xs
xsm
sm
md
lg

ระวัง “อีสุกอีใส” ระบาดหน้าร้อน ไม่รุนแรง แต่อาจตายได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปลัด สธ.เตือนประชาชนระวัง “โรคอีสุกอีใส” ระบาดหน้าร้อน ชี้โรคไม่รุนแรง แต่อาจตายได้ จากโรคแทรกซ้อน เชื้ออาจฝังตัวอยู่ที่ปมประสาทอาจทำให้เกิดโรคงูสวัดตามมา ระบุ ระบาดเพิ่มจากปี 2546 ประมาณ 2 เท่าตัว สั่งการทุกจังหวัดเฝ้าระวัง และเร่งควบคุมป้องกันไม่ให้แพร่ระบาด

นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนมกราคม ถึงเดือนเมษายนทุกปี ประเทศไทยจะพบผู้ป่วยโรคอีสุกอีใส (CHICKEN POX) มากกว่าช่วงอื่น โดยพบที่สุดในเด็กอายุ 5-9 ปี รองลงมาคืออายุต่ำกว่า 4 ปี โรคดังกล่าวเป็นโรคติดต่อเฉียบพลันจากเชื้อไวรัส ที่มีชื่อว่า วาริเซลลา ซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus :VZV) เมื่อเป็นแล้วสามารถแพร่สู่คนอื่นได้ง่ายมาก โดยเชื้อจะกระจายออกมาจากทางเดินหายใจของผู้ป่วย จากการไอ จาม หายใจรดกัน หรือสัมผัสกับตุ่มหนองของผู้ป่วย โรคดังกล่าวไม่มียารักษาเฉพาะโรค แต่สามารถรักษาเพื่อบรรเทาอาการ ไม่ให้มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน และเมื่อหายแล้ว เชื้อไวรัสบางส่วนจะหลบอยู่ที่ปมประสาท ผู้ที่เป็นแล้วอาจเกิดโรคงูสวัด ตามมาได้

อย่างไรก็ดี โรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่ไม่รุนแรง เป็นแล้วหายเองได้ ยกเว้นมีโรคแทรกซ้อนอาจทำให้เสียชีวิตได้ที่สำคัญ ได้แก่ ปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส มักพบในกลุ่มผู้ใหญ่ ส่วนในเด็กมักจะเป็นการติดเชื้อแทรกซ้อนและสมองอักเสบ โดยอาการหลังติดเชื้อ ระยะแรกจะมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร จากนั้นจะมีผื่นแดงตามผิวหนังบริเวณศีรษะ ใบหน้า ลำตัว ต่อมาผื่นจะกลายเป็นตุ่มนูน มีน้ำใสๆ อยู่ข้างในและมีอาการคัน รอบฐานตุ่มมีสีแดง และตกสะเก็ดภายใน 2-3 วัน ตุ่มเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย ขนาดของตุ่มจะไม่เท่ากัน โรคอีสุกอีใสมีระยะฟักตัวกว่าจะปรากฏอาการ 10-21 วัน

นพ.ปราชญ์ กล่าวว่า ขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดให้โรคอีสุกอีใส เป็น 1 ใน 31 โรคที่ต้องรายงาน ในปี 2546 ทั่วประเทศมีรายงานผู้ป่วย 43,173 ราย เสียชีวิต 1 ราย ในปี 2547 มีรายงานผู้ป่วย 85,525 ราย ซึ่งเพิ่มจากปี 2546 ถึง 2 เท่าตัว ไม่มีรายงานเสียชีวิต ในปีนี้ตั้งแต่เดือนมกราคม–กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 สำนักระบาดวิทยาได้รับรายงานผู้ป่วยแล้ว 72 ราย โดยพบที่จังหวัดขอนแก่น 52 ราย เป็นเด็กนักเรียน 35 ราย ครู 1 ราย และผู้ป่วยในชุมชน 16 ราย และที่สุพรรณบุรี 20 ราย ส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนชั้นอนุบาล 2 จำนวน 12 ราย มีอาการไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นและตุ่มพองใส ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศเฝ้าระวังผู้ป่วยโรคนี้อย่างใกล้ชิดแล้ว รวมทั้งป้องกันและควบคุมโรคเป็นการด่วน จากการเฝ้าระวังในโรงเรียนขณะนี้ไม่มีผู้ป่วยรายใหม่

ทางด้านนพ.ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคอีสุกอีใส ต้องแยกผู้ป่วยไม่ให้คลุกคลีกับผู้อื่น รวมทั้งแยกของกินของใช้ต่างๆ ให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ ใช้ผ้าเช็ดตัวเมื่อมีไข้สูง อย่าให้ผู้ป่วยแกะหรือเกาตุ่มคัน เน้นเรื่องความสะอาด ตัดเล็บให้สั้นเพื่อป้องกันการแกะเกา เนื่องจากจะทำให้อักเสบ และติดเชื้อได้ง่าย และจะทำให้ผิวหนังลาย มีรอยแผลเป็น โดยทั่วไปอาการโรคอีสุกอีใสในเด็กเล็กจะไม่รุนแรง อาการอาจจะรุนแรงในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงปิดภาคเรียนขณะนี้ ก็อาจจะมีเด็กบางส่วนยังอยู่ในเนอสเซอรี่ หรือเรียนพิเศษ หากมีเด็กป่วยเป็นโรคต้องให้หยุดเรียนจนกว่าสะเก็ดแผลจะแห้งแล้ว ส่วนผู้ใหญ่ต้องหยุดพักงานเช่นกัน

นพ.ธวัช กล่าวอีกว่า ในการป้องกันโรคอีสุกอีใส นอกจากจะแยกผู้ป่วยให้หยุดเรียน หยุดทำงาน ปัจจุบันมีวัคซีนฉีดป้องกันโรคอีสุกอีใส แต่มีราคาแพง ยังไม่ได้บรรจุในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง วัคซีนสามารถป้องกันโรคอีสุกอีใสได้ 90% สำหรับผู้ที่เคยเป็นอีสุกอีใสมาแล้ว จะมีภูมิต้านทานตามธรรมชาติ ไม่ต้องฉีดวัคซีนอีก
กำลังโหลดความคิดเห็น