ในยุคปัจจุบันความนิยมในการเลี้ยงสัตว์น้ำของคนกรุงฯ มีมากขึ้น ด้วยเพราะปัจจัยหลายประการ โดยเฉพาะความจำเป็นที่ต้องอยู่อาศัยในที่พักที่มีพื้นที่จำกัดเช่นคอนโดมิเนียมหรืออพาร์ตเมนต์ ทำให้ไม่สามารถเลี้ยงหมาหรือแมวได้ "สัตว์น้ำ" จึงเป็นอีกทางเลือกให้คนรักสัตว์ได้พักผ่อนหย่อนใจหลังเวลาทำงานกับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด
แต่ปัญหาที่พบก็คือ เมื่อสัตว์ป่วยไม่รู้จะนำไปรักษาที่ไหน ส่วนใหญ่จึงปล่อยให้ตายไปเองอย่างน่าสงสาร
ในความเป็นจริงแล้วโรงพยาบาลที่รับรักษาสัตว์น้ำในกรุงเทพฯ นั้นมีอยู่ด้วยกันถึง 2 แห่ง คือโรงพยาบาลสัตว์น้ำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลสัตว์น้ำ ม.มหิดล
-1-
รศ. นสพ. ดร. จิรศักดิ์ ตั้งตรงไพโรจน์ ผอ.ศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายถึงการรักษาสัตว์น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทปลาว่า หลังจากที่ทราบว่า เมื่อเจ้าของเห็นว่าปลาเริ่มมีอาการผิดปกติ ก็จะต้องมีการเตรียมเนื้อเตรียมตัวพามาพบแพทย์ โดยจะต้องนำใส่ลงในภาชนะเช่นถัง หรือถุง และใส่ออกซิเจน ซึ่งเมื่อปลามาถึงมือหมอแล้ว ก็จะมีการนำลงอ่าง ให้ออกซิเจน และซักประวัติกับเจ้าของ เช่น อายุเท่าไหร่ ป่วยเป็นอะไรมา มีการให้ยามาก่อนหน้านี้หรือไม่ เลี้ยงในภาชนะอะไรขนาดเท่าไหร่ เริ่มป่วยเมื่อไหร่ ใช้น้ำจากไหนเลี้ยง จากนั้นนำปลาเข้าไปตรวจพร้อมกับตรวจคุณภาพน้ำที่ใช้เลี้ยงด้วย
สำหรับการตรวจพื้นฐานนอกจากดูสภาพภายนอกแล้ว หากมีแนวโน้มว่าอาจมีพยาธิ หมอจะขูดเมือกไปส่องกล้องดูว่ามีอะไรหรือไม่ แต่หากบางรายที่เป็นมากแล้วตาย ทางโรงพยาบาลก็จะผ่าวินิจฉัยให้ทุกตัว
ส่วนการผ่าตัดปลาที่หลายคนอยากรู้ว่าทำบนบกหรือทำในน้ำนั้น คำตอบคือการผ่าตัดทำกันบนบก ด้วยการวางยาสลบ และเอาผ้าเปียกโปะตรงครีบแก้ม สลับการหยอดน้ำเป็นระยะ
เมื่อถามถึงเคสแปลกๆ ที่ทางโรงพยาบาลสัตว์น้ำจุฬาฯ เคยรับ คุณหมอจีรศักดิ์เล่าให้ฟังว่า เคยรับเคสผ่าตัดปลาอะโรวานาที่ไมโครชิปที่ถูกฝังไว้ที่กระโดงหลัง เลื่อนลงมาอยู่ในท้อง และกรณีปลาอะโรวานากลืนกระถางต้นไม้น้ำลงไปในท้อง
“อะโรวานาเป็นปลาที่ค่อนข้างจะชอบคาบหิน คาบกระถางต้นไม้เล็กๆ หรือของประดับที่อยู่ในตู้ ทางโรงพยาบาลเคยรับเคสแปลกๆ เหมือนกัน อย่างอะโรวานาที่กลืนกระถางต้นไม้น้ำขนาดเล็กเข้าไปทั้งอัน เจ้าของก็ต้องหิ้วมาผ่า”
รศ.นสพ.ดร.จิรศักดิ์ กล่าวต่อไปอีกว่า นอกจากการผ่าตัดเพื่อการช่วยเหลืออาการเจ็บป่วยแล้ว ยังมีบางกรณีที่ผู้เลี้ยงนำสัตว์มาให้ผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อความสวยงามด้วย เช่น อโรวานาที่ส่วนใหญ่จะเป็นการตัดครีบให้ได้รูป ซึ่งรพ.จะพิจารณาทำให้ถ้าเห็นว่าไม่ทารุณสัตว์มากเกินไป หรือเป็นการผ่าตัดที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน
จากนั้น นสพ.ดร.จิรศักดิ์ก็ได้นำชมส่วนต่างๆ ของโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นห้องตรวจโรค - ทำแผล ที่ขณะนั้นมีการทำความสะอาดแผลของเต่า 2 ตัว
“เต่าที่เข้ารับการรักษาส่วนใหญ่จะถูกรถทับ กระดองแตกอยู่กลางถนน เมื่อมีคนเห็นก็จะเก็บมาให้ แต่บอกว่าไม่มีเงิน แค่ไม่อยากเห็นเต่าทรมาน ทางโรงพยาบาลก็รับรักษาเอาไว้ ส่วนภาระค่าใช้จ่ายในการรักษา ก็ตกเป็นภาระของโรงพยาบาลไปโดยปริยาย แต่ยังดีที่ยังมีชมรมคนรักเต่าของทางมหาวิทยาลัย ที่มีกองทุนเพื่อ
รักษาเต่าบาดเจ็บ แต่กระนั้นก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี”
“เต่าเป็นสัตว์ที่อึดมาก อึดมากๆ อย่างตัวนี้โดนทับจนกระดองแตกหมด เป็นแผลลึก นี่ก็ล้างแผลกันมาเป็นเดือนๆ แล้ว ต้องรอให้หายดีก่อน จากนั้นเราจะทำกระดองเรซินให้ใหม่ แล้วก็รอจนมันคุ้นกับหลังอันใหม่และสุขภาพดีเหมือนเดิมเสียก่อน ถึงจะนำไปปล่อยตามแหล่งน้ำตามธรรมชาติต่อไป”
อีกห้องหนึ่งเป็นห้องรับฝาก “คนไข้ใน” ที่รับปลาป่วยหนักจนเจ้าของเอามาฝากไว้ในความดูแลของโรงพยาบาล โดยเสียค่าใช้จ่ายการแอดมิดวันละ 10 บาท เป็นค่าน้ำ ออกซิเจน และอาหาร
แต่ก็มีปลาอีกจำนวนไม่น้อยที่ป่วยจนกลายเป็น “ปลาขี้เหร่” คือไม่สวยแล้ว ผิดปกติจนผิดไปจนสภาพเดิมมาก จนเจ้าของทิ้งให้กลายเป็นภาระของโรงพยาบาลต่อไปคือ ไม่มาหา ไม่มาดู ไม่มาจ่ายค่ารักษา หายไปและปัดความรับผิดชอบเสียเฉยๆ เป็นต้นว่าปลาหมอสีที่มีปัญหาเรื่องถุงลม นอนเอียงกะเท่เร่อยู่ก้นตู้ หรือเจ้าหมอสีอีกตัวที่ผนังท้องโป่งดันเกล็ดขึ้นมาเป็นถุง เป็นต้น
-2-
จากจุฬาฯ ก็ไปกันที่ ม.มหิดล...
นสพ.พิงพล จรูญรัตน์ ผอ.โรงพยาบาลสัตว์เล็ก ม.มหิดลบอกว่า ในขณะนี้โรงพยาบาลสัตว์น้ำยังไม่เปิดอย่างเป็นทางการ แต่สามารถให้การรักษาได้แล้ว และเป็นการรักษาเฉพาะผู้ป่วยนอก ยังไม่มีผู้รับดูแลแบบแอดมิด แต่คาดว่าจะมีในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ ปัญหาใหญ่ของผู้รักสัตว์น้ำ ก็คือจำนวนคลินิกและโรงพยาบาลสัตว์น้ำในประเทศไทยมีเฉพาะแค่ในกรุงเทพฯ เท่านั้น ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดแคลนสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสัตว์น้ำ เพราะเมื่อจบไปแล้ว ตลาดการทำงานค่อนข้างน้อยมาก ทำให้นิสิตนักศึกษาไม่ค่อยนิยมเลือกเรียน อย่างไรก็ตาม หากสัตว์น้ำเกิดป่วยขึ้นมา คลินิกสัตวแพทย์ทุกแห่งสามารถรักษาได้ในกรณีที่ไม่ร้ายแรง เว้นแต่สัตว์ป่วยหนักจนต้องพึ่งแพทย์เฉพาะทาง
สำหรับการผ่าตัดปลานั้น นสพ.พิงพลบอกว่า มีมาให้รักษาอยู่เป็นระยะ ยกตัวอย่างเช่น เจ้าคิตตี้ ปลาคาร์พพันธุ์โคฮากุ (KOHAKU) อายุ 4 ปี ขนาด 65 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 6 กิโลกรัม
อาการป่วยของเจ้าคิตตี้เริ่มจากประมาณกลางปี พ.ศ.2548 ที่ผ่านมา โดยเริ่มมีอาการแปลกๆ ระหว่างกินอาหาร คืออมอาหารเข้าไป ดำลงไปในน้ำ สักพักก็จะคายออกมาแล้วขึ้นมาฮุบอาหารใหม่ เป็นเช่นนี้วนไปวนมาจนเจ้าของรู้สึกแปลกใจและเริ่มทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นวิธีกำจัดปรสิต แช่เกลือ แช่ยา ฉีดยา แต่อาการก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม จนกระทั่งจับวางยาสลบและส่องดูในช่องปากก็ไม่พบอะไร
จนผ่านไปเป็นเดือนอาการของ “คิตตี้” ก็ยังไม่ดีขึ้น และเริ่มผอมลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังมีอาการหิวอยู่ตลอดเวลา และร่าเริงดีไม่มีซึมอย่างปลาป่วยทั่วไป สุดท้ายจึงตัดสินใจพามารับการรักษา ทีมสัตวแพทย์จึงได้ทำการผ่าตัดชิ้นเนื้อออกมา พร้อมกับนำไปตรวจวิเคราะห์ และได้สอดท่อเพื่อป้อนอาหารเหลวไปด้วยและได้นัดหมายเพื่อติดตามผล และผ่าตัดอีกครั้งหนึ่งให้อีก 1-2เดือนข้างหน้า
สัตวแพทย์หญิงวรรณา ศิริมานะพงษ์ อาจารย์สัตวแพทย์สัตว์น้ำ ม.มหิดล หนึ่งในทีมผ่าตัดบอกว่า การผ่าตัดเจ้าคิตตี้จะเป็นการผ่าตัดแบบส่องกล้องเอ็นโดสโคป คือไม่ต้องผ่าตัดเปิดช่องท้อง แต่จะสอดท่อที่มีกล้องผ่านทางช่องปากเข้าไปภายในช่องทางเดินอาหารเพื่อตรวจอวัยวะภายใน และใช้เครื่องมือเล็กสอดเข้าไปเพื่อตัดชิ้นเนื้อที่ต้องการออกมา โดยขั้นตอนการผ่าตัดก็จะนำคิตตี้ออกจากถุง ก็นำลงอ่างพัก และเริ่มวางยาสลบ ก่อนจะนำไปวางบนแท่นรองที่ทำจากฟองน้ำตัดเว้าเป็นรูปตัวปลาเพื่อรองรับลำตัว จากนั้นก็นำกล้องเอนโดสโคปเข้าไปดูเนื้อเยื่อบริเวณในลำคอ พร้อมๆ กับ วักน้ำรดลำตัวและเหงือกเป็นระยะๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มดิ้นหรือแสดงอาการเหมือนตื่นจากสลบ ก็จะนำสายน้ำเกลือที่เป็นน้ำเกลือผสมยานอนหลับมาเสียบเหงือกเพื่อให้สงบลง และเมื่อส่องกล้องเจอชิ้นเนื้อที่ต้องการแล้วก็จะค่อยๆ ตัดเนื้อเยื่อเหล่านั้นออกมาจนหมด ซึ่งการผ่าตัดกินเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
“การใช้กล้องเอนโดสโคป ทำให้การผ่าตัดลุล่วงไปด้วยดี เพราะทำให้ไม่มีแผลผ่าตัดที่ด้านนอก และรักษาได้ตรงจุด โดยที่ไม่ต้องเปิดช่องท้อง เนื่องจากปลาเป็นสัตว์ที่ต้องอาศัยอยู่ในน้ำ หากผ่าตัดเปิดช่องท้องและจำเป็นต้องนำลงน้ำอีก จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อเป็นอย่างยิ่ง”
ด้านคุณหมอพิงพลกล่าวว่า การผ่าตัดครั้งนี้ถือว่าไม่ยากและอาการป่วยของเจ้าคิตตี้ถือว่าไม่ร้ายแรง แต่น่าเป็นห่วงอยู่เล็กน้อยว่าเนื้อเยื่อที่ตัดออกจะนูนขึ้นมาปิดลำคอจนเกิดอาการกลืนไม่เข้าอีกหรือไม่ ซึ่งส่วนนี้ก็ต้องสังเกตอาการดูกันต่อไป
ส่วนในเรื่องของค่าใช้จ่ายนั้น ราคาอาจจะสูงอยู่สักหน่อยหากเทียบกับการผ่าตัดด้วยการเปิดช่องท้อง เพราะการใช้กล้องเอนโดสโคปถือว่าเป็นการใช้เครื่องมือการรักษาที่ค่อนข้างจะไฮเทค แต่บังเอิญว่ากรณีของคิตตี้นั้นเป็นกรณีที่สัตวแพทย์ได้เรียนรู้โรคและอาการไปพร้อมกัน ราคาอาจจะอยู่ที่ประมาณพันกว่าบาท ซึ่งหากเทียบกับสัตว์เล็กอื่นๆ แล้วนับว่าไม่แพง






แต่ปัญหาที่พบก็คือ เมื่อสัตว์ป่วยไม่รู้จะนำไปรักษาที่ไหน ส่วนใหญ่จึงปล่อยให้ตายไปเองอย่างน่าสงสาร
ในความเป็นจริงแล้วโรงพยาบาลที่รับรักษาสัตว์น้ำในกรุงเทพฯ นั้นมีอยู่ด้วยกันถึง 2 แห่ง คือโรงพยาบาลสัตว์น้ำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลสัตว์น้ำ ม.มหิดล
-1-
รศ. นสพ. ดร. จิรศักดิ์ ตั้งตรงไพโรจน์ ผอ.ศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายถึงการรักษาสัตว์น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทปลาว่า หลังจากที่ทราบว่า เมื่อเจ้าของเห็นว่าปลาเริ่มมีอาการผิดปกติ ก็จะต้องมีการเตรียมเนื้อเตรียมตัวพามาพบแพทย์ โดยจะต้องนำใส่ลงในภาชนะเช่นถัง หรือถุง และใส่ออกซิเจน ซึ่งเมื่อปลามาถึงมือหมอแล้ว ก็จะมีการนำลงอ่าง ให้ออกซิเจน และซักประวัติกับเจ้าของ เช่น อายุเท่าไหร่ ป่วยเป็นอะไรมา มีการให้ยามาก่อนหน้านี้หรือไม่ เลี้ยงในภาชนะอะไรขนาดเท่าไหร่ เริ่มป่วยเมื่อไหร่ ใช้น้ำจากไหนเลี้ยง จากนั้นนำปลาเข้าไปตรวจพร้อมกับตรวจคุณภาพน้ำที่ใช้เลี้ยงด้วย
สำหรับการตรวจพื้นฐานนอกจากดูสภาพภายนอกแล้ว หากมีแนวโน้มว่าอาจมีพยาธิ หมอจะขูดเมือกไปส่องกล้องดูว่ามีอะไรหรือไม่ แต่หากบางรายที่เป็นมากแล้วตาย ทางโรงพยาบาลก็จะผ่าวินิจฉัยให้ทุกตัว
ส่วนการผ่าตัดปลาที่หลายคนอยากรู้ว่าทำบนบกหรือทำในน้ำนั้น คำตอบคือการผ่าตัดทำกันบนบก ด้วยการวางยาสลบ และเอาผ้าเปียกโปะตรงครีบแก้ม สลับการหยอดน้ำเป็นระยะ
เมื่อถามถึงเคสแปลกๆ ที่ทางโรงพยาบาลสัตว์น้ำจุฬาฯ เคยรับ คุณหมอจีรศักดิ์เล่าให้ฟังว่า เคยรับเคสผ่าตัดปลาอะโรวานาที่ไมโครชิปที่ถูกฝังไว้ที่กระโดงหลัง เลื่อนลงมาอยู่ในท้อง และกรณีปลาอะโรวานากลืนกระถางต้นไม้น้ำลงไปในท้อง
“อะโรวานาเป็นปลาที่ค่อนข้างจะชอบคาบหิน คาบกระถางต้นไม้เล็กๆ หรือของประดับที่อยู่ในตู้ ทางโรงพยาบาลเคยรับเคสแปลกๆ เหมือนกัน อย่างอะโรวานาที่กลืนกระถางต้นไม้น้ำขนาดเล็กเข้าไปทั้งอัน เจ้าของก็ต้องหิ้วมาผ่า”
รศ.นสพ.ดร.จิรศักดิ์ กล่าวต่อไปอีกว่า นอกจากการผ่าตัดเพื่อการช่วยเหลืออาการเจ็บป่วยแล้ว ยังมีบางกรณีที่ผู้เลี้ยงนำสัตว์มาให้ผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อความสวยงามด้วย เช่น อโรวานาที่ส่วนใหญ่จะเป็นการตัดครีบให้ได้รูป ซึ่งรพ.จะพิจารณาทำให้ถ้าเห็นว่าไม่ทารุณสัตว์มากเกินไป หรือเป็นการผ่าตัดที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน
จากนั้น นสพ.ดร.จิรศักดิ์ก็ได้นำชมส่วนต่างๆ ของโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นห้องตรวจโรค - ทำแผล ที่ขณะนั้นมีการทำความสะอาดแผลของเต่า 2 ตัว
“เต่าที่เข้ารับการรักษาส่วนใหญ่จะถูกรถทับ กระดองแตกอยู่กลางถนน เมื่อมีคนเห็นก็จะเก็บมาให้ แต่บอกว่าไม่มีเงิน แค่ไม่อยากเห็นเต่าทรมาน ทางโรงพยาบาลก็รับรักษาเอาไว้ ส่วนภาระค่าใช้จ่ายในการรักษา ก็ตกเป็นภาระของโรงพยาบาลไปโดยปริยาย แต่ยังดีที่ยังมีชมรมคนรักเต่าของทางมหาวิทยาลัย ที่มีกองทุนเพื่อ
รักษาเต่าบาดเจ็บ แต่กระนั้นก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี”
“เต่าเป็นสัตว์ที่อึดมาก อึดมากๆ อย่างตัวนี้โดนทับจนกระดองแตกหมด เป็นแผลลึก นี่ก็ล้างแผลกันมาเป็นเดือนๆ แล้ว ต้องรอให้หายดีก่อน จากนั้นเราจะทำกระดองเรซินให้ใหม่ แล้วก็รอจนมันคุ้นกับหลังอันใหม่และสุขภาพดีเหมือนเดิมเสียก่อน ถึงจะนำไปปล่อยตามแหล่งน้ำตามธรรมชาติต่อไป”
อีกห้องหนึ่งเป็นห้องรับฝาก “คนไข้ใน” ที่รับปลาป่วยหนักจนเจ้าของเอามาฝากไว้ในความดูแลของโรงพยาบาล โดยเสียค่าใช้จ่ายการแอดมิดวันละ 10 บาท เป็นค่าน้ำ ออกซิเจน และอาหาร
แต่ก็มีปลาอีกจำนวนไม่น้อยที่ป่วยจนกลายเป็น “ปลาขี้เหร่” คือไม่สวยแล้ว ผิดปกติจนผิดไปจนสภาพเดิมมาก จนเจ้าของทิ้งให้กลายเป็นภาระของโรงพยาบาลต่อไปคือ ไม่มาหา ไม่มาดู ไม่มาจ่ายค่ารักษา หายไปและปัดความรับผิดชอบเสียเฉยๆ เป็นต้นว่าปลาหมอสีที่มีปัญหาเรื่องถุงลม นอนเอียงกะเท่เร่อยู่ก้นตู้ หรือเจ้าหมอสีอีกตัวที่ผนังท้องโป่งดันเกล็ดขึ้นมาเป็นถุง เป็นต้น
-2-
จากจุฬาฯ ก็ไปกันที่ ม.มหิดล...
นสพ.พิงพล จรูญรัตน์ ผอ.โรงพยาบาลสัตว์เล็ก ม.มหิดลบอกว่า ในขณะนี้โรงพยาบาลสัตว์น้ำยังไม่เปิดอย่างเป็นทางการ แต่สามารถให้การรักษาได้แล้ว และเป็นการรักษาเฉพาะผู้ป่วยนอก ยังไม่มีผู้รับดูแลแบบแอดมิด แต่คาดว่าจะมีในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ ปัญหาใหญ่ของผู้รักสัตว์น้ำ ก็คือจำนวนคลินิกและโรงพยาบาลสัตว์น้ำในประเทศไทยมีเฉพาะแค่ในกรุงเทพฯ เท่านั้น ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดแคลนสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสัตว์น้ำ เพราะเมื่อจบไปแล้ว ตลาดการทำงานค่อนข้างน้อยมาก ทำให้นิสิตนักศึกษาไม่ค่อยนิยมเลือกเรียน อย่างไรก็ตาม หากสัตว์น้ำเกิดป่วยขึ้นมา คลินิกสัตวแพทย์ทุกแห่งสามารถรักษาได้ในกรณีที่ไม่ร้ายแรง เว้นแต่สัตว์ป่วยหนักจนต้องพึ่งแพทย์เฉพาะทาง
สำหรับการผ่าตัดปลานั้น นสพ.พิงพลบอกว่า มีมาให้รักษาอยู่เป็นระยะ ยกตัวอย่างเช่น เจ้าคิตตี้ ปลาคาร์พพันธุ์โคฮากุ (KOHAKU) อายุ 4 ปี ขนาด 65 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 6 กิโลกรัม
อาการป่วยของเจ้าคิตตี้เริ่มจากประมาณกลางปี พ.ศ.2548 ที่ผ่านมา โดยเริ่มมีอาการแปลกๆ ระหว่างกินอาหาร คืออมอาหารเข้าไป ดำลงไปในน้ำ สักพักก็จะคายออกมาแล้วขึ้นมาฮุบอาหารใหม่ เป็นเช่นนี้วนไปวนมาจนเจ้าของรู้สึกแปลกใจและเริ่มทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นวิธีกำจัดปรสิต แช่เกลือ แช่ยา ฉีดยา แต่อาการก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม จนกระทั่งจับวางยาสลบและส่องดูในช่องปากก็ไม่พบอะไร
จนผ่านไปเป็นเดือนอาการของ “คิตตี้” ก็ยังไม่ดีขึ้น และเริ่มผอมลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังมีอาการหิวอยู่ตลอดเวลา และร่าเริงดีไม่มีซึมอย่างปลาป่วยทั่วไป สุดท้ายจึงตัดสินใจพามารับการรักษา ทีมสัตวแพทย์จึงได้ทำการผ่าตัดชิ้นเนื้อออกมา พร้อมกับนำไปตรวจวิเคราะห์ และได้สอดท่อเพื่อป้อนอาหารเหลวไปด้วยและได้นัดหมายเพื่อติดตามผล และผ่าตัดอีกครั้งหนึ่งให้อีก 1-2เดือนข้างหน้า
สัตวแพทย์หญิงวรรณา ศิริมานะพงษ์ อาจารย์สัตวแพทย์สัตว์น้ำ ม.มหิดล หนึ่งในทีมผ่าตัดบอกว่า การผ่าตัดเจ้าคิตตี้จะเป็นการผ่าตัดแบบส่องกล้องเอ็นโดสโคป คือไม่ต้องผ่าตัดเปิดช่องท้อง แต่จะสอดท่อที่มีกล้องผ่านทางช่องปากเข้าไปภายในช่องทางเดินอาหารเพื่อตรวจอวัยวะภายใน และใช้เครื่องมือเล็กสอดเข้าไปเพื่อตัดชิ้นเนื้อที่ต้องการออกมา โดยขั้นตอนการผ่าตัดก็จะนำคิตตี้ออกจากถุง ก็นำลงอ่างพัก และเริ่มวางยาสลบ ก่อนจะนำไปวางบนแท่นรองที่ทำจากฟองน้ำตัดเว้าเป็นรูปตัวปลาเพื่อรองรับลำตัว จากนั้นก็นำกล้องเอนโดสโคปเข้าไปดูเนื้อเยื่อบริเวณในลำคอ พร้อมๆ กับ วักน้ำรดลำตัวและเหงือกเป็นระยะๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเริ่มดิ้นหรือแสดงอาการเหมือนตื่นจากสลบ ก็จะนำสายน้ำเกลือที่เป็นน้ำเกลือผสมยานอนหลับมาเสียบเหงือกเพื่อให้สงบลง และเมื่อส่องกล้องเจอชิ้นเนื้อที่ต้องการแล้วก็จะค่อยๆ ตัดเนื้อเยื่อเหล่านั้นออกมาจนหมด ซึ่งการผ่าตัดกินเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
“การใช้กล้องเอนโดสโคป ทำให้การผ่าตัดลุล่วงไปด้วยดี เพราะทำให้ไม่มีแผลผ่าตัดที่ด้านนอก และรักษาได้ตรงจุด โดยที่ไม่ต้องเปิดช่องท้อง เนื่องจากปลาเป็นสัตว์ที่ต้องอาศัยอยู่ในน้ำ หากผ่าตัดเปิดช่องท้องและจำเป็นต้องนำลงน้ำอีก จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อเป็นอย่างยิ่ง”
ด้านคุณหมอพิงพลกล่าวว่า การผ่าตัดครั้งนี้ถือว่าไม่ยากและอาการป่วยของเจ้าคิตตี้ถือว่าไม่ร้ายแรง แต่น่าเป็นห่วงอยู่เล็กน้อยว่าเนื้อเยื่อที่ตัดออกจะนูนขึ้นมาปิดลำคอจนเกิดอาการกลืนไม่เข้าอีกหรือไม่ ซึ่งส่วนนี้ก็ต้องสังเกตอาการดูกันต่อไป
ส่วนในเรื่องของค่าใช้จ่ายนั้น ราคาอาจจะสูงอยู่สักหน่อยหากเทียบกับการผ่าตัดด้วยการเปิดช่องท้อง เพราะการใช้กล้องเอนโดสโคปถือว่าเป็นการใช้เครื่องมือการรักษาที่ค่อนข้างจะไฮเทค แต่บังเอิญว่ากรณีของคิตตี้นั้นเป็นกรณีที่สัตวแพทย์ได้เรียนรู้โรคและอาการไปพร้อมกัน ราคาอาจจะอยู่ที่ประมาณพันกว่าบาท ซึ่งหากเทียบกับสัตว์เล็กอื่นๆ แล้วนับว่าไม่แพง