สธ.ฟุ้งยา AZT ต้านไวรัสเอชไอวีแก่หญิงตั้งครรภ์ โดยป้องกันการติดเชื้อเอดส์จากแม่สู่ลูกได้ถึงร้อยละ 93 ส่วนแม่ที่ไม่ได้รับยา ลูกมีอัตราติดเชื้อเอดส์จากแม่สูงถึงร้อยละ 30 แนะนำให้สามีและภรรยาขอรับการตรวจเลือดก่อนตั้งครรภ์ และให้ครรภ์ที่สถานพยาบาล
นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงมีนโยบายควบคุมอัตราการติดเชื้อในหญิงตั้งครรภ์ และลดอัตราการแพร่เชื้อเอดส์จากแม่สู่ลูก โดยมาตรการหลัก คือ สนับสนุนให้หญิงตั้งครรภ์ทุกรายฝากครรภ์ และได้รับคำปรึกษาเพื่อเจาะเลือดหาเชื้อเอชไอวีด้วยความสมัครใจ ถ้าติดเชื้อเอชไอวีควรได้รับยาต้านไวรัสที่ชื่อว่า ไซโดวูดีน (Zidovudine) หรือเอแซดที (AZT) ซึ่งบรรจุอยู่ในโครงการ 30 บาท ระหว่างตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอด จะป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีจากแม่ไปสู่ลูกได้ แล้วภายหลังคลอดให้งดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีจากแม่ไปสู่ลูกทางน้ำนม
ส่วนอัตราการติดเชื้อเอดส์ในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ลดจากร้อยละ 2.29 ในปี 2538 เหลือเพียงร้อยละ 1.04 ในปี 2548 จากหญิงตั้งครรภ์ทั่วประเทศปีละ 800,000 คน จะมีหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อเอชไอวี 8,320 คน ซึ่งในปี 2549 นี้ ตั้งเป้าจะลดอัตราการติดเชื้อในกลุ่มนี้เหลือไม่เกินร้อยละ 0.95 หรือปีละ 7,600 คน วิธีการป้องกันที่ดีที่สุด คือ ก่อนตั้งครรภ์ ขอให้สามีและภรรยาขอรับการตรวจเลือดที่สถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงทั่วประเทศ โดยสามารถใช้สิทธิในโครงการ 30 บาท สร้างคนไทยห่างไกลโรคได้ หากพบติดเชื้อเอชไอวีจะได้รับคำแนะนำปรึกษาที่เหมาะสมต่อไป
ด้าน นพ.สมยศ เจริญศักดิ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า หญิงที่แต่งงานแล้ว หากพบเชื้อเอชไอวี กรมอนามัยจะแนะนำให้คุมกำเนิด เช่น การใช้ถุงยางอนามัย และยาฝังคุมกำเนิด ซึ่งสามารถป้องกันได้คราวละ 5 ปี ส่วนหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอดส์จะให้ยาต้านไวรัส 3 ระยะ เริ่มให้เมื่ออายุครรภ์ได้ 28 สัปดาห์ ไปจนถึงระยะเจ็บครรภ์คลอด ระหว่างคลอด และป้องกันไม่ให้ลูกติดเชื้อเอชไอวีจากแม่ โดยให้ยาเด็กแรกเกิดติดต่อไปอีก 6 สัปดาห์ และให้เด็กงดกินนมแม่อย่างเด็ดขาด ให้กินผสมแทน สำหรับปีนี้กรมอนามัยได้จัดสรรงบสำหรับซื้อนมผสม 46.8 ล้านบาท เพื่อเลี้ยงเด็กที่เกิดจากแม่ติดเชื้อเอชไอวีจนถึงอายุ 2 ขวบ
นพ.สมยศ กล่าวอีกว่า นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2547 ถึงเดือนกันยายน 2548 พบว่า หญิงที่มาคลอดมีอัตราการฝากครรภ์สูงถึงร้อยละ 98 และได้รับการปรึกษาและตรวจเลือดด้วยความสมัครใจมากถึงร้อยละ 99.6 โดยมีหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวีได้รับยาต้านไวรัสเกือบร้อยละ 90 ส่วนทารกได้รับยาต้านไวรัส หลังคลอดร้อยละ 98 ส่งผลให้อัตราการติดเชื้อเอชไอวีของเด็กลดจากร้อยละ 30 ในปี 2539 เหลือเพียงร้อยละ 7 ในปี 2548 โดยในปี 2549 นี้ตั้งเป้าลดอัตราไม่เกินร้อยละ 6 หรือคิดเป็นจำนวนเด็กที่จะติดเชื้อจริง 480 คน
นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงมีนโยบายควบคุมอัตราการติดเชื้อในหญิงตั้งครรภ์ และลดอัตราการแพร่เชื้อเอดส์จากแม่สู่ลูก โดยมาตรการหลัก คือ สนับสนุนให้หญิงตั้งครรภ์ทุกรายฝากครรภ์ และได้รับคำปรึกษาเพื่อเจาะเลือดหาเชื้อเอชไอวีด้วยความสมัครใจ ถ้าติดเชื้อเอชไอวีควรได้รับยาต้านไวรัสที่ชื่อว่า ไซโดวูดีน (Zidovudine) หรือเอแซดที (AZT) ซึ่งบรรจุอยู่ในโครงการ 30 บาท ระหว่างตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอด จะป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีจากแม่ไปสู่ลูกได้ แล้วภายหลังคลอดให้งดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีจากแม่ไปสู่ลูกทางน้ำนม
ส่วนอัตราการติดเชื้อเอดส์ในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ลดจากร้อยละ 2.29 ในปี 2538 เหลือเพียงร้อยละ 1.04 ในปี 2548 จากหญิงตั้งครรภ์ทั่วประเทศปีละ 800,000 คน จะมีหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อเอชไอวี 8,320 คน ซึ่งในปี 2549 นี้ ตั้งเป้าจะลดอัตราการติดเชื้อในกลุ่มนี้เหลือไม่เกินร้อยละ 0.95 หรือปีละ 7,600 คน วิธีการป้องกันที่ดีที่สุด คือ ก่อนตั้งครรภ์ ขอให้สามีและภรรยาขอรับการตรวจเลือดที่สถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงทั่วประเทศ โดยสามารถใช้สิทธิในโครงการ 30 บาท สร้างคนไทยห่างไกลโรคได้ หากพบติดเชื้อเอชไอวีจะได้รับคำแนะนำปรึกษาที่เหมาะสมต่อไป
ด้าน นพ.สมยศ เจริญศักดิ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า หญิงที่แต่งงานแล้ว หากพบเชื้อเอชไอวี กรมอนามัยจะแนะนำให้คุมกำเนิด เช่น การใช้ถุงยางอนามัย และยาฝังคุมกำเนิด ซึ่งสามารถป้องกันได้คราวละ 5 ปี ส่วนหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอดส์จะให้ยาต้านไวรัส 3 ระยะ เริ่มให้เมื่ออายุครรภ์ได้ 28 สัปดาห์ ไปจนถึงระยะเจ็บครรภ์คลอด ระหว่างคลอด และป้องกันไม่ให้ลูกติดเชื้อเอชไอวีจากแม่ โดยให้ยาเด็กแรกเกิดติดต่อไปอีก 6 สัปดาห์ และให้เด็กงดกินนมแม่อย่างเด็ดขาด ให้กินผสมแทน สำหรับปีนี้กรมอนามัยได้จัดสรรงบสำหรับซื้อนมผสม 46.8 ล้านบาท เพื่อเลี้ยงเด็กที่เกิดจากแม่ติดเชื้อเอชไอวีจนถึงอายุ 2 ขวบ
นพ.สมยศ กล่าวอีกว่า นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2547 ถึงเดือนกันยายน 2548 พบว่า หญิงที่มาคลอดมีอัตราการฝากครรภ์สูงถึงร้อยละ 98 และได้รับการปรึกษาและตรวจเลือดด้วยความสมัครใจมากถึงร้อยละ 99.6 โดยมีหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอชไอวีได้รับยาต้านไวรัสเกือบร้อยละ 90 ส่วนทารกได้รับยาต้านไวรัส หลังคลอดร้อยละ 98 ส่งผลให้อัตราการติดเชื้อเอชไอวีของเด็กลดจากร้อยละ 30 ในปี 2539 เหลือเพียงร้อยละ 7 ในปี 2548 โดยในปี 2549 นี้ตั้งเป้าลดอัตราไม่เกินร้อยละ 6 หรือคิดเป็นจำนวนเด็กที่จะติดเชื้อจริง 480 คน