อีกสิ่งหนึ่งที่คนเราได้รับจากธรรมชาติเท่าๆ กันคือ "เวลา" ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ว่ามนุษย์หน้าไหน ฐานะใด ล้วนแล้วแต่ได้รับ 24 ชั่วโมงใน 1 วันเหมือนกันหมด แต่นอกเหนือจากนั้นก็คือใครจะนำสิ่งที่ได้รับไปจัดบริหารกันอย่างไร และ 1 ในจำนวนนับล้านๆ คนบนโลกใบนี้ ยังมีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่กำลังจะจัดการบริหารเวลาในการทำสิ่งต่างๆ ที่ "สุดขั้ว" เพื่อไล่ตามความฝันของตัวเอง...วันนี้เราจะพาคุณมาแง้มชีวิตอันน่าสนุกและมีแง่มุมให้คิดตามของผู้ชายที่ชื่อ "ศิระ สัจจินานนท์"
…เว็บมาสเตอร์เว็บไซต์ดัง นักกีฬาบาสเกตบอลสมัครเล่น กรรมการสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย นักปีนภูเขาจำลองรุ่นเยาวชนคนแรกๆ ของประเทศไทย ท็อปเทนกีฬาเอ็กซ์ตรีมระดับอาเซียน กราฟิกดีไซน์เนอร์ โปรแกรมเมอร์มือทอง เบื้องหลังระบบการจัดการโปรเจ็กต์ใหญ่ๆ อย่างกองทุนหมู่บ้าน และระบบติดตามคนหายช่วงธรณีพิบัติภัยคลื่นยักษ์สึนามิ ...
คุณสมบัติที่กล่าวมาข้างต้นอาจไม่ใช่ของที่เกินความสามารถของคนหลายคน แต่ถ้าหากจะกล่าวว่า ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เป็นคุณสมบัติที่เกิดขึ้นภายในตัวของคนคนเดียว แล้วคนคนนั้นก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีดี ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย
* “พ่อบอกว่าการศึกษาลูกรอไม่ได้”
"ศิระ สัจจินานนท์" หรือ "ฮั้นท์" วัย 19 ปี นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ม.ราชภัฏสวนดุสิต เด็กหนุ่มหน้าใสผู้ร่ำรวยรอยยิ้มและอารมณ์ขันได้เล่าประวัติชีวิตส่วนตัวให้ฟังว่า ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวเล็กๆ ที่แสนอบอุ่น เขาเป็นลูกชายคนเล็ก โดยมีพี่ชายที่ห่างกันถึง 6 ปี

ฮั้นท์เป็นคนโชคดีมาก ที่ทั้งพ่อและแม่เป็นคนที่เล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาอย่างยิ่งยวด ไม่ใช่เฉพาะการเรียนในชั้นเรียนเพียงอย่างเดียว อาจจะเป็นเพราะพ่อเคยเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ จึงให้ความสำคัญกับกิจกรรมนอกหลักสูตรทุกอย่างของลูก และได้พาตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกของลูกชายทั้งสองคนแบบไร้กำแพงขวางกั้น
“พ่อพูดเสมอว่า เรื่องลูกรอไม่ได้ การศึกษาลูกรอไม่ได้ ท่านจะไม่เคยให้รอในเรื่องของการเรียน พ่อไม่เคยให้ลูกขัดสนเรื่องความรู้”
เขาเล่าว่าฐานะทางบ้านถือว่าปานกลาง ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนคนอื่น แต่สมัยเด็ก เขาจำได้ว่าพ่อและแม่อยากหางานอดิเรกที่สามารถเสริมทักษะให้ลูกได้ เพราะคิดว่าความรู้รอบตัวในเรื่องที่นอกเหนือจากการเรียนจะทำให้ลูกชายกลายเป็นคนมั่นใจในตนเอง จึงไปกู้เงินมาซื้ออิเล็กโทนราคาหลายหมื่นมาให้ แต่บังเอิญว่าฮั้นท์และพี่ชายซึ่งยังเด็กอยู่ในขณะนั้นยังไม่มีแรงจูงใจในการเล่น ความพยายามของพ่อแม่ในคราวนี้เลยค่อนข้างไม่ได้ผล
แต่แล้ววันหนึ่ง ในวันที่เขาศึกษาอยู่เพียงชั้นอนุบาล 3 โลกของฮั้นท์และพี่ชายก็มีอันจะต้องบรรจบได้พบกับเจ้าจอสี่เหลี่ยมสีเขียว .... มันเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นแรกๆ ที่มีในประเทศไทย และเมื่อพ่อเห็นลูกเริ่มสนใจในสิ่งที่เห็นแล้วว่าน่าจะเป็นเรื่องที่นำไปต่อยอดทางการศึกษาได้ จึงไม่ลังเลที่จะนำอิเล็กโทนตัวนั้นไปขายแล้วเปลี่ยนมาเป็นคอมพิวเตอร์
ช่วงนั้นฮั้นท์ยังเหมือนเด็กคนอื่นๆ คือชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ในขณะที่พี่ชายที่อายุมากกว่าถูกส่งไปเรียนที่โรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์เอกชนที่เพิ่งจะเริ่มมีขึ้นในเมืองไทย แต่ความสนใจในด้านเกมของเด็กชายเปลี่ยนไปเมื่อพี่ชายแกล้งล็อกรหัสคอมพิวเตอร์เพื่อไม่ให้น้องชายคนเล็กเล่น ฮั้นท์เลยเริ่มรู้สึกอยากเอาชนะ และเริ่มเรียนรู้ที่จะแก้รหัส เจาะรหัสได้ตั้งแต่อยู่ประมาณชั้น ป.3 จากนั้นเขาก็ศึกษาหาความรู้เรื่อยมา และเนื่องจากคอมพิวเตอร์เป็นศาสตร์อีกศาสตร์หนึ่งที่มีสิ่งใหม่ๆ ในการเรียนรู้มากขึ้นทุกๆ วินาที สุดท้ายเด็กชายจึงจำต้องอ่านตำราภาษาอังกฤษ เนื่องจากในยุคนั้นตำราคอมพิวเตอร์ภาษาไทยมีน้อยมาก
“เป็นโชคดีของผมที่สมัยเรียนตอนเด็กๆ โรงเรียนผมปูพื้นฐานภาษาอังกฤษแน่นมาก ช่วงนั้นตำราคอมพิวเตอร์ภาษาไทยไม่ค่อยมี พอเราอยากรู้บางทีมันจำต้องอ่าน Text book ภาษาอังกฤษไงครับ และนั่นทำให้เราได้ทั้งความรู้โดยตรงในเรื่องของคอมพิวเตอร์ และได้ความรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มด้วยโดยไม่รู้ตัว”
และเมื่อเทคโนโลยีโลกไร้พรมแดนอย่าง “อินเทอร์เน็ต” เริ่มเข้ามาในเมืองไทย เขาก็ให้ความสนใจในทันที
เด็กชายศิระในชั้นประถม จึงเริ่มเรียนรู้โปรแกรมต่างๆ ที่จำเป็นต่อการทำเว็บไซต์ อาทิ โฟโต้ชอป ฟรอนต์เพจ โดยเจ้าตัวอธิบาย การทำเว็บไซต์ในช่วงนั้นของเขาไม่ใช่การเขียนโปรแกรม แต่เป็นการทำเว็บด้วยโปรแกรมทางศิลปะเสียมากกว่า หากจะอัพเดทกันแต่ละครั้ง ก็คือต้องเข้าไปแก้ใหม่ แล้วก็มีส่วนของลิงค์ ที่สามารถลิงค์ไปเว็บไซต์อื่นได้เท่านั้น เป็นงานที่หนักไปด้านการดีไซน์เว็บไซต์ โดยเขาเริ่มทำได้ตอนประมาณประถม 5 และเมื่อขึ้นประถม 6 เขาก็ได้ทำเว็บไซต์ออกมาชื่อ “เด็กไทยดอทคอม” เป็นการรวมลิงค์ทุกๆ อย่างที่เด็กต้องการ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควรเนื่องจากถูกมองว่าเป็นเว็บไซต์ที่เด็กรุ่นประถมเป็นคนทำ ทำให้ถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย
“ช่วงป.5 เริ่มหัดทำเว็บไซต์ พอขึ้นป.6 ฝีมือเริ่มดีขึ้น พอขึ้นม.ต้นก็เริ่มรับงานเป็นจ๊อบๆ พวกออกแบบเว็บไซต์ ได้งานละ 2,000 – 3,000 บาท โดนหลอกบ้างอะไรบ้าง (หัวเราะ) ตอนนั้นทำงานเป็นไปในเชิงเว็บดีไซน์ ไม่ได้เขียนโปรแกรม เพราะยังคิดว่าโปรแกรมเป็นเรื่องไกลตัว ยุ่งยาก จนกระทั่งม.3 อายุประมาณ 12 – 13 ปี พี่ชายไปฝึกงานพาร์ทไทม์ที่เน็กสเต็ป ช่วงนั้นมีงานใหญ่ๆ มาเยอะ พี่ชายเลยดึงผมให้ไปช่วยงานด้านดีไซน์เว็บไซต์ ซึ่งผลออกมาได้รับการตอบรับดีมาก”
* นักกีฬาตัวยง
แต่นอกจากฮั้นท์จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับคอมพิวเตอร์ที่เขารัก ไม่ใช่ว่าเขาจะทิ้งชีวิตสนุกๆ ของวัยรุ่นอย่างสิ้นเชิง อีกฟากหนึ่งของเขายังมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักบาสอาชีพอีกด้วย ช่วงมัธยมฯ เขาใช้เวลาครึ่งหนึ่งจากหน้าจอเพื่อเล่นบาสเกตบอล และมักจะเล่นเป็นสตรีทบาสฯ

ต่อมาในช่วงที่กีฬาประเภทปีนภูเขาจำลองเพิ่งเข้ามาในไทย ทางบ้านจึงสนับสนุนหนุ่มน้อยให้ลองกีฬาในรูปแบบใหม่ โดยพ่อของเขาถึงกับขับรถไปรับส่งทุกวันระหว่างบ้านกับสถานที่ฝึกปีนภูเขาจำลองแถวสะพานซังฮี้
ด้วยความเอาใจใส่ของที่บ้านบวกกับพรสวรรค์ด้านกีฬาของเขา ทำให้ภายในเวลา 6 เดือน ฮั้นท์มีความสามารถในการปีนภูเขาจำลองและลงแข่งได้เป็นแชมป์ประเทศไทยในรุ่นเยาวชน ก่อนจะล่องภูเก็ตไปแข่งระดับอาเซียน แม้จะไม่ได้ถ้วยก็คว้าอันดับท็อปไฟฟ์มาได้ ถือเป็นเด็กไทยรุ่นแรกๆ ในช่วงนั้นที่เล่นกีฬาประเภทนี้
“ตอนนั้นฟิตมากๆ เล่นบาสที่โรงเรียนวันละ 4 - 5 ชั่วโมง กลับมาถึงบ้านพ่อพาไปปีนหน้าผา มืดกลับมาดีไซน์เว็บไซต์ เหนื่อยแต่สนุกครับ แต่พอปีนได้สักพัก มันก็หมดความท้าทายนะ ผมว่าการปีนเขามันเป็นการท้าทายตัวเองล้วนๆ พอปีนได้ระดับหนึ่งมันก็หมดไปเอง ช่วงนั้นเริ่มอยากเป็นหมอ เพราะมีญาติเป็นหมอ 2 คน รู้สึกว่ามันยากดี ผมชอบอะไรยากๆ ผมชอบแก้ปัญหา ตอนนั้นฟิตมาก เรียนวิทย์ เรียนชีวะได้สี่หมด แต่ก็มาเจอ มาหลงกับการเขียนโปรแกรมเสียก่อน ที่ทำให้รู้สึกว่า โหย.. มันเจ๋งมาก มันท้าทายสุดๆ”
* ความรักในวัยรุ่นจุดประกายความเป็น “ไดอารี่ออนไลน์”
เด็กหนุ่มผู้พิสมัยไอทีผู้นี้เล่าว่า ช่วงม.3 ปลายๆ เขาเกิดชอบเพื่อนสาวคนหนึ่ง เพื่อนคนนี้เป็นคนชอบเขียนไดอารี่ เขาจึงได้แรงบันดาลในในการเขียนโปรแกรมไดอารี่ขึ้นมาเพื่อให้เพื่อนสาวสามารถเขียนไดอารี่ได้แบบง่ายๆ ซึ่งโปรแกรมตัวนี้สามารถทำงานได้เหมือนเราพิมพ์งานใน Microsoft Word สามารถทำตัวหนา ตัวเอียง หรือทำสีอักษร สีพื้นได้
ต่อมาเพื่อนสาวคนนั้นก็เปรยว่าอยากให้มีคนมาช่วยกันอ่าน ช่วยกันเขียน ก็จะทำให้เขียนได้สนุกขึ้น และนั่นเป็นก้าวแรกของการทำโปรแกรมเพื่อ “ไดอารี่ออนไลน์” ชนิดเต็มรูปแบบ และจากวันนั้นจนวันนี้ เว็บไดอารี่ที่ใช้โปรแกรมการพัฒนาของเขาคนนี้ ได้กลายเป็นไดอารี่ที่มีคนต้องการจะเข้าใช้มากที่สุดเว็บไซต์หนึ่ง ...

“ทุกวันนี้ผมทำเว็บไซต์ไดอารี่อิสดอทคอม (www.diaryis.com) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ไดอารี่ออนไลน์ สำหรับโปรแกรมตัวที่ใช้อยู่ในเว็บไซต์นี้คือโปรแกรม DEX เป็นโปรแกรมที่ผมเขียนขึ้นมาเอง ไดอารี่อิสเป็นสังคมไดอารี่ที่ผมพยายามจะทำให้เป็นสังคมคุณภาพ คือก่อนหน้านี้เคยมีประสบการณ์การทำเว็บไซต์ไดอารี่ออนไลน์มาบ้าง เราก็พยายามเอาจุดดีจุดด้อยมาปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ สำหรับไดอารี่อิสนี้ผมเปิดให้ User ใช้ฟรีโดยไม่คิดเงิน ถามว่าผมได้อะไร โอเค ผมไม่ได้เงิน ไม่ได้กำไร แต่ผมได้เพื่อน ผมได้มิตรภาพ ผมฝันจะสร้างสังคมดีๆ”
“ทุกวันนี้ไดอารี่อิสไม่ได้เปิดให้ใครก็ได้สมัคร แต่เราจะใช้ระบบอินไวท์ (Invite) คือเราจะให้สมาชิกรุ่นแรกมีบัตรเชิญคนที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก ให้มาเป็นสมาชิกได้ในจำนวนจำกัดคือ 5 คน มันเป็นหลักจิตวิทยาที่ทำให้ผู้ใช้คิดก่อนที่จะเชิญใครมาเล่น คือทำให้ผู้ใช้เห็นคุณค่าของการเป็นสมาชิก แล้วเราก็จะสามารถสร้างสังคมที่รู้จักกันอย่างทั่วถึง และเป็นสังคมที่ค่อยๆ โต ไม่ใช่โตพรวดพราดจนเกินจะควบคุม ในอนาคตถ้าหากเราจะเปิดให้ Invite กันได้อีกครั้ง ก็อาจจะมีนโยบายว่า ใครเชิญใครเข้ามาใช้แล้วเกิดเข้ามาป่วน คนเชิญต้องรับผิดชอบด้วย”
ต่อข้อถามที่ว่าหนุ่มน้อยคนนี่ภูมิใจกับงานชิ้นไหนที่สุดเท่าที่เคยทำ ศิระนั่งคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า ตอบยาก เพราะในช่วงเวลาหนึ่งช่วงอายุหนึ่ง ก็จะมีงานที่รู้สึกว่าดี เป็นชิ้นใหญ่อยู่ในโอกาสนั้นๆ เช่นระบบประมวลผลสถิติกองทุนหมู่บ้าน ที่เสร็จสิ้นลงด้วยฝีมือเขา และค้นหาผู้สูญหายบนเว็บไซต์ไทยสึนามิที่เขาเป็นหนึ่งในทีมผู้ทำและเป็นฝ่ายรับผิดชอบด้านโปรแกรม โดยต่อมาไอบีเอ็มได้เข้ามาและนำระบบที่เขาเริ่มต้นเอาไว้ไปพัฒนาให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น หรือแม้กระทั่งงานทำไดอารี่ออนไลน์เพื่อสังคมออนไลน์คุณภาพก็ตาม
“ทุกวันนี้ผมว่าผมอยากเก่งกว่านี้อีกมากๆ ครับ ผมอยากแก้ปัญหา มันท้าทาย ผม ชอบคิด ชอบทำให้มันเป็นระบบ แก้เป็นเปลาะๆ ผมไม่ได้อยากเป็นบิล เกต เมืองไทย แต่ความใฝ่ฝันสูงสุดของผมนั้น ผมอยากทำให้ประเทศไทยมีชื่อเสียงครับ ผมเชื่อว่ามีคนเก่งกว่าผมอีกมาก ผมเชื่อว่าเด็กไทยเก่งนะครับ ใครว่าเด็กไทยไม่เจ๋ง เด็กไทยเจ๋งนะครับ เพียงแต่เขาขาดโอกาส” ศิระทิ้งท้าย
…เว็บมาสเตอร์เว็บไซต์ดัง นักกีฬาบาสเกตบอลสมัครเล่น กรรมการสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย นักปีนภูเขาจำลองรุ่นเยาวชนคนแรกๆ ของประเทศไทย ท็อปเทนกีฬาเอ็กซ์ตรีมระดับอาเซียน กราฟิกดีไซน์เนอร์ โปรแกรมเมอร์มือทอง เบื้องหลังระบบการจัดการโปรเจ็กต์ใหญ่ๆ อย่างกองทุนหมู่บ้าน และระบบติดตามคนหายช่วงธรณีพิบัติภัยคลื่นยักษ์สึนามิ ...
คุณสมบัติที่กล่าวมาข้างต้นอาจไม่ใช่ของที่เกินความสามารถของคนหลายคน แต่ถ้าหากจะกล่าวว่า ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เป็นคุณสมบัติที่เกิดขึ้นภายในตัวของคนคนเดียว แล้วคนคนนั้นก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีดี ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย
* “พ่อบอกว่าการศึกษาลูกรอไม่ได้”
"ศิระ สัจจินานนท์" หรือ "ฮั้นท์" วัย 19 ปี นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ม.ราชภัฏสวนดุสิต เด็กหนุ่มหน้าใสผู้ร่ำรวยรอยยิ้มและอารมณ์ขันได้เล่าประวัติชีวิตส่วนตัวให้ฟังว่า ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวเล็กๆ ที่แสนอบอุ่น เขาเป็นลูกชายคนเล็ก โดยมีพี่ชายที่ห่างกันถึง 6 ปี
ฮั้นท์เป็นคนโชคดีมาก ที่ทั้งพ่อและแม่เป็นคนที่เล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาอย่างยิ่งยวด ไม่ใช่เฉพาะการเรียนในชั้นเรียนเพียงอย่างเดียว อาจจะเป็นเพราะพ่อเคยเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ จึงให้ความสำคัญกับกิจกรรมนอกหลักสูตรทุกอย่างของลูก และได้พาตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกของลูกชายทั้งสองคนแบบไร้กำแพงขวางกั้น
“พ่อพูดเสมอว่า เรื่องลูกรอไม่ได้ การศึกษาลูกรอไม่ได้ ท่านจะไม่เคยให้รอในเรื่องของการเรียน พ่อไม่เคยให้ลูกขัดสนเรื่องความรู้”
เขาเล่าว่าฐานะทางบ้านถือว่าปานกลาง ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนคนอื่น แต่สมัยเด็ก เขาจำได้ว่าพ่อและแม่อยากหางานอดิเรกที่สามารถเสริมทักษะให้ลูกได้ เพราะคิดว่าความรู้รอบตัวในเรื่องที่นอกเหนือจากการเรียนจะทำให้ลูกชายกลายเป็นคนมั่นใจในตนเอง จึงไปกู้เงินมาซื้ออิเล็กโทนราคาหลายหมื่นมาให้ แต่บังเอิญว่าฮั้นท์และพี่ชายซึ่งยังเด็กอยู่ในขณะนั้นยังไม่มีแรงจูงใจในการเล่น ความพยายามของพ่อแม่ในคราวนี้เลยค่อนข้างไม่ได้ผล
แต่แล้ววันหนึ่ง ในวันที่เขาศึกษาอยู่เพียงชั้นอนุบาล 3 โลกของฮั้นท์และพี่ชายก็มีอันจะต้องบรรจบได้พบกับเจ้าจอสี่เหลี่ยมสีเขียว .... มันเป็นคอมพิวเตอร์รุ่นแรกๆ ที่มีในประเทศไทย และเมื่อพ่อเห็นลูกเริ่มสนใจในสิ่งที่เห็นแล้วว่าน่าจะเป็นเรื่องที่นำไปต่อยอดทางการศึกษาได้ จึงไม่ลังเลที่จะนำอิเล็กโทนตัวนั้นไปขายแล้วเปลี่ยนมาเป็นคอมพิวเตอร์
ช่วงนั้นฮั้นท์ยังเหมือนเด็กคนอื่นๆ คือชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ในขณะที่พี่ชายที่อายุมากกว่าถูกส่งไปเรียนที่โรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์เอกชนที่เพิ่งจะเริ่มมีขึ้นในเมืองไทย แต่ความสนใจในด้านเกมของเด็กชายเปลี่ยนไปเมื่อพี่ชายแกล้งล็อกรหัสคอมพิวเตอร์เพื่อไม่ให้น้องชายคนเล็กเล่น ฮั้นท์เลยเริ่มรู้สึกอยากเอาชนะ และเริ่มเรียนรู้ที่จะแก้รหัส เจาะรหัสได้ตั้งแต่อยู่ประมาณชั้น ป.3 จากนั้นเขาก็ศึกษาหาความรู้เรื่อยมา และเนื่องจากคอมพิวเตอร์เป็นศาสตร์อีกศาสตร์หนึ่งที่มีสิ่งใหม่ๆ ในการเรียนรู้มากขึ้นทุกๆ วินาที สุดท้ายเด็กชายจึงจำต้องอ่านตำราภาษาอังกฤษ เนื่องจากในยุคนั้นตำราคอมพิวเตอร์ภาษาไทยมีน้อยมาก
“เป็นโชคดีของผมที่สมัยเรียนตอนเด็กๆ โรงเรียนผมปูพื้นฐานภาษาอังกฤษแน่นมาก ช่วงนั้นตำราคอมพิวเตอร์ภาษาไทยไม่ค่อยมี พอเราอยากรู้บางทีมันจำต้องอ่าน Text book ภาษาอังกฤษไงครับ และนั่นทำให้เราได้ทั้งความรู้โดยตรงในเรื่องของคอมพิวเตอร์ และได้ความรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มด้วยโดยไม่รู้ตัว”
และเมื่อเทคโนโลยีโลกไร้พรมแดนอย่าง “อินเทอร์เน็ต” เริ่มเข้ามาในเมืองไทย เขาก็ให้ความสนใจในทันที
เด็กชายศิระในชั้นประถม จึงเริ่มเรียนรู้โปรแกรมต่างๆ ที่จำเป็นต่อการทำเว็บไซต์ อาทิ โฟโต้ชอป ฟรอนต์เพจ โดยเจ้าตัวอธิบาย การทำเว็บไซต์ในช่วงนั้นของเขาไม่ใช่การเขียนโปรแกรม แต่เป็นการทำเว็บด้วยโปรแกรมทางศิลปะเสียมากกว่า หากจะอัพเดทกันแต่ละครั้ง ก็คือต้องเข้าไปแก้ใหม่ แล้วก็มีส่วนของลิงค์ ที่สามารถลิงค์ไปเว็บไซต์อื่นได้เท่านั้น เป็นงานที่หนักไปด้านการดีไซน์เว็บไซต์ โดยเขาเริ่มทำได้ตอนประมาณประถม 5 และเมื่อขึ้นประถม 6 เขาก็ได้ทำเว็บไซต์ออกมาชื่อ “เด็กไทยดอทคอม” เป็นการรวมลิงค์ทุกๆ อย่างที่เด็กต้องการ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควรเนื่องจากถูกมองว่าเป็นเว็บไซต์ที่เด็กรุ่นประถมเป็นคนทำ ทำให้ถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย
“ช่วงป.5 เริ่มหัดทำเว็บไซต์ พอขึ้นป.6 ฝีมือเริ่มดีขึ้น พอขึ้นม.ต้นก็เริ่มรับงานเป็นจ๊อบๆ พวกออกแบบเว็บไซต์ ได้งานละ 2,000 – 3,000 บาท โดนหลอกบ้างอะไรบ้าง (หัวเราะ) ตอนนั้นทำงานเป็นไปในเชิงเว็บดีไซน์ ไม่ได้เขียนโปรแกรม เพราะยังคิดว่าโปรแกรมเป็นเรื่องไกลตัว ยุ่งยาก จนกระทั่งม.3 อายุประมาณ 12 – 13 ปี พี่ชายไปฝึกงานพาร์ทไทม์ที่เน็กสเต็ป ช่วงนั้นมีงานใหญ่ๆ มาเยอะ พี่ชายเลยดึงผมให้ไปช่วยงานด้านดีไซน์เว็บไซต์ ซึ่งผลออกมาได้รับการตอบรับดีมาก”
* นักกีฬาตัวยง
แต่นอกจากฮั้นท์จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับคอมพิวเตอร์ที่เขารัก ไม่ใช่ว่าเขาจะทิ้งชีวิตสนุกๆ ของวัยรุ่นอย่างสิ้นเชิง อีกฟากหนึ่งของเขายังมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักบาสอาชีพอีกด้วย ช่วงมัธยมฯ เขาใช้เวลาครึ่งหนึ่งจากหน้าจอเพื่อเล่นบาสเกตบอล และมักจะเล่นเป็นสตรีทบาสฯ
ต่อมาในช่วงที่กีฬาประเภทปีนภูเขาจำลองเพิ่งเข้ามาในไทย ทางบ้านจึงสนับสนุนหนุ่มน้อยให้ลองกีฬาในรูปแบบใหม่ โดยพ่อของเขาถึงกับขับรถไปรับส่งทุกวันระหว่างบ้านกับสถานที่ฝึกปีนภูเขาจำลองแถวสะพานซังฮี้
ด้วยความเอาใจใส่ของที่บ้านบวกกับพรสวรรค์ด้านกีฬาของเขา ทำให้ภายในเวลา 6 เดือน ฮั้นท์มีความสามารถในการปีนภูเขาจำลองและลงแข่งได้เป็นแชมป์ประเทศไทยในรุ่นเยาวชน ก่อนจะล่องภูเก็ตไปแข่งระดับอาเซียน แม้จะไม่ได้ถ้วยก็คว้าอันดับท็อปไฟฟ์มาได้ ถือเป็นเด็กไทยรุ่นแรกๆ ในช่วงนั้นที่เล่นกีฬาประเภทนี้
“ตอนนั้นฟิตมากๆ เล่นบาสที่โรงเรียนวันละ 4 - 5 ชั่วโมง กลับมาถึงบ้านพ่อพาไปปีนหน้าผา มืดกลับมาดีไซน์เว็บไซต์ เหนื่อยแต่สนุกครับ แต่พอปีนได้สักพัก มันก็หมดความท้าทายนะ ผมว่าการปีนเขามันเป็นการท้าทายตัวเองล้วนๆ พอปีนได้ระดับหนึ่งมันก็หมดไปเอง ช่วงนั้นเริ่มอยากเป็นหมอ เพราะมีญาติเป็นหมอ 2 คน รู้สึกว่ามันยากดี ผมชอบอะไรยากๆ ผมชอบแก้ปัญหา ตอนนั้นฟิตมาก เรียนวิทย์ เรียนชีวะได้สี่หมด แต่ก็มาเจอ มาหลงกับการเขียนโปรแกรมเสียก่อน ที่ทำให้รู้สึกว่า โหย.. มันเจ๋งมาก มันท้าทายสุดๆ”
* ความรักในวัยรุ่นจุดประกายความเป็น “ไดอารี่ออนไลน์”
เด็กหนุ่มผู้พิสมัยไอทีผู้นี้เล่าว่า ช่วงม.3 ปลายๆ เขาเกิดชอบเพื่อนสาวคนหนึ่ง เพื่อนคนนี้เป็นคนชอบเขียนไดอารี่ เขาจึงได้แรงบันดาลในในการเขียนโปรแกรมไดอารี่ขึ้นมาเพื่อให้เพื่อนสาวสามารถเขียนไดอารี่ได้แบบง่ายๆ ซึ่งโปรแกรมตัวนี้สามารถทำงานได้เหมือนเราพิมพ์งานใน Microsoft Word สามารถทำตัวหนา ตัวเอียง หรือทำสีอักษร สีพื้นได้
ต่อมาเพื่อนสาวคนนั้นก็เปรยว่าอยากให้มีคนมาช่วยกันอ่าน ช่วยกันเขียน ก็จะทำให้เขียนได้สนุกขึ้น และนั่นเป็นก้าวแรกของการทำโปรแกรมเพื่อ “ไดอารี่ออนไลน์” ชนิดเต็มรูปแบบ และจากวันนั้นจนวันนี้ เว็บไดอารี่ที่ใช้โปรแกรมการพัฒนาของเขาคนนี้ ได้กลายเป็นไดอารี่ที่มีคนต้องการจะเข้าใช้มากที่สุดเว็บไซต์หนึ่ง ...
“ทุกวันนี้ผมทำเว็บไซต์ไดอารี่อิสดอทคอม (www.diaryis.com) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ไดอารี่ออนไลน์ สำหรับโปรแกรมตัวที่ใช้อยู่ในเว็บไซต์นี้คือโปรแกรม DEX เป็นโปรแกรมที่ผมเขียนขึ้นมาเอง ไดอารี่อิสเป็นสังคมไดอารี่ที่ผมพยายามจะทำให้เป็นสังคมคุณภาพ คือก่อนหน้านี้เคยมีประสบการณ์การทำเว็บไซต์ไดอารี่ออนไลน์มาบ้าง เราก็พยายามเอาจุดดีจุดด้อยมาปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ สำหรับไดอารี่อิสนี้ผมเปิดให้ User ใช้ฟรีโดยไม่คิดเงิน ถามว่าผมได้อะไร โอเค ผมไม่ได้เงิน ไม่ได้กำไร แต่ผมได้เพื่อน ผมได้มิตรภาพ ผมฝันจะสร้างสังคมดีๆ”
“ทุกวันนี้ไดอารี่อิสไม่ได้เปิดให้ใครก็ได้สมัคร แต่เราจะใช้ระบบอินไวท์ (Invite) คือเราจะให้สมาชิกรุ่นแรกมีบัตรเชิญคนที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิก ให้มาเป็นสมาชิกได้ในจำนวนจำกัดคือ 5 คน มันเป็นหลักจิตวิทยาที่ทำให้ผู้ใช้คิดก่อนที่จะเชิญใครมาเล่น คือทำให้ผู้ใช้เห็นคุณค่าของการเป็นสมาชิก แล้วเราก็จะสามารถสร้างสังคมที่รู้จักกันอย่างทั่วถึง และเป็นสังคมที่ค่อยๆ โต ไม่ใช่โตพรวดพราดจนเกินจะควบคุม ในอนาคตถ้าหากเราจะเปิดให้ Invite กันได้อีกครั้ง ก็อาจจะมีนโยบายว่า ใครเชิญใครเข้ามาใช้แล้วเกิดเข้ามาป่วน คนเชิญต้องรับผิดชอบด้วย”
ต่อข้อถามที่ว่าหนุ่มน้อยคนนี่ภูมิใจกับงานชิ้นไหนที่สุดเท่าที่เคยทำ ศิระนั่งคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า ตอบยาก เพราะในช่วงเวลาหนึ่งช่วงอายุหนึ่ง ก็จะมีงานที่รู้สึกว่าดี เป็นชิ้นใหญ่อยู่ในโอกาสนั้นๆ เช่นระบบประมวลผลสถิติกองทุนหมู่บ้าน ที่เสร็จสิ้นลงด้วยฝีมือเขา และค้นหาผู้สูญหายบนเว็บไซต์ไทยสึนามิที่เขาเป็นหนึ่งในทีมผู้ทำและเป็นฝ่ายรับผิดชอบด้านโปรแกรม โดยต่อมาไอบีเอ็มได้เข้ามาและนำระบบที่เขาเริ่มต้นเอาไว้ไปพัฒนาให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น หรือแม้กระทั่งงานทำไดอารี่ออนไลน์เพื่อสังคมออนไลน์คุณภาพก็ตาม
“ทุกวันนี้ผมว่าผมอยากเก่งกว่านี้อีกมากๆ ครับ ผมอยากแก้ปัญหา มันท้าทาย ผม ชอบคิด ชอบทำให้มันเป็นระบบ แก้เป็นเปลาะๆ ผมไม่ได้อยากเป็นบิล เกต เมืองไทย แต่ความใฝ่ฝันสูงสุดของผมนั้น ผมอยากทำให้ประเทศไทยมีชื่อเสียงครับ ผมเชื่อว่ามีคนเก่งกว่าผมอีกมาก ผมเชื่อว่าเด็กไทยเก่งนะครับ ใครว่าเด็กไทยไม่เจ๋ง เด็กไทยเจ๋งนะครับ เพียงแต่เขาขาดโอกาส” ศิระทิ้งท้าย