xs
xsm
sm
md
lg

การศึกษายุค "ทักษิณ" 5 ปี ที่หยุดนิ่งและถอยหลัง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นับจากปี 2544 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก้าวขึ้นมาบริหารประเทศในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 5 ปี ท่ามกลางนโยบาย "ประชานิยม" ที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง เรื่องหนึ่งที่ถูกจับตามองจากสังคมเป็นอย่างมาก คือ เรื่องการศึกษา ซึ่งเป็นความคาดหวังของสังคมที่ต้องการเห็นการปฏิรูปการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด ภายหลัง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ประกาศใช้เมื่อปี 2542

จนถึงขณะนี้ ความเป็นไปของการปฏิรูปการศึกษา ขยับเขยื้อนเคลื่อนไปข้างหน้า หรือว่าหยุดนิ่งไม่ไหวติงอยู่กับที่ หรือที่ร้ายกว่านั้นอาจจะขยับถอยหลัง
ศ.ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ แสดงความเห็นว่า ในช่วง 5 ปีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้มีการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษามากที่สุด เมื่อมีการเปลี่ยนบ่อย ซึ่งไม่เป็นผลดีกับการศึกษา ทำให้การทำงานไม่ต่อเนื่อง ไม่เชื่อมโยง เนื่องจากนิสัยผู้บริหารไทยเกือบทุกราย เมื่อเริ่มต้นทำงานใหม่ ก็จะเริ่มสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะนโยบายที่จะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงการปฏิรูปการศึกษา ไม่เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ตรงนี้ถือว่าเป็น "จุดอ่อน"

ภายใต้รัฐบาลเดียวกัน สิ่งที่ควรจะเป็น คือ ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐมนตรีไปกี่คน ผู้ที่มาดำรงตำแหน่งใหม่จะต้องมาสานต่อนโยบายเก่า ไม่ใช่โละทิ้งทั้งยวง แล้วจะต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ทุกครั้ง ซึ่งลักษณะการทำงานเช่นนี้ทำให้การศึกษาย่ำอยู่กับที่ และนับวันมีแต่ถอยหลัง

"ทุกวันนี้รัฐบาลยังมองเรื่องโครงสร้าง เรื่องบุคคล วัตถุ เป็นหลัก ซึ่งเป็นการมองเพียงด้านเดียวมากเกินไป โดยหลงลืมไปว่าไม่ได้มีอยู่แค่นี้ ต้องมองเรื่องคุณภาพ คุณธรรม ยิ่งตอนนี้ไปติดกับโครงสร้าง คอมพิวเตอร์ ฮาร์ดแวร์ ไม่ค่อยไปลงเรื่องซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยพัฒนาการศึกษา"

การศึกษาถอยหลังเพราะแยกจากสังคม

ศ.ดร.วิรุณ กล่าวจุดอ่อนอีกประการว่า การศึกษาจะเปลี่ยนแปลงด้วยตัวของมันเองไม่ได้ การศึกษาเป็นส่วนเดียวกับสังคม เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหา การปฏิรูปการศึกษา จะต้องแก้ไขและปกป้องคุ้มครองในเรื่องของสังคมไปพร้อมกัน

"รัฐบาลชุดนี้จะเอาเรื่องเศรษฐกิจขึ้นมาก่อน ทำให้ซีกของสังคมและการศึกษาอ่อน และรัฐมนตรีหลายคนจะมาเร่งพัฒนาด้านการศึกษา แต่ฝ่าด้านวิกฤตของสังคมไม่ออก ไม่สามารถเชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจของรัฐบาล ถ้าจะปฏิรูปการศึกษา รัฐบาลทั้งหมดต้องลงมาช่วยกัน ผมเคยตั้งคำถามว่าทำไมด้านเศรษฐกิจ มีรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีรับผิดชอบอยู่แล้ว ทำไมนายกฯ ยังลงมาช่วย ส่วนเรื่องการศึกษา สังคม ทำไมปล่อยให้รัฐมนตรีทำอยู่ในวงแคบๆ รัฐบาลทั้งรัฐบาลควรลงมาช่วยเรื่องนี้ ถ้าเมื่อใดเราปฏิรูปการศึกษา แก้ปัญหาด้านการศึกษาไม่ได้ อนาคตเราคงหวังอะไรไม่ได้ เพราะการศึกษาคือทุกสิ่งทุกอย่างของสังคม"

ศ.ดร.วิรุณ กล่าวด้วยว่า วันนี้การศึกษาบ้านเรานับวันจะก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ ดังนั้น รัฐบาลต้องหันมามองตรงนี้แล้วหาวิธีเพื่อผลักดันการศึกษาไทยอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันควรชะลอโครงสร้าง วัตถุ เรื่องของคนลง ควรมองเรื่องคุณภาพ คุณธรรม ภาพของศักยภาพของเด็กเยาวชน เพราะเรื่องนามธรรมเหล่านี้ ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอนาคตของประเทศ

"ทุกวันนี้จะพูดปฏิรูปการศึกษาเฉพาะขั้นพื้นฐาน ละทิ้งระดับอุดมศึกษา อันที่จริงระดับอุดมศึกษามีปัญหามากมายที่จะต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน ยกตัวอย่างที่เห็นชัดเจน คือ มหาวิทยาลัยหลายแห่ง เน้นจำนวนนักศึกษามากกว่าคุณภาพ ดังนั้น ควรยกเครื่องปฏิรูปการศึกษาทั้งหมดในคราวเดียวกัน

ทักษิณ one man show ดึงการศึกษาล่ม
ด้าน นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ หรือ ครูหยุย สมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ยุครัฐบาลทักษิณ ยังไม่ได้ทำอะไรด้านการศึกษาให้เป็นชิ้นเป็นอัน เพียงขับเคลื่อนตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 กับกฎกระทรวง เท่านั้น ส่วนนโยบายอื่นๆ แทบจับต้องอะไรไม่ได้เลย ตรงนี้สะท้อนวิธีการทำงานของรัฐบาลว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากรัฐบาลสนใจเรื่องเศรษฐกิจมากกว่าการศึกษา เพราะมีเรื่องผลประโยชน์เข้ากระเป๋า นอกจากนี้ยังออกนโยบายหาเสียง เช่น กองทุนหมู่บ้าน 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุน ICL ฯลฯ

"นโยบายที่ออกมาส่วนใหญ่เป็นความคิดของนายกฯเพียงคนเดียว รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงมีหน้าที่ทำตามเท่านั้น ไม่มีสิทธิคัดค้าน แม้กระทั่งการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการบ่อย ผมคิดว่าเปลี่ยนบ่อยไม่เป็นผลดี ควรให้เขานั่งทำงานอย่างน้อย 3-4 ปี และล่าสุดที่นายกฯตัดสินใจให้ นายจาตุรนต์ ฉายแสง มานั่งเก้าอี้เสมา เพราะมีกระแสเรียกร้อง เผอิญเข้ามาผิดจังหวะ มีปัญหาใหญ่ให้ว่าการฯ นั่งกุมขมับ นั่นก็คือการถ่ายโอนสถานศึกษาไป อปท. เป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก คือต้องทำตาม พ.ร.บ.การศึกษาฯ จะเลี่ยงก็ไม่ได้ ดังนั้นรัฐบาลจึงหาทางออกแบบประนีประนอม ถ่ายโอนสถานศึกษาเฉพาะที่พร้อมและโอนทีละน้อยๆ"

สำหรับนโยบายหาเสียงของรัฐบาล ที่รับปากว่าจะเข้ามาแก้ปัญหาหนี้สินครู นายวัลลภ แสดงความเห็นว่า หนี้สินครูเป็นเรื่องส่วนบุคคล รัฐบาลทำได้เพียงโยกหนี้มาอยู่ในระบบ จะเอาเงินภาษีของประชาชนไปโอบอุ้มครูที่เป็นหนี้ไม่ได้ การแก้ปัญหาหนี้ครูจึงคาราคาซังอยู่ทุกวันนี้ ทำได้เพียงเปลี่ยนมือเจ้าหนี้จากเจ้าหนี้นอกระบบมาเป็นหนี้ในระบบเท่านั้น

คอมพ์ 2.5 แสนเครื่องผันงบฯเข้ากระเป๋านายทุน
ขณะเดียวกันโครงการเมกะโปรเจกต์ จัดซื้อคอมพิวเตอร์ 250,000 เครื่องให้สถานศึกษาทั่วประเทศ ก็เป็นโครงการอภิมหาผลประโยชน์ เพื่อเข้ากระเป๋านายทุน โดย ครูหยุย ได้ตั้งคำถามว่า จำเป็นต้องซื้อจำนวนมากขนาดนี้หรือ เพราะโรงเรียนบางแห่งโดยเฉพาะที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารหลายแห่งยังไม่มีไฟฟ้า หากโรงเรียนได้รับจัดสรรคอมพ์ไปจะใช้ประโยชน์คุ้มค่าหรือไม่ คงทำได้เพียงตั้งไว้เฉยๆ ให้ฝุ่นเกาะ อีกเรื่องที่ยังไม่ชัดเจนใครจะเป็นคนจ่ายค่าอินเทอร์เน็ต ค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น

"มองดูให้ลึกลงไปเมกะโปรเจกต์คอมพ์ 2.5 แสนเครื่อง เป็นโครงการเอื้อประโยชน์แก่บริษัท ซึ่งก็เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่าเป็นเครือญาติของรัฐบาล ที่จะได้ดูดเงินจากรัฐซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศ มาเป็นค่าเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ค่าซ่อม อะไหล่ในการซ่อม และอื่นๆ"

ครูหยุย บอกด้วยว่า ที่กล่าวมานั้น ไม่ได้ถ่วงความก้าวหน้าด้านการศึกษา เพราะรู้ว่าคอมพิวเตอร์เป็นทางหนึ่งที่ทำให้เด็กเข้าถึงการเรียนรู้ได้ เพียงแต่ตั้งข้อสังเกตว่าจำเป็นต้องซื้อคราวเดียวกันในจำนวนมากๆ หรือไม่ แต่สิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการต้องเร่งปรับปรุงโดยเร็วนั้น คือ เนื้อหาสาระของหลักสูตรที่ต้องปรับให้ทันสมัย ไปพร้อมๆ กับการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนควบคู่กันไป

เรื่องสำคัญอีกเรื่องที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ต้องทำให้ชัดเจน ก็คือ กรอบ หน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานหลักๆ ที่วันนี้ยังไม่มีความชัดเจน เช่นเขตพื้นที่การศึกษา ยังไม่รู้ว่าเขามีอำนาจหน้าที่ทำอะไรได้บ้างและมากน้อยเพียงใด ส่วนระดับอุดมศึกษา ซึ่งกำลังมีปัญหาที่รัฐบาลมองข้าม ก็คือ การยกระดับของสถาบันราชภัฏ เป็นมหาวิทยาลัย ที่ผลิตนักศึกษาเน้นแต่ปริมาณโดยไม่ได้คำนึงถึงคุณภาพ ส่งผลให้กลายเป็นบัณฑิตตกงานเกลื่อนประเทศ ดังนั้น ควรมีการตกลงกับมหาวิทยาลัยทุกแห่งให้ชัดเจน ให้เน้นผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพออกมาป้อนตลาดแรงงาน

นายวัลลภ ให้หลักคิดในการบริหารกระทรวงศึกษาธิการว่า 1. ประกันโอกาส ให้นักเรียนได้เรียนฟรีจริงๆ 2. ประกันคุณภาพ คือนักเรียน นักศึกษา เมื่อเรียนจบแล้วมมีความรู้ความสามารถ 3. ประกันประสิทธิภาพของครู คือ ครูที่มาสอนต้องมีความเชี่ยวชาญในศาสตร์ สาขาที่สอน ถ้าครูสอนไม่ตรงกับสาขาที่เรียนมาควรมีการอบรมเพื่อเสริมส่วนที่ขาดให้ครู 4. ประกันความปลอดภัยของนักเรียน ไม่ถูกครูละเมิดทางเพศ และ 5. รับประกันด้านความปลอดภัย เช่น นักเรียนไม่ถูกไฟฟ้าจากเครื่องทำน้ำเย็นดูด

ข้างนอกแข็งขันแต่แท้จริงนั้นกลวงโบ๋

ศ.ดร.ปรัชญา เวสารัชช์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) กล่าวถึงการศึกษาในปัจจุบันว่า ขณะนี้การศึกษาไทยเข้าขั้นวิกฤต สะดุด หยุดการพัฒนา เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำมากเกินไป โดยในช่วง 5 ปีเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ถึง 6 คน ส่งผลต่อการบริหารงาน ทำให้ขาดความต่อเนื่อง หนำซ้ำยุทธศาสตร์การศึกษาของชาติยังไร้ทิศทาง ไม่มีความชัดเจน นอกจากนี้ ยังไม่ได้ทำแผนยุทธศาสตร์เพื่อรองรับการปฏิรูปการศึกษา ทั้งที่ ควรระบุให้ชัดเจนว่าจะปฏิรูปอะไร ใช้ยุทธศาสตร์อะไร ตลอด 5 ปี ไม่เคยเห็นตรงนี้เลย

"ดูเปลือกนอกในการทำงานของ รมว.ศธ. ทุกคนที่ผลัดเปลี่ยนกันมานั่ง เหมือนกับแข็งขันกับการผลักดันการปฏิรูปการศึกษาให้ก้าวไปข้างหน้า แต่แท้จริงสิ่งที่เห็นไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมซักอย่างเดียว"

สำหรับเมกะโปรเจกต์ จัดซื้อคอมพิวเตอร์ 2.5 แสนเครื่อง คอมพิวเตอร์เป็นเพียงเครื่องมือ นายกฯ และ รมว.ศธ. ต้องทบทวน ว่าซื้อไปเพื่ออะไร ต้องตั้งเป้าหมาย มีการเตรียมความพร้อม เพื่อให้การใช้คอมพิวเตอร์เกิดประโยชน์สูงสุดหรือไม่

"นายกฯ กับ รมว.ศธ. มักจะพูดถึงสัดส่วนคอมพิวเตอร์กับจำนวนนักเรียน ผมคิดว่าสัดส่วนเป็นเพียงตัวเลขที่พูดให้สวยหรูเท่านั้น เราต้องมาดูว่าเด็ก เยาวชน นำคอมพิวเตอร์ไปใช้ประโยชน์ สืบค้นข้อมูลมากน้อยเพียงใด และบุคลากรมีความรู้ความสามารถที่จะนำข้อมูลจากคอมพิวเตอร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนการสอนมากน้อยแค่ไหน ฉะนั้น จะต้องมีการติดตาม มีการวัด การประเมินความรู้ความสามารถของเด็ก บุคลากร ไม่ใช่ดูจากจำนวนเครื่อง เพราะเคยพบปัญหาว่าโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลหลายแห่งได้รับการจัดสรรคอมพิวเตอร์ไป แต่ใช้ไม่ได้เพราะไฟฟ้ายังไปไม่ถึง"

นี่คือภาพสะท้อนจากนักวิชาการ ของการศึกษาไทยใน 5 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารงานของนายกฯ ทักษิณ







กำลังโหลดความคิดเห็น