“โอ นอ โอ๊ นอ โอ นอ โอ๊ นอ นวลเอย...” เป็นคำร้องขึ้นต้นของแอ่วเคล้าซอ เพลงพื้นบ้านสำคัญของไทย แล้วร้องคลอไปกับเสียงซอที่บรรเลง เชื่อว่าคนรุ่นใหม่หลายคนคงไม่คุ้นชินกับทำนองแบบนี้กันแล้ว อาจารย์พงศ์ศักดิ์ร้องให้เราฟังอย่างฉะฉาน ในงานเปิดตัวนิทรรศการเรื่อง “วรรณกรรม นาฏศิลป์ ดนตรี สมัยรัตนโกสินทร์” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 มกราคม-31 มีนาคม 2549 โดยสำนักหอสมุดแห่งชาติ ณ ห้องสมุดดนตรีทูลกระหม่อมสิรินธร

อาจารย์พงศ์ศักดิ์ ทรงประสิทธิ์ ผู้ขับร้องเพลงแอ่วเคล้าซอ เป็นคนหนึ่งที่เหลือน้อยนักในวงการนาฏศิลป์ดนตรีไทยซึ่งได้ศึกษาบทเพลงแอ่วเคล้าซอมาอย่างลึกซึ้งด้วยใจรักเพลงพื้นบ้านไทยอย่างเต็มเปี่ยม จนเป็นลูกบุญธรรมของแม่ขวัญจิตร ศรีประจัน ทั้งยังเป็นลูกศิษย์ครูเพลงพื้นบ้านหลายท่านที่เสียชีวิตไปแล้ว อธิบายให้ฟังว่า “แอ่วเคล้าซอ” เกิดขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น แต่โบราณใช้แคนในการประกอบการแสดงจึงเรียกว่า แอ่วเคล้าแคน หรือแอ่วลาว เพลงแอ่วเคล้าแคนนี้ เฟื่องฟูมากในสมัยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า เพราะทรงโปรดในการแสดงนี้มากถึงกับทรงเป่าแคนด้วยพระองค์เอง และทรงพระราชนิพนธ์บทแอ่วเอาไว้หลายบท
แต่ภายหลังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้ทรงให้ยกเลิกการเล่นแคน แล้วได้ปรับปรุงนำซออู้ มาใช้บรรเลงแทนจึงได้เกิดเป็นแอ่วเคล้าซอ ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน 40 เพลงพื้นบ้านดั้งเดิมหายากของไทย สำหรับเนื้อหาในเพลงเป็นการบอกเล่า การโต้ตอบ การพลอดรัก หรือการบรรยายความรู้สึกต่างๆ เป็นต้น
คนส่วนใหญ่นั้นไม่รู้จักเพลงแอ่วเคล้าซอ แต่เมื่อได้ฟังแล้วจะรู้สึกสนุก เพราะคนไทยมีวิญญาณความสนุกสนานเป็นทุนเดิม แต่ตอนนี้มันกำลังจะหายไป เพลงพื้นบ้านบางเพลงไม่มีคนได้ แต่ด้วยความที่อาจารย์พงศ์ศักดิ์เป็นผู้ต้องการเรียนบทเพลงเหล่านี้ โดยเฉพาะเพลงที่เคยรู้มาก่อน ดังนั้น เมื่อทราบว่าที่ไหนมีก็จะไปเอาไปเรียนร้องจนเป็นวิชาติดตัว เมื่อก่อนมีวิดีทัศน์รวบรวมบทเพลงพื้นบ้านแล้วก็หายไปกับกาลเวลา ส่วนตัวแล้วไม่มีหนังสือหรือสื่ออะไรมาถ่ายทอด เพราะว่าเรียนต่อๆ กันมาแบบมุขปาฐะ สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความรู้จากตรงนี้ก็สามารถเข้ามาได้ อาจารย์พงศ์ศักดิ์รับปากว่าจะสอนให้โดยไม่หวงวิชา แต่ขอให้มีใจที่จะเรียนอย่างจริงจังเท่านั้น
“ณ ตอนนี้ ผมไม่ห่วงว่าดนตรี หรือนาฏศิลป์ไทยจะสูญหายไป เพราะยังมีวิทยาลัยนาฏศิลป์ ทั้งยังมีสถานศึกษาที่ให้ความรู้ด้านนี้อยู่ แต่ห่วงอย่างเดียวคือเพลงพื้นบ้าน เพราะปัจจุบันพ่อเพลงแม่เพลงล้มตายเป็นไปจำนวนมาก และวิถีชีวิตของคนที่อยู่กับเพลงมันเปลี่ยนไป แล้วเราจะอนุรักษ์สิ่งดีงามนี้ขึ้นมาไว้ได้อย่างไร นอกจากว่าต้องรอคนที่จะเป็นแกนให้ เราเป็นผู้ที่จะให้ความรู้ได้ แต่เรารวบรวมไม่ได้ ที่สำคัญคือ ต้องมีสถานที่ ต้องมีคนสนใจเรียน”

ด้านสมลักษณ์ เจริญพจน์ รองอธิบดีกรมศิลปากร ให้ความคิดเห็นว่า คนไทยยังเป็นคนผู้มีดนตรีการในหัวใจทุกคน เพียงแต่ว่าเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันในสังคมโลกาภิวัตน์ทำให้เกิดการลื่นไหลของวัฒนธรรม ดังนั้น ศิลปวัฒนธรรม นาฏศิลป์ดนตรี มันก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไป แต่ต้องต่อไปอย่างสืบทอดอย่างสร้างสรรค์ ทำให้ต้นแบบเดิมไม่สูญหาย ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้กลยุทธ์ในการดำเนินงาน
“คนในสังคมปัจจุบันไม่รู้จักตัวเอง ถือเป็นจุดอ่อน ถ้าเราหาตัวเราเองไม่เจอ ใครจะช่วยเราได้ เพราะฉะนั้นแล้วการจัดนิทรรศการครั้งนี้ ทำให้เราค้นหาตัวเราเอง เพราะรวบรวมและและกลั่นกรองมาให้เข้าใจง่าย นอกจากนั้นแล้วยังมีตัวอย่างให้ลองฟังลองอ่านเยอะมาก เพื่อให้เข้าถึงความรู้ที่ว่านาฏศิลป์ไทยมีรากเหง้ามาอย่างไร ก่อนจะมาถึงยุคพี่เบิร์ด” รองอธิบดีกรมศิลปากรสรุปทิ้งท้าย
สำหรับการแสดงแอ่วเคล้าซอในครั้งนี้ ได้น้องๆ จากมหาวิทยาลัยมหิดล เล่นเครื่องประกอบจังหวะ กฤษดาทาน จันทรโก นักศึกษาปริญญาโท สาขาดนตรีปฏิบัติ จากมหาวิทยาลัยมหิดล แสดงความคิดเห็นต่อคนรุ่นใหม่ที่มีต่อวรรณกรรม นาฎศิลป์ ดนตรีไทย ว่าวัยรุ่นสมัยนี้กำลังลืมตัวเองและกำลังหนีตัวเอง เช่น ไปเที่ยวตามดิสโก้เธค แต่เป็นเพียงการแสดงจิตใต้สำนึกของสัตว์ที่ต้องการแสดงออกมาแบบนั้น ดนตรี นาฏศิลป์ ของต่างชาติ เช่น บัลเล่ต์ แซแดนซ์ ทุกอย่างล้วนดีหมด เพราะช่วยพัฒนาบุคลิกภาพ
“เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนชอบดนตรี แต่ภาพลักษณ์ดนตรี นาฏศิลป์ไทยมันเชย ล้าสมัย แต่จริงๆ แล้วนั้นล้วนมีศิลปะวิทยาการก้าวหน้ามาก เพราะดนตรีไทยเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปทุกวันโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย”
อย่าลืมว่าถนนทุกสายวิ่งกลับลู่เดิม เพียงแต่ลองย้อนกลับมาดูอะไรที่เป็นมรดกของชาติ สมบัติของประเทศไทยเก่าๆ ที่ปู่ย่าตายายเราทำมาให้ แล้วจะรู้ว่ามันมีความสุขสนุกที่แฝงความเป็นไทยอยู่ในตัวของมันเอง ถ้าคุณฟังและเข้าใจในตรงนั้น และนึกคิดติดตาม เชื่อเหลือเกินว่าจะเกิดเป็นความรู้สึกหวงแหน อยากจะรักษาสิ่งดีงามเหล่านี้ไว้ให้คงอยู่ตราบนานเท่านาน
อาจารย์พงศ์ศักดิ์ ทรงประสิทธิ์ ผู้ขับร้องเพลงแอ่วเคล้าซอ เป็นคนหนึ่งที่เหลือน้อยนักในวงการนาฏศิลป์ดนตรีไทยซึ่งได้ศึกษาบทเพลงแอ่วเคล้าซอมาอย่างลึกซึ้งด้วยใจรักเพลงพื้นบ้านไทยอย่างเต็มเปี่ยม จนเป็นลูกบุญธรรมของแม่ขวัญจิตร ศรีประจัน ทั้งยังเป็นลูกศิษย์ครูเพลงพื้นบ้านหลายท่านที่เสียชีวิตไปแล้ว อธิบายให้ฟังว่า “แอ่วเคล้าซอ” เกิดขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น แต่โบราณใช้แคนในการประกอบการแสดงจึงเรียกว่า แอ่วเคล้าแคน หรือแอ่วลาว เพลงแอ่วเคล้าแคนนี้ เฟื่องฟูมากในสมัยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า เพราะทรงโปรดในการแสดงนี้มากถึงกับทรงเป่าแคนด้วยพระองค์เอง และทรงพระราชนิพนธ์บทแอ่วเอาไว้หลายบท
แต่ภายหลังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้ทรงให้ยกเลิกการเล่นแคน แล้วได้ปรับปรุงนำซออู้ มาใช้บรรเลงแทนจึงได้เกิดเป็นแอ่วเคล้าซอ ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน 40 เพลงพื้นบ้านดั้งเดิมหายากของไทย สำหรับเนื้อหาในเพลงเป็นการบอกเล่า การโต้ตอบ การพลอดรัก หรือการบรรยายความรู้สึกต่างๆ เป็นต้น
คนส่วนใหญ่นั้นไม่รู้จักเพลงแอ่วเคล้าซอ แต่เมื่อได้ฟังแล้วจะรู้สึกสนุก เพราะคนไทยมีวิญญาณความสนุกสนานเป็นทุนเดิม แต่ตอนนี้มันกำลังจะหายไป เพลงพื้นบ้านบางเพลงไม่มีคนได้ แต่ด้วยความที่อาจารย์พงศ์ศักดิ์เป็นผู้ต้องการเรียนบทเพลงเหล่านี้ โดยเฉพาะเพลงที่เคยรู้มาก่อน ดังนั้น เมื่อทราบว่าที่ไหนมีก็จะไปเอาไปเรียนร้องจนเป็นวิชาติดตัว เมื่อก่อนมีวิดีทัศน์รวบรวมบทเพลงพื้นบ้านแล้วก็หายไปกับกาลเวลา ส่วนตัวแล้วไม่มีหนังสือหรือสื่ออะไรมาถ่ายทอด เพราะว่าเรียนต่อๆ กันมาแบบมุขปาฐะ สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความรู้จากตรงนี้ก็สามารถเข้ามาได้ อาจารย์พงศ์ศักดิ์รับปากว่าจะสอนให้โดยไม่หวงวิชา แต่ขอให้มีใจที่จะเรียนอย่างจริงจังเท่านั้น
“ณ ตอนนี้ ผมไม่ห่วงว่าดนตรี หรือนาฏศิลป์ไทยจะสูญหายไป เพราะยังมีวิทยาลัยนาฏศิลป์ ทั้งยังมีสถานศึกษาที่ให้ความรู้ด้านนี้อยู่ แต่ห่วงอย่างเดียวคือเพลงพื้นบ้าน เพราะปัจจุบันพ่อเพลงแม่เพลงล้มตายเป็นไปจำนวนมาก และวิถีชีวิตของคนที่อยู่กับเพลงมันเปลี่ยนไป แล้วเราจะอนุรักษ์สิ่งดีงามนี้ขึ้นมาไว้ได้อย่างไร นอกจากว่าต้องรอคนที่จะเป็นแกนให้ เราเป็นผู้ที่จะให้ความรู้ได้ แต่เรารวบรวมไม่ได้ ที่สำคัญคือ ต้องมีสถานที่ ต้องมีคนสนใจเรียน”
ด้านสมลักษณ์ เจริญพจน์ รองอธิบดีกรมศิลปากร ให้ความคิดเห็นว่า คนไทยยังเป็นคนผู้มีดนตรีการในหัวใจทุกคน เพียงแต่ว่าเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันในสังคมโลกาภิวัตน์ทำให้เกิดการลื่นไหลของวัฒนธรรม ดังนั้น ศิลปวัฒนธรรม นาฏศิลป์ดนตรี มันก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไป แต่ต้องต่อไปอย่างสืบทอดอย่างสร้างสรรค์ ทำให้ต้นแบบเดิมไม่สูญหาย ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้กลยุทธ์ในการดำเนินงาน
“คนในสังคมปัจจุบันไม่รู้จักตัวเอง ถือเป็นจุดอ่อน ถ้าเราหาตัวเราเองไม่เจอ ใครจะช่วยเราได้ เพราะฉะนั้นแล้วการจัดนิทรรศการครั้งนี้ ทำให้เราค้นหาตัวเราเอง เพราะรวบรวมและและกลั่นกรองมาให้เข้าใจง่าย นอกจากนั้นแล้วยังมีตัวอย่างให้ลองฟังลองอ่านเยอะมาก เพื่อให้เข้าถึงความรู้ที่ว่านาฏศิลป์ไทยมีรากเหง้ามาอย่างไร ก่อนจะมาถึงยุคพี่เบิร์ด” รองอธิบดีกรมศิลปากรสรุปทิ้งท้าย
สำหรับการแสดงแอ่วเคล้าซอในครั้งนี้ ได้น้องๆ จากมหาวิทยาลัยมหิดล เล่นเครื่องประกอบจังหวะ กฤษดาทาน จันทรโก นักศึกษาปริญญาโท สาขาดนตรีปฏิบัติ จากมหาวิทยาลัยมหิดล แสดงความคิดเห็นต่อคนรุ่นใหม่ที่มีต่อวรรณกรรม นาฎศิลป์ ดนตรีไทย ว่าวัยรุ่นสมัยนี้กำลังลืมตัวเองและกำลังหนีตัวเอง เช่น ไปเที่ยวตามดิสโก้เธค แต่เป็นเพียงการแสดงจิตใต้สำนึกของสัตว์ที่ต้องการแสดงออกมาแบบนั้น ดนตรี นาฏศิลป์ ของต่างชาติ เช่น บัลเล่ต์ แซแดนซ์ ทุกอย่างล้วนดีหมด เพราะช่วยพัฒนาบุคลิกภาพ
“เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนชอบดนตรี แต่ภาพลักษณ์ดนตรี นาฏศิลป์ไทยมันเชย ล้าสมัย แต่จริงๆ แล้วนั้นล้วนมีศิลปะวิทยาการก้าวหน้ามาก เพราะดนตรีไทยเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปทุกวันโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย”
อย่าลืมว่าถนนทุกสายวิ่งกลับลู่เดิม เพียงแต่ลองย้อนกลับมาดูอะไรที่เป็นมรดกของชาติ สมบัติของประเทศไทยเก่าๆ ที่ปู่ย่าตายายเราทำมาให้ แล้วจะรู้ว่ามันมีความสุขสนุกที่แฝงความเป็นไทยอยู่ในตัวของมันเอง ถ้าคุณฟังและเข้าใจในตรงนั้น และนึกคิดติดตาม เชื่อเหลือเกินว่าจะเกิดเป็นความรู้สึกหวงแหน อยากจะรักษาสิ่งดีงามเหล่านี้ไว้ให้คงอยู่ตราบนานเท่านาน