xs
xsm
sm
md
lg

ปิดเทอมแล้ว.....ไปเรียนดนตรี - นาฏศิลป์ไทย ที่ “พาทยกุล” กันเถอะ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ในชั้นเรียนนาฏศิลป์
พูดถึงปิดเทอมฤดูร้อน หรือที่เด็กๆ มักจะเรียกติดปากว่า "ปิดเทอมใหญ่" เพราะเป็นการปิดเทอมที่มีระยะเวลายาวนานถึง 2 เดือน เชื่อว่าแทบทุกคนต่างก็รอเวลาช่วงนี้กันอย่างใจจดใจจ่อ เพราะนอกจากจะไม่ต้องตื่นเช้าฝ่ารถติดไปนั่งเรียนหลายๆ ชั่วโมงแล้ว ยังได้มีเวลาพักผ่อนอยู่กับครอบครัวแบบพร้อมหน้าพร้อมตา และอาจจะได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดกันอีกด้วย

แต่ก็มีพ่อแม่ผู้ปกครองอีกจำนวนไม่น้อย ที่คิดว่าช่วงปิดเทอมกว่า 2 เดือนนั้นถือเป็นโอกาสทองของคุณลูกๆ หลานๆ ที่จะหาประสบการณ์ใหม่ๆ ที่หาไม่ได้ภายในโรงเรียน ความรู้ในศาสตร์อื่นๆ ที่จะมีไว้ประดับตัว ดังนั้นสำหรับคุณพ่อคุณแม่แล้ว "ปิดเทอมใหม่" อาจจะหมายถึง "เทศกาลแห่งการเรียนพิเศษ" ก็เป็นได้

ภาษาต่างประเทศ คอมพิวเตอร์ ดนตรีสากล แจ๊สแดนซ์ หรือติววิชาการอื่นๆ ล่วงหน้าก่อนเปิดเทอมล้วนแล้วแต่เป็นคอร์สที่พ่อแม่ผู้ปกครองต่างเฟ้นหามาป้อนเข้าไปในสมองลูกน้อย แต่อย่างหนึ่งซึ่งมีคุณค่า งดงาม และได้ประโยชน์ไม่แพ้วิชาการใหม่ๆ แต่ถูกลืมไปจนแทบจะเลือนหายไปแล้วก็คือ การสอนพิเศษด้านดนตรีไทยและนาฏศิลป์ไทย

"สถานตอนนี้ในเรื่องของความสนใจในดนตรีไทยและนาฏศิลป์ไทยถือว่าค่อนข้างวิกฤติและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งค่ะ" อ.วราพร พาทยกุล ให้ข้อมูล ก่อนจะเล่าย้อนเท้าความถึงที่มาที่ไปของโรงเรียนพาทยกุลโดยคร่าวๆ ว่าแต่ดั้งเดิมนั้น "ครูเตือน พาทยกุล" ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปินแห่งชาติ (ดนตรีไทย) พ.ศ.2535 ผู้ซึ่งเป็นพ่อของสามีของเธอนั้น เป็นผู้ที่เคยถวายการรับใช้การในถวายการสอนระนาดเอกแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และในยามที่อยู่บ้านย่านคลองสาน ครูเตือนก็ได้นำเด็กๆ ในย่านนั้น ตลอดจนเยาวชนที่สนใจในด้านดนตรีไทย มาสอนวิชาดนตรีไทยให้ ได้ค่าสอนบ้าง ไม่ได้บ้าง เพราะครูเตือนมีความสุขในการได้ประสิทธิ์ประสาทศาสตร์แห่งดนตรีไทย ทั้งนี้ สิ่งที่ยึดถือเป็นคติประจำใจก็คือ ครูเตือนต้องการทำงานถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ด้วยการเผยแพร่ศาสตร์แห่งดนตรีไทย ให้คนรุ่นใหม่ได้สืบทอดต่อกันไปเรื่อยๆ ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เอกราชด้านคีตศิลป์ของไทยคงอยู่ไปชั่วกาลนาน
ดัดมือ
แต่ อ.บำรุง พาทยกุล บุตรชายของครูเตือนเห็นว่าบ้านที่คลองสานนั้นคับแคบ จึงได้มาเช่าตึกแถวย่านวัดสามพระยา เขตพระนคร เปิดเป็น "โรงเรียนพาทยกุลการดนตรีและนาฏศิลป์อย่างเป็นทางการ" ส่วนสาเหตุที่สามารถเปิดได้ทั้งการดนตรีและนาฏศิลป์นั้น เป็นเพราะอ.วราพรผู้เป็นสะใภ้นั้น เป็นหลานสายคุณหญิงวิจิตรวาทการ และสืบทอดความรู้ด้านนาฏศิลป์มาอย่างเต็มที่ และด้วยความที่ อ.บำรุงรับราชการอยู่ในกรมศิลปากร การบริหารโรงเรียนจึงตกเป็นของอ.วราพรไปโดยปริยาย

"เมื่อก่อนนี้เราจะพบว่าความนิยมในการเรียนดนตรีไทยและนาฏศิลป์ไทยจะอยู่ที่พ่อแม่ผู้ปกครอง โดยจะออกมาในรูปพ่อชอบ แม่ชอบ อยากให้ลูกเรียน ก็จะจูงลูกมาหาเรา มาให้เราสอนให้ แต่ในยุคนี้เด็กจะเป็นฝ่ายจูงพ่อแม่มาขอสมัครกับเราเอง แต่จำนวนไม่ถือว่ามากนัก แต่เด็กที่รักจริงก็จะรักไปยาวนาน เรามีเด็กหลายคนที่เรียนกับเราตั้งแต่เล็กๆ จนตอนนี้เป็นสาวแล้วก็ยังเรียนกับเราอยู่ บางคนอยู่ต่างจังหวัด พ่อแม่ก็น่ารักมาก ยอมขับรถไปกลับทุกสัปดาห์เพื่อให้ลูกได้เรียน อย่างนี้เราก็ชื่นใจ”
ห้องเรียนดนตรีไทย
“คุณพ่อ (ครูเตือน) รับสนองพระราชดำริการสืบสานดนตรีไทยจากสมเด็จพระเทพฯ รับใส่เกล้าฯ มาปฏิบัติตลอดชีวิต จนถึงแก่กรรมเป็นเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องทำต่อ ถามว่าทำแล้วได้กำไรไหมนั้น แทบไม่ได้อะไรเลย เพราะเราเก็บค่าสอน หากเทียบกับที่อื่นหรือสถานที่สอนพิเศษอื่นๆ แล้วถือว่าถูกมาก ยิ่งคอร์สปิดเทอมยิ่งถูก เพราะเราอยากให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้มีโอกาสนำเด็กที่สนใจและมีความต้องการจะเรียนจริงๆ แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ได้มีโอกาสเรียนด้วย และในตอนนี้ทางโรงเรียนก็มีเด็กอีกหลายสิบคนที่เป็นเด็กที่เรียนฟรี เราเปิดให้เขาเรียนโดยที่เขาไม่เสียสตางค์ เพราะเขาอยากเรียนแต่เขาไม่มีเงิน เราก็ให้เขาได้เรียน แต่เราจะไม่บอกครูที่สอนเลยว่าใครจ่ายเงินหรือใครเรียนฟรี เพราะเราคิดว่าความรู้ที่ได้รับจากการครูจะต้องได้รับเท่ากัน” อ.วราพรอธิบาย

สำหรับชั้นเรียนต่างๆ ของโรงเรียน มีทั้งการเรียนการสอนดนตรีไทยทุกประเภท ไม่ว่าจะดีด สี ตี เป่า หรือกระทั่งเครื่องดนตรีพื้นเมืองจำพวกสะล้อ ซอ ซึง ก็มีเปิดสอนเช่นกัน ส่วนในชั้นของการเรียนการสอนนาฏศิลป์นั้น มีทั้งรำไทย และที่น่าสนใจไม่น้อยคือ “โขน”
จัดท่า
น่าชื่นใจไม่น้อยที่ระหว่างการเดินดูชั้นเรียนต่างๆ ของโรงเรียนนั้น ได้เห็นเด็กตัวเล็กๆ อายุน้อยสุดเพียง 3 ขวบเศษ กำลังสนุกสนานอยู่กับการเรียนระบำรำฟ้อน และเด็กชายวัย 5 ขวบที่นับเลขยังไม่ค่อยจะเป็น แต่มีความตั้งใจในการ “เต้นเสา” ได้ไม่แพ้ผู้ใหญ่ หรือเด็กชายวัยเพียง 10 และ 13 ปี เริ่ม “ขึ้นลอย” ได้บ้างแล้ว

อ.วราพรบอกว่า การเรียนดนตรีและนาฏศิลป์ไทยให้อะไรมากกว่าที่ผู้ปกครองหลายคนคิด กล่าวคือมีเด็กไม่น้อยที่มีอาการซุกซนจนพ่อแม่คิดว่าเป็นโรคไฮเปอร์ แต่เมื่อเอามาลองเรียนแล้วพบว่าเด็กนิ่งขึ้น มีความสนใจที่ยาวขึ้น มีสมาธิจดจ่ออยู่กับดนตรีได้และสามารถเรียนรู้ได้เหมือนเด็กปกติ ส่วนเด็กที่มีพัฒนาการค่อนข้างช้าก็จะมีความร่าเริงมากขึ้น มีเพื่อนมากขึ้น เลิกขี้อายและกล้าทำกิจกรรม จนหลายคนกลายเป็นเด็กปกติได้ด้วยการขัดเกลาจากดนตรีและนาฏศิลป์
นางรำรุ่นจิ๋ว
และสิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อเรียนแล้ว นักเรียนทุกคนจะต้องได้ออกแสดงในทุกเวทีที่มีโอกาส ที่โรงเรียนสามารถประสานงานให้ได้ หรืออาจจะมีหน่วยงานราชการมาติดต่อขอความช่วยเหลือ ก็จะส่งนักเรียนแสดง ซึ่งเป็นโอกาสและเป็นการฝึกฝีมือ อีกทั้งเป็นการสร้างความภูมิใจให้แก่ตัวผู้เรียนอีกด้วย

ด.ช.ณัฏฐ์ธวัช น้อยนิตย์ หรือฟาร์ม อายุ 10 ปี นักเรียนโขนคนหนึ่งซึ่งรับบทเป็น “หนุมาน” บอกว่าเรียนโขนยาก แต่สนุก ที่เรียนเพราะรู้สึกรักและชอบนาฏศิลป์ไทย อยากเป็นอีกหนึ่งแรงที่ช่วยสนับสนุนและสืบสาน

เช่นเดียวกับน้องเก่งด.ช.ธีรพงษ์ พันธุ์สมบุญ วัย 12 ปี ที่รับบทเป็น “มโหธร” ที่ให้ความเห็นว่าเรียนมาได้กว่า 6 เดือนแล้ว เพราะมีคุณย่าเป็นครูสอนนาฏศิลป์และได้มีโอกาสเติบโตมากับการแสดงแบบไทยๆ และมีความรู้สึกชอบโขนเป็นพิเศษ คุณย่าจึงได้นำมาเรียนที่นี่ และคาดว่าจะเรียนต่อไปเรื่อยๆ
อ.วราพร พาทยกุล
ด้านศุภชัย อินสว่าง วัย 21 ปี นักศึกษาจากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กรมศิลปากร ครูสอนโขนของโรงเรียนกล่าวว่า ก่อนหน้าที่จะมาเรียนนาฏศิลป์นั้น สอบเข้าวิทยาลัยการเกษตรด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้สึกชอบ จึงหยุดเรียนและลองสอบเข้าวิทยาลัยนาฏศิลป์ เมื่อเรียนไปแล้วรู้สึกได้ถึงความภาคภูมิใจในความเป็นเอกราชด้านศิลปะของไทยที่มีมาแต่ครั้งโบราณกาล

“ตอนแรกที่เรียน แรกๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ยิ่งเรียนยิ่งรัก ยิ่งหวง บางคนอาจจะพูดว่าวิชาที่พวกผมเล่าเรียนนั้นเป็นคนเต้นกิน รำกิน อาชีพไม่แน่นอน แต่ผมภูมิใจ ทหารรักษาอธิปไตยของประเทศ พวกผมเองก็มีหน้าที่รักษาอธิปไตยของศิลปะด้านการแสดงของประเทศไทยเช่นกัน”
เต้นเสา
“สำหรับการสอนพิเศษวิชาดนตรีและนาฏศิลป์ไทย จากเท่าที่ดูอัตราเด็กที่มาเรียนแล้วค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะมีน้อยเหลือเกินหากเทียบกับจำนวนเด็กและเยาวชนในยุคปัจจุบัน แต่พวกที่ตั้งใจมาเรียน ผมก็ชื่นใจ เพราะของแบบนี้ไม่รักเรียนไม่ได้ ยิ่งโขนนะครับ เวลาเต้นเสาหรือถีบเหลี่ยม มันเจ็บ มันเมื่อย คนโตๆ บางคนยังไม่ไหว แต่เด็กเหล่านี้ที่เรียนอยู่ได้นี่มาจากใจ จากความรักล้วนๆ แต่ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากให้สังคมหันมาให้ความสำคัญกับดนตรีไทยและนาฏศิลป์ไทยบ้าง” นายศุภชัยสรุปทิ้งท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น