ทำไม เสาร์ อาทิตย์ เราต้องตื่นแต่เช้า แล้วขับรถมาส่งลูกเรียนพิเศษย่านสยาม สแควร์...
เวลานี้ลูกนั่งเรียนอยู่รึเปล่าหนอ...
เสียเงินให้เรียนพิเศษแล้วผลการเรียนไม่ดีขึ้นเลย...
นี่คือเสียงคำรำพึงรำพันที่เรามักจะได้ยินจากบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองอยู่เสมอๆ
ด้วยปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความห่วงใยต่อความยากลำบากในการเดินทางของลูก และความห่วงใยว่าลูกจะเถลไถลไปไหน ทำให้ว่ากันว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านธุรกิจ Delivery ติวเตอร์ ได้รับการตอบรับจากผู้ปกครองและผู้เรียนเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง ที่สำคัญนอกจากจะมีจุดเด่นในเรื่องของการติวที่มีลักษณะแบบตัวต่อตัวแล้ว ยังอยู่ในสายตาของผู้ปกครอง สร้างความอบอุ่นใจว่าเด็กไม่ออกนอกหลู่นอกทางอีกด้วย
พิสุทธิ์ ยุวานนท์ ผู้อำนวยการ Know-How Tutor เล่าว่า เพิ่งก้าวเข้าสู่วงการเพียง 2 ปี โดยมีนักเรียนมาใช้บริการจำนวนมาก และมีติวเตอร์จากอาจารย์ดัง นักศึกษาระดับหัวกะทิ หลายสถาบัน กว่า 100 คน มาเป็นติวเตอร์ให้ลูกศิษย์ถึงประตูบ้าน โดยธุรกิจ Delivery ติวเตอร์ นั้น ทำหน้าที่เสมือนตัวเชื่อมระหว่างผู้ปกครอง กับครู
ทั้งนี้ ผู้ปกครองจะโทรศัพท์มาหา จากนั้นเจ้าหน้าที่จะซักถามรายละเอียดต่างๆ อย่างเช่น เด็กกำลังเรียนอยู่ชั้นอะไร ต้องการให้ครูสอนอะไรบ้าง หรือคอร์สติวเข้มเพื่อสอบเข้าโรงเรียนดัง อัตราค่าใช้จ่าย สถานที่ที่จะไปสอน เป็นต้น
“พ่อแม่บางรายอยากได้ครูสอนการบ้านแล้วสอนวิชาต่างๆ ล่วงหน้า เผื่อเวลาเรียนในชั้นเรียนจะได้เข้าใจมากขึ้น แน่นอนเด็กเข้าใจเนื้อหา ผลการสอบจะออกมาดีเช่นเดียวกัน หรือถ้าใกล้ช่วงสอบเข้ามาก็จะมีพ่อแม่กลุ่มหนึ่งที่อยากให้ลูกเข้าเรียนโรงเรียนยอดนิยม อย่างสตรีวิทยา สวนกุหลาบ โยธินบูรณะ บดินทรเดชา อัสสัมชัญ กรุงเทพคริสเตียน เซนต์คาเบรียลหรือเครือสาธิต ตลอดจนโรงเรียนหลักสูตรสองภาษา (English-Thai Program)”
“ยกตัวอย่างครอบครัวหนึ่งอยากให้ลูกสาวสอบเข้าเรียน ม. 1 โรงเรียนสตรีวิทยา ได้ติดต่อให้ครูของเราไปสอนตอนน้องเรียน ป.6 เทอมแรก ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ สำหรับการลงสนามสอบแข่งขัน ส่วนครูที่เราส่งไปมีประสบการณ์ติวเข้าโรงเรียนดัง เนื่องจากไม่กล้าให้ครูรับสอนเด็กหลายคน เกรงว่าจะไม่มีเวลาทุ่มเทให้เด็กรวมไปถึงกระทบต่อการสอนประจำ สำหรับติวเตอร์ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับหัวกะทิ ก็ได้รับความสนใจจากผู้ปกครองไม่น้อย เพราะว่าจะเข้ากับเด็กได้ดี อาจเป็นเพราะวัยที่ไม่ห่างกันมากนัก”
วิธีเลือกติวเตอร์ให้ลูก
“....ผู้ที่จะมาทบทวน เสริม เพิ่มเติมความรู้ให้ลูก เราจะต้องเฟ้นหาสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดให้ลูก”
นี่คือคำพูดของ ฐิติพร ตระกูลพูนทรัพย์ หรือแม่ตุ้ม แม่น้องเมฐิตา นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 Kesinee International School
แม่ตุ้ม เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ลูกสาวเรียนอยู่ระดับประถมศึกษา ตัวเองก็ทำหน้าที่สอนทำการบ้าน หาซื้อหนังสือที่น่าสนใจจากต่างประเทศมาเสริมความรู้ให้แก่ลูก แต่มาระยะหลังๆ ไม่ค่อยมีเวลา เนื่องจากต้องทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้กับธุรกิจของครอบครัวซึ่งตนเองเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง ทำให้ตอนนั้นก็มาคิดว่าจะจัดสรรเวลาอย่างไรดี จะขับรถไปส่งลูกเรียนพิเศษแถวสยามสแควร์ก็คงไม่ไหว เพราะย่านนี้สภาพการจราจรติดมาๆ อีกอย่างบ้านอยู่พระราม 2
“ช่วงนั้นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อว่าจะประคับประคองการศึกษาลูกอย่างไร ดิฉันก็เข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อดูว่ามีที่ไหนเหมาะสมที่จะส่งลูกไปเรียนบ้าง ก็มาเจอติวเตอร์ Delivery จึงตัดสินใจโทรไปสอบถามรายละเอียดต่างๆ ระหว่างที่โทรหวั่นใจว่าบ้านเราไกลมากขนาดนี้ครูเขาจะมาสอนลูกเราหรือ แล้วลูกจะเข้ากับเขาได้รึเปล่า พอคุยกับเสร็จพนักงานก็ตอบว่าขอแผนที่ทางไปบ้าน จะส่งนักศึกษาอินเตอร์จากมหาวิทยาลัยมหิดล ไปสอน แล้วถ้าพอใจผลการสอนของน้องจึงจ่ายค่าสอนเป็นรายชั่วโมงตามที่ตกลงให้แก่นักศึกษา”
แม่ตุ้ม เล่าต่อว่า พอเห็นวิธีการสอนของครูกุ้งรู้สึกพอใจ เพราะเอาใจใส่ลูกมาก เวลาเรียนลูกไม่ซีเรียส โดยมักจะมีมุกตลกมาเล่าระหว่างการสอนเสมอ แล้วผลการเรียนของลูกดีขึ้น ดังนั้น จึงตัดสินใจให้ครูกุ้งมาสอนจนถึงทุกวันนี้ โดยจะมีค่าติวเฉลี่ยเดือนละ 5-6 พันบาท
....และนั่นก็คือ ปรากฏการณ์อีกปรากฏการณ์หนึ่งที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของธุรกิจที่เกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของพ่อแม่ผู้ปกครอง และสะท้อนภาพความเป็นจริงในอีกมิติหนึ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ณ ขณะนี้สังคมไทยมีกวดวิชาด่วนพิเศษถึงบ้านแล้ว