรื่องของความคิดเป็นหลัก เพราะเด็กที่หลงผิดไปติดสิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการขาดการคิดไตร่ตรองที่ดี เพราะฉะนั้นทุกวันจะให้พี่เลี้ยงที่ดูแลเด็ก สั่งการบ้านให้ทุกคนดูข่าวและนำข่าวที่ดูมาวิเคราะห์ว่าถ้าเหตุการณ์นี้เกิดกับเรา หรือญาติพี่น้องของเรา จะรู้สึกอย่างไร ซึ่งเป็นการให้เด็กได้หัดใช้ความคิด เพื่อให้เขาสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ตามปรกติ
...ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่า ปัญหาเรื่องของยาเสพติดกับเด็กและเยาวชนนับวันนับจะเป็นปัญหาที่นับวันจะมีความทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกวัน สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาแทนที่จะเป็นการโยนความผิดให้กันและกัน ทุกฝ่ายควรจะหันมาร่วมมือกันแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังเสียที่ เพี่อให้อนาคตของชาติเติบโตมาสร้างประโยชน์ให้กับสังคมต่อไป