xs
xsm
sm
md
lg

พาร์กินสัน โรคร้ายรักษาได้/อ.นพ.ศรัณย์ นันทอารี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์...สายตรงสุขภาพกับศิริราช

“อย่าปล่อยให้พาร์กินสัน ทำลายชีวิตคุณอีกต่อไป”
เพราะวิทยาการความก้าวหน้าทางการแพทย์ในโลกปัจจุบัน สามารถพิชิตโรคพาร์กินสันได้


พาร์กินสัน เป็นโรคเรื้อรัง อุบัติการณ์ผู้ป่วย 1 ราย ต่อประชากร 1,000 คน เกิดขึ้นเนื่องจากความเสื่อมของเซลล์ประสาทในก้านสมอง ทำให้มีการผลิตสารสื่อประสาทที่ชื่อ สารโดปามีนน้อยลง ส่งผลให้สมองสูญเสียการควบคุมการสั่งงานของกล้ามเนื้อ

สาเหตุ

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคพาร์กินสันที่แท้จริง แต่มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ขึ้นไป โดยพบบ่อยที่สุดในช่วงอายุระหว่าง 70-79 ปี ทั้งเพศชายและหญิง

อาการ

อาการของผู้ป่วยโรคนี้ที่สำคัญคือ อาการสั่น อาการเกร็ง อาการเคลื่อนไหวช้า และอาการเสียการทรงตัว

-อาการสั่น เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด มักเป็นที่ส่วนปลายคือนิ้ว มือ หรือแขนท่อนล่าง อาการเริ่มสั่นเพียงข้างเดียวก่อน เป็นอยู่นานเป็นปีก่อนข้ามมาเป็นอีกข้างหนึ่ง อาการสั่นนี้จะเป็นในขณะอยู่เฉยๆหรือนั่งนิ่งๆ และจะลดลงหรือหายไปหากผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหว และในระยะท้ายของโรคอาการสั่นจะรุนแรงมากขึ้น อาจพบมีอาการสั่นบริเวณขากรรไกร ศีรษะและเท้าด้วย

-อาการเกร็ง มักพบตามลำตัวและแขนมากกว่าขา อาการแข็งเกร็งจะเป็นมากขึ้น เมื่อเคลื่อนไหวหรือขยับ และจะดีขึ้นขณะผ่อนคลายหรือหลับ สังเกตได้ว่าเวลาเดินผู้ป่วยมีการแกว่งแขนน้อยลง สีหน้าเฉยเมย กะพริบตาน้อยลง พูดเสียงเบา เดินซอยเท้า

-อาการเคลื่อนไหวช้า เนื่องจากมีการแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อ ทำให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวช้าลง มีการขยับตัวน้อยกว่าคนปกติ เช่น ไม่ค่อยเกา ไม่ค่อยเปลี่ยนท่วงท่า

-มีความผิดปกติของท่าทางและการทรงตัวไม่ดี ผู้ป่วยในระยะหลังๆมักมีท่าหลังงอ ไหล่ห่อ เข่าย่อลงเนื่องจากมีการแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย มีการเดินไม่ถนัด ทำกิจวัตรประจำวันได้น้อยลงหรือไม่ได้

การวินิจฉัยโรค

การซักประวัติและการตรวจร่างกายทางระบบประสาท โดยการตรวจพบการสั่น การแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อช้ากว่าปกติ ก็จะช่วยในการวินิจฉัยว่าเป็นโรคพาร์กินสัน เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการใดๆ ที่จะเป็นตัวบอกได้อย่างแน่ชัด

การรักษา

1. การใช้ยา
โดยทั่วไปการรักษาจะใช้ยาเป็นหลัก ได้แก่ กลุ่มที่มีฤทธิ์คล้ายสารโดปามีนในสมอง กลุ่มที่เปลี่ยนเป็นสารโดปามีนในสมอง กลุ่มที่ช่วยลดการทำลายสารโดปามีนในสมอง ยาช่วยให้มีการเคลื่อนไหวกลับมาใกล้เคียงปกติ ทั้งนี้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้เลือกใช้และปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับอาการและความรุนแรงของโรค

แม้ว่ายาจะไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยหายขาดจากโรคได้ แต่ช่วยให้มีอาการดีขึ้นอย่างมากในช่วงระยะแรกของโรค อย่างไรก็ตาม หากรับประทานยาติดต่อกันนานเกิน 5 - 10 ปี ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเกิดปัญหาการตอบสนองต่อยาไม่ได้ดี แม้จะกินยาเพิ่มและบ่อยขึ้นก็ตาม

2.การผ่าตัด ขณะนี้ทั่วโลกใช้วิธี Deep Brain Stimulation พบว่าอาการสั่นลดลงถึงร้อยละ 75 การเกร็งตัวของกล้ามเนื้อลดลงร้อยละ 71 การเคลื่อนไหวช้าลงร้อยละ 49 ในช่วงติดตามผลระยะ 5 ปี โดยแพทย์จะฉีดยาชาและเจาะรูเล็กที่กะโหลกศีรษะของผู้ป่วยทั้งสองข้าง แล้วสอดสายขั้วไฟฟ้าเข้าไปในสมองส่วนลึกที่เรียกว่าซับทาลามิคนิวเคลียส (Subthalamic nucleus) จากนั้นแพทย์จะดมยาให้ผู้ป่วยสลบก่อนฝังแบตเตอรี่ใต้ผิวหนังบริเวณทรวงอก และนำไปเชื่อมต่อเป็นวงจรเข้ากับขั้วไฟฟ้าที่ฝังอยู่ในสมอง กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จะช่วยแก้ไขการทำงานของสมองที่ผิดปกติไป มีผลให้อาการสั่น แข็งเกร็ง เคลื่อนไหวเชื่องช้า และการทรงตัวไม่ดี ลดลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ยังช่วยลดปริมาณยาที่ใช้ในการรักษาให้น้อยลงหลังจากผ่าตัด ตลอดจนอาการแขนขาแกว่งที่เป็นผลแทรกซ้อนจากยาก็ลดน้อยลงไปด้วย

ผู้ที่เหมาะสำหรับการผ่าตัดรักษา ได้แก่ ผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ซึ่งเดิมเคยตอบสนองดีต่อยาแต่เริ่มมีปัญหาเรื่องการออกฤทธิ์ของยา หรือมีปัญหาการเคลื่อนไหวมากผิดปกติขณะที่ยาออกฤทธิ์ หรือมีอาการสั่นรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อยา ทั้งนี้ผู้ป่วยต้องไม่มีโรคทางสมองชนิดอื่น เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคสมองเสื่อม หรือมีโรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โดยผู้ป่วยจะต้องได้รับการตรวจประเมินอย่างละเอียดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านระบบประสาท นักจิตวิทยา และได้รับการตรวจภาพของสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ก่อนการผ่าตัดทุกราย หลังการผ่าตัด 2-4 สัปดาห์ แพทย์จะเริ่มเปิดเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าที่สมอง และทำการปรับเครื่องกระตุ้นจนกว่าได้ขนาดการกระตุ้นที่เหมาะสมที่จะทำให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นได้มากที่สุด

จากผลสำเร็จในการผ่าตัดสมองรักษาผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้เดินหน้าเปิดศูนย์ฝึกอบรมการผ่าตัดรักษาพาร์กินสัน แก่ประสาทศัลยแพทย์ทั้งในประเทศไทยและแถบอาเซียน ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยนั่นเอง โดยความร่วมมือกับ Medtronic ซึ่งให้การสนับสนุนการอบรมและทุนวิจัย

3. การรักษาทางกายภาพบำบัด เพื่อช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ลดอาการเกร็ง ตลอดจน ช่วยในการประสานการทำงานของกล้ามเนื้อต่างๆ

การดูแล

1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ บริหารข้อต่างๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อต่าง ๆ คงสภาพการทำงานได้ดังเดิม ป้องกันปัญหาการถดถอยของกล้ามเนื้อและข้อยึดติด ช่วยลดอาการแข็งเกร็ง และช่วยทำให้การทรงตัวดีขึ้น

2. รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ให้ได้รับสารอาหารเพียงพอ

3. หลีกเลี่ยงสารเคมีที่มีพิษต่อสมองเช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ ยาเสพติดต่างๆ

4. ระมัดระวังอุบัติเหตุจากการหกล้ม โดยการจัดสิ่งแวดล้อมในบ้านให้เป็นระเบียบ ไม่วางสิ่งของเกะกะ

5. ทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด หรือวิตกกังวลมากเกินไป

นับเป็นความโชคดีของคนไทยที่การแพทย์แผนปัจจุบันสามารถรักษาโรคพาร์กินสันได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร สิ่งสำคัญเหนืออื่นใด คุณต้องไม่แพ้ต่อชีวิต เพราะถ้าจิตใจอ่อนแอ จะมีผลถึงร่างกายและโรคที่เป็นอยู่ สู้ครับ ด้วยความมีสติระลึกตัวเสมอ
กำลังโหลดความคิดเห็น